คิดถึงวันวาน : ย้อนรอยช้างศึกยุคตกต่ำก่อนฟีเวอร์ทะลุรอบสุดท้ายคัดบอลโลก 2018

 

นับเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากสำหรับทีมชาติไทย รวมถึงแฟนบอลไม่น้อย กับผลงานอันน่าผิดหวังในศึกฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบสอง ด้วยการจบตำแหน่งรองบ๊วยกลุ่ม จี และไม่ชนะเลยระหว่างเดินไปทางไปเล่น 3 เกมสุดท้าย ที่ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ พร้อมกับเครื่องหมายคำถาม “หมดยุคเฟื่องฟูบอลไทยแล้วหรือไม่?”

 

ต้องยอมรับว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาผลงานของทัพ “ช้างศึก” ค่อนข้างน่าผิดหวัง ไม่ว่าจะเป็นการพลาดแชมป์ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2018, ตกรอบแรก เอเชี่ยน เกมส์ 2018 และรอบแรก ซีเกมส์ 2019 รวมถึงผลงานในศึกฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก

 

แน่นอนนี่อาจทำให้หลายคนนึกย้อนกลับไปและคิดถึงช่วงเวลาที่ฟุตบอลไทย กำลังฟีเวอร์สุดๆ เมื่อประมาณ 4-5 ปีที่แล้ว ซึ่ง “ช้างศึก” ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมและประสบความสำเร็จไม่ว่าจะระดับอาเซียน หรือแม้กระทั่งการผ่านเข้าสู่รอบ 12 ทีมสุดท้าย ฟุตบอลโลก 2014 รอยคัดเลือก

 

อย่างไรก็ตามกว่าจะถึงช่วงเวลานั้นทีมชาติไทย และฟุตบอลไทย ผ่านอุปสรรคมาไม่น้อยเช่นกัน ก่อนที่จะสามารถเรียกกระแสและความศรัทธาของแฟนบอลกลับมาอีกครั้ง ซึ่งวันนี้เราจะไปดูว่ากว่าที่ฟุตบอลไทย จะกลับมาฟีเวอร์รอบล่าสุดต้องผ่านอะไรมาบ้าง ซึ่งเราหวังว่ามันเกิดขึ้นอีกครั้งในอนาคตอันใกล้นี้

 

 

ยุคมืดฟุตบอลไทย ฟีฟ่าแรงกิ้งร่วงอันดับที่ 165 ของโลก >> เริ่มต้นวางรากฐานระบบลีกใหม่

 

ย้อนกลับไปช่วงยุคฟุตบอลไทย กำลังตกต่ำถึงขั้นอันดับฟีฟ่าเวิลด์แรงกิ้งดำดิ่งอยู่ที่ 165 ของโลก เป็นเวลาคาบเกี่ยวที่วงการฟุตบอลลีกแดนสยาม เริ่มตั้งไข่และกำลังเดิมโตแบบก้าวกระโดดระหว่างปี 2009-2014 ก่อนพัฒนาเป็นลีกฟุตบอลอาชีพแบบเต็มตัวระดับแถวหน้าของเอเชีย ในเวลาต่อมา

 

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการมีระบบฟุตบอลลีกที่มีความเป็นมืออาชีพและแข็งแกร่งมากขึ้น คือส่วนสำคัญซึ่งช่วยให้ฟุตบอลไทย และทีมชาติไทย กลับมาประสบความสำเร็จหลังจากนั้น โดยเฉพาะการสร้างนักเตะและดาวรุ่งขึ้นมาของแต่ละสโมสร ทำให้ทีมชาติมีตัวเลือกเพิ่มมากขึ้นกว่าในอดีต

 

เห็นได้ชัดนับตั้งแต่ปี 2014 เป็นต้นมา ซึ่งศึกฟุตบอลไทยลีก อัพเกรดมาตรฐานจนติดท็อป 10 ลีกเอเชีย ฝั่งตะวันออก เป็นช่วงที่ทีมชาติกลับมามีผลงานน่าประทับใจอีกครั้ง แตกต่างจากก่อนหน้านั้นซึ่งกำลังขาลงต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งมาจากการผลิตนักเตะของแต่ละสโมสรที่มีคุณภาพและความเป็นมืออาชีพมากขึ้นกว่าเดิม เพราะฉะนั้นหากมีลีกที่แข็งแกร่ง ย่อมส่งผลดีต่อผลงานของทีมชาติเช่นกัน 

 

 

พลาดแชมป์ ซีเกมส์ 2 สมัยซ้อน >> แต่งตั้ง “ซิโก้” คุม “ช้างศึก” คว้าเหรียญทองเรียกคืนศรัทธาแฟนบอล

 

หากพูดถึงจุดเริ่มต้นกระแสบอลไทยฟีเวอร์ คงต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 2013 ซึ่ง “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ถูกแต่งตั้งเข้ามารับตำแหน่งกุนซือทัพ “ช้างศึก” รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ชุดลุยศึก ซีเกมส์ ครั้งที่ 27 ซึ่งประเทศ เมียนมาร์ เป็นเจ้าภาพ

 

ก่อนเริ่มต้นทัวร์นาเมนต์แฟนบอลรวมถึงหลายฝ่ายต่างคาดหวังว่าทีมชุดดังกล่าวจะทำผลงานที่ดี หลัง ซีเกมส์ ก่อนหน้านั้นสองครั้งเมื่อปี 2009 และ 2011 ที่ ลาว และ อินโดนีเซีย เป็นเจ้าภาพ เราต้องรอบแรกทั้งสองครั้ง ซึ่งถือเป็นผลงานตกต่ำอย่างน่าใจหาย

 

อย่างไรก็ตาม ซีเกมส์ ที่กรุงเนปิดอว์ กลับแตกต่างโดยสิ้นเชิง หลังทีมชาติไทย ซึ่งมีนักเตะอย่าง ธีราทร บุญมาทัน, ชาริล ชับปุยส์, อดิศักดิ์ ไกรษร, ชนาธิป สรงกระสินธ์ และ ศราวุฒิ มาสุข เป็นแกนหลัก ทำผลงานได้อย่างสวยหรูในรอบแรก ด้วยการคว้าแชมป์กลุ่ม บี ชนะ 2 เกม เสมอ 2 เกม จากการลงสนาม 4 เกม ก่อนที่รอบรองชนะสามารถเบียดเอาชนะคู่ปรับสำคัญ สิงคโปร์ 1-0

 

ลูกทีม “ซิโก้” ผ่านเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ ซีเกมส์ 2013 ด้วยผลงานอันน่าประทับใจสไตล์การเล่นเกมบุกที่มีประสิทธิภาพดูเพลินตา ก่อนคว้าเหรียญทองสมัยที่ 5 หลังเอาชนะ อินโดนีเซีย 1-0 ในเกมตัดสินแชมป์ และนี่เองถือเป็นจุดเริ่มต้นการเรียกศรัทธาจากแฟนบอลกลับมาอีกครั้ง

 

 

“ช้างศึก” ไร้ความสำเร็จ 12 ปี >> ใช้นักเตะเจนนาเรชั่นใหม่ทวงบัลลังค์อาเซียน

 

ภายหลังความสำเร็จคว้าแชมป์ ซีเกมส์ 2013 และพาทีมจบอันดับ 4 ศึก เอเชี่ยน เกมส์ 2014 ที่เมืองอินชอน ประเทศเกาหลีใต้ ทีมชาติไทย ตัดสินใจแต่งตั้ง “ซิโก้” คุมทีมชุดใหญ่เพื่อลุยศึก เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014 ถ้วยซึ่งห่างหายจาก “ช้างศึก” ไปนานกว่า 12 ปี นับตั้งแต่ปี 2002  

 

ด้วยแรงกดดันมหาศาลและความคาดหวังสูงสุดคือการคว้าแชมป์ อดีตตำนานดาวยิงทีมชาติไทย กลับเลือกผู้เล่นหน้าใหม่และดาวรุ่งจากชุด U-23 ไปเล่นทัวร์นาเมนต์ดังกล่าว โดยไม่มีชื่อของซุปเปอร์สตาร์อย่าง ธีรศิลป์ แดงดา หรือ ธีราทร บุญมาทัน

 

อย่างไรก็ตามผลงานของทีมชาติไทย กลับทำได้ดีเกินคาดด้วยการประเดิมสนามชนะเจ้าภาพร่วมอย่าง สิงคโปร์ 2-1 ต่อด้วยชนะ มาเลเซีย 3-2 และ เมียนมาร์ 2-0 ปลุกกระแสและศรัทธาของแฟนบอลกลับมาอีกครั้ง ด้วยสไสต์การเล่นต่อบอลเท้าสู่เท้าซึ่งเรียกเสียงฮือฮาจากแฟนบอลได้ไม่น้อย

 

ไฮไลท์อยู่ที่เกมรอบรองชนะเลิศ กับ มาเลเซีย เลกแรก ที่สนาม ราชมังคลากีฬาสถาน ภาพซึ่งหลายคนอาจไม่ได้เห็นตลอดหลายปีก่อนหน้านั้นได้เกิดขึ้น เมื่อแฟนบอลพากันเข้าสนามมาให้กำลังใจทีมชาติไทย เกือบเต็มความจุ 49,000 ที่นั้ง ก่อนเกมจบลงด้วยชัยชนะเหนือ “เสือเหลือง” 2-0 สร้างกระแสฟุตบอลไทยฟีเวอร์นับตั้งแต่วินาทีนั้น

 

ท้ายที่สุดเมื่อจบทัวร์นาเมนต์ ทีมชาติไทย สามารถคว้าแชมป์ อาเซียน คัพ ครั้งแรกในรอบ 12 ปี ได้สำเร็จ ก่อนมีการนำถ้วยแชมป์กลับมาขึ้นรถแห่ฉลองรอบกรุงเทพมหานคร เป็นการบ่งบอกว่ายุคทองของฟุตบอลไทย กำลังจะกลับมาอีกครั้ง

 

 

ผลงานไม่ต่อเนื่อง >> มีเกมอุ่นเครื่องสม่ำเสมอมากขึ้น

 

ต่อยอดจากความสำเร็จในศึก เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014 อีกหนึ่งสิ่งที่มีผลช่วยให้ทีมชาติไทย กลับมาทำผลงานที่ดี จนเกิดเป็นกระแสฟีเวอร์ นั่นคือการมีเกมอุ่นเครื่องที่สม่ำเสมอ แตกต่างจากในอดีตซึ่งแทบไม่เคยได้รับการจัดการที่ดี และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้อันดับโลกร่วงกราวลงไปอยู่ที่ 165 หรือบางครั้งทีมที่เชิญมาอุ่นอาจไม่ได้อยู่ระดับที่มีคุณทีมดีกว่าหรือใกล้เคียงกัน เช่นการลงเล่นกับ มัลดีฟส์, บังกลาเทศ และ ภูฏาน เมื่อปี 2012

 

ทว่านับตั้งแต่ปี 2014 เป็นต้นมาปฏิเสธไม่ได้ว่าการจัดการวางแผนเกี่ยวกับเกมอุ่นเครื่องของทีมชาติไทย ทำได้ดีขึ้นมา โดยเฉพาะการมีโอกาสได้เล่นกับทีมระดับโลกอย่าง แคมเมอรูน และ เกาหลีใต้ แถมมีเกมอุ่นเครื่องให้ลงเล่นอย่างต่อเนื่อง ระหว่างเตรียมความพร้อมช่วงลงเตะฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก

 

เพราะฉะนั้นการมีเกมอุ่นเครื่องที่มีคุณภาพและสม่ำเสมอ ถือเป็นประโยชน์อย่างมาก นอกจากเป็นการเตรียมทีมเพื่อให้ได้ผลงานที่ดี บางครั้งการได้เล่นกับทีมใหญ่ระดับทวีปหรือระดับโลก ยังช่วยเรียกกระแสและความสนใจจากแฟนบอลได้ด้วย

 

 

ขาดศรัทธาจากแฟนบอล >> เน้นเล่นเกมรุกสะใจกองเชียร์

 

สไตล์การเล่นต่อบอลและเน้นเกมรุกเป็นหลักของทีมชาติไทย เมื่อประมาณ 4-5 ปืที่แล้ว แฟนบอลคงคิดถึงกันไม่น้อยแน่นอน เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คืออีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้กระแสบอลไทย ฟีเวอร์และถูกพูดถึงทั่วบ้านทั่วเมือง ณ เวลานั้น

 

ไม่ว่าจะเจอทีมระดับอาเซียน หรือยักษ์ใหญ่เอเชีย ลูกทีม “ซิโก้” พร้อมเดินหน้าเปิดเกมแลก โดยเฉพาะในศึกฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบสอง ซึ่งทีมชาติทำผลงานยอดเยี่ยมด้วยการลงเล่น 6 นัด ชนะ 4 นัด เสมอ 2 นัด ยิง 14 ประตู เสียแค่เพียง 6 ลูก ซึ่งถือเป็นฟอร์มที่ยอดเยี่ยม

 

สำคัญสุดจากการเล่นสไตล์เน้นเกมรุกสนุกเอาใจแฟนบอล แถมได้ผลงานที่ดีในรายการระดับบอลโลก รอบคัดเลือก ทำให้กระแสบอลไทย ระหว่างปี 2015-2016 ได้รับเสียงตอบรับจากแฟนบอลที่ดีมาก นักเตะหลายคนกลายเป็นขวัญใจของแฟนบอล ไม่ว่าจะเป็น ชนาธิป สรงกระสินธ์, สารัช อยู่เย็น, นฤบดินทร์ วีรวัฒโนดม, ธนบูรณ์ เกศารัตน์ รวมถึง อดิศักดิ์ ไกรษร ซึ่งนั่นทำให้หลายคนมองว่านี่คือช่วงเวลาเฟื่องฟูสุดของฟุตบอลไทย ในรอบหลายปีที่ผ่านมาเลยทีเดียว

 

 

กระแสฟุตบอลไทยฟีเตอร์ >> ผ่านเล่นรอบ 12 ทีมสุดท้าย คัดบอลโลก 2018

 

นี่คือหนึ่งในผลงานที่ดีที่สุดของทีมชาติไทย ในรอบหลายปีที่ผ่านมา กับการสร้างประวัติศาสตร์ทะลุเข้าไปเล่นศึกฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบ 12 ทีมสุดท้าย และเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2002 หรือเมื่อ 16 ปีที่แล้ว พร้อมได้สิทธิ์ลงเล่น เอเอฟซี เอเชียน คัพ รอบสุดท้ายในปี 2019 ซึ่งเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2007 ที่เป็นเจ้าภาพรวมกับ เวียดนาม, มาเลเซีย และ อินโดนีเซีย

 

อย่างไรก็ตามเมื่อต้องมาเจอกับทีมระดับแถวหน้าของทวีปอย่าง ญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย, ซาอุดิอาระเบีย, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และ อิรัก ผลงานของทีมชาติไทย กลับไม่เป็นไปแบบที่แฟนบอลคาดหวัง เมื่อ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง พาทีมไม่ชนะใครเลยตลอด 6 นัด แพ้ ซาอุดิอาระเบีย 1-0 (เหย้า), แพ้ ญี่ปุ่น 0-2 (เหย้า),  แพ้ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 3-1 (เยือน), แพ้ อิรัก 4-0 (เยือน), เสมอ ออสเตรเลีย 2-2 (เหย้า), แพ้ ซาอุดิอาระเบีย 0-3 (เหย้า) และแพ้ ญี่ปุ่น 4-0 (เยือน)

 

จากนั้นหลังจบเกมแพ้ ญี่ปุ่น 4-0 แค่เพียง 3 วัน “ซิโก้” ตัดสินใจแยกทางกับทีมชาติไทย หลังคุมทีมมานานกว่า 3 ปี มีส่วนสำคัญช่วยปลุกกระแสและเรียกคืนศรัทธาจากแฟนบอล ทว่าเมื่อผลงานไม่เป็นไปตามที่หลายคนคาดหวัง จุดจบระหว่างเขากับทัพ “ช้างศึก” เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

 

หลังจากนั้นเป็นต้นมา ต้องยอมรับว่าผลงานของทีมชาติไทย ดรอปลงอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นยุคของเฮดโค้ชาวเซอร์เบีย อย่าง มิโลวาน ราเยวัช เทรนเนอร์ซึ่งเคยพา กาน่า ทะลุรอบ 8 ทีมสุดท้ายฟุตบอลโลก 2010 มาแล้ว ทว่าผลงานกับ “ช้างศึก” กลับน่าผิดหวัง โดยเฉพาะการตกรอบรองชนะเลิศ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2018 รวมถึงการพ่ายแพ้ อินเดีย 4-1 เกมนัดประเดิมสนามศึกฟุตบอล เอเอฟซี เอเชียน คัพ 2019 ซึ่งเป็นผลให้เขาต้องถูกปลดออกจากตำแหน่งกลางทัวร์นาเมนต์ แบบไม่มีใครคาดคิด

 

จนมาถึงกุนซือคนล่าสุด อากิระ นิชิโนะ ซึ่งออกสตาร์ทสวยหรูด้วยการพาทีมชาติไทย เอาชนะทีมแกร่งอย่าง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 2-1 ในศึกฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก อย่างไรก็ตามฟอร์มหลังจากนั้นกลับตรงกันข้าม เมื่อ “ช้างศึก” ลงเล่นอีก 5 นัด ด้วยการแพ้ 3 เกม เสมอ 2 เกม ตกรอบคัดเลือกบอลโลก 2022 โซนเอเชีย รอบสอง ด้วยอันดับรองบ๊วยของกลุ่ม จี เรียกได้ว่าเป็นผลงานที่น่าผิดหวังไม่น้อย และนับรวมไปถึงการตกรอบแรกฟุตบอล ซีเกมส์ ครั้ง 29 ที่ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อปี 2019 อีกด้วย

 

ณ เวลานี้ แฟนบอลหลายคนคงสูญสิ้นความศรัทธากับทัพ “ช้างศึก” ไม่น้อยทีเดียว และได้แต่เฝ้ารอวันที่ทีมชาติไทย จะกลับมาแข็งแกร่ง ประสบความสำเร็จอีกครั้ง ซึ่งเชื่อเหลือเกินว่ามันจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้