ตำนานคืนถิ่น:เจอร์ราร์ด ดีพอหรือยังสำหรับเก้าอี้กุนซือหงส์

 

ท่ามกลางผลงานอันตกต่ำของ ลิเวอร์พูล ในปัจจุบัน ที่แพ้คู่แข่งในถิ่นของตัวเองไปก่า 6 นัดติดแล้ว ร่วงมาอยู่ในอันดับ 8 ของตาราง เรียกว่าลุ้นท็อปโฟร์ยังเหนื่อย แต่ในอีกฟากนึง เรนเจอร์ส ที่นำโดย สตีเว่น เจอร์ราร์ด อดีตกัปตันผู้ยิ่งใหญ่ของทีมกำลังมีฟอร์มที่ยอดเยี่ยมและคว้าแชมป์ลีกมาครองแบบที่ตอนนี้ยังไม่แพ้ใคร

 

ซึ่งด้วยปัจจัยหลายๆอย่างทำให้ อดีตดาวดังเลือดผู้ดีกลายเป็นตัวเลือกหลักในใจแฟนบอลที่จะเข้ามาแทน เจอร์เก้น คล็อปป์ แต่วันนี้ UFA ARENA จะมาวิเคราะห์กันว่า เจอร์ราร์ด ดีพอที่จะกลับมาเป็นกุนซือในถิ่น แอนฟิลด์ หรือยัง

 

สถิติสุดโหดกับเรนเจอร์ส

 

 

นับตั้งแต่มารับงานคุม เรนเจอร์ส เมื่อปี 2018 ผลงานของอดีตแข้งเลือดผู้ดีรายนี้ก็ทำได้แบบดีวันดีคืน จนในฤดูกาลนี้ที่เขาพาทีมคว้าแชมป์ได้ในรอบ 10 ปี ผลงานสถิติในทุกด้านก็เรียกได้ว่ายอดเยี่ยม เริ่มที่การครองบอลพวกเขาทำได้ดีกว่า เซลติค จากการที่โดนแย่งบอลไปแค่ 8.5 ครั้งต่อนัด ในขณะที่คู่แข่งโดนแย่งบอลไปถึง 10.2 ครั้งต่อเกม รวมถึงจ่ายบอลพลาดแค่ 16.6 ครั้งต่อเกมเท่านั้น

 

ในส่วนของเกมรุกพวกเขายิงประตูได้มากที่สุดในลีกที่ 77 ประตู นับเป็น 2.1 ประตู ต่อเกม และพลาดโอกาสทำประตูแค่ครั้งเดียวเท่านั้น แถมในส่วนของเกมรับพวกเขาก็เป็นทีมที่เสียประตูน้อยที่สุดในลีกที่ 9 ประตู นับเป็น 0.28 ประตูต่อเกม และเก็บคลีนชีทได้มากที่สุดที่ 24 นัด เรียกว่าปีนี้พวกเขาเป็นที่สุดทั้งเกมรุกเกมรับ รวมถึงการครองเกมก็ทำได้ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน

 

นอกจากนี้ในส่วนของผลงานโดยรวมก็ดีไม่แพ้กัน ตอนนี้ในลีก เรนเจอร์ส ยังไม่แพ้ใครเลยในลีก เสมอ 4 ชนะ 28 และถ้าหากมองว่าสกอตติช พรีเมียร์ชิพ ดูจะง่ายเกินไป ในส่วนของเกมยุโรปอย่างยูโรป้าลีกเอง พวกเขาก็ไม่แพ้ใครเลยด้วยทั้งที่มีทีมแกร่งอย่าง เบนฟิก้า อยู่ด้วย แต่พวกเขาก็สามารถทะลุเข้ารอบน๊อคเอ้าท์ได้จากการชนะ 4 เสมอ 2 โดยทีมต่อไปที่พวกเขาต้องเจอในรายการนี้คือ สลาเวีย ปราก ทีมแกร่งจากเช็ก

 

ทำลายอาณาจักรเซลติค

 

 

นับตั้งแต่ เรนเจอร์สโดนปรับตกชั้นไป แชมป์ลีกแดนวิสกี้ ก็เป็นสิ่งผูกขาดของ เซลติค มาโดยตลอด ตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้ก็นับเป็น 9 ครั้งติดต่อกันแล้ว ทั้งศักยภาพนักเตะ ระบบของทีม ผู้จัดการทีม หลายสิ่งหลายอย่างของ เซลติค เหนือกว่าทุกทีม แม้ว่า เรนเจอร์ส์ จะกลับขึ้นมาบนลีกสูงสุดแล้วก็ยังไม่สามารถคว่ำพวกเขาได้ทันที

 

แต่ในปีที่จะเป็นประวัติศาสตร์ของ เซลติค กับการจะได้เป็นแชมป์สมัยที่ 10 ติดต่อกัน เรนเจอร์ส ภายใต้การนำของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ก็ทำผลงานขึ้นมาได้อย่างยอดเยี่ยม คว่ำคู่ปรับไปได้ทั้งเกมเหย้าเกมเยือน และปัจจุบันที่พวกเขาคว้าแชมป์ได้แล้วก็มีแต้มทิ้งห่างยอดทีมประจำลีกไปกว่า 20 แต้ม เรียกว่าสามารถยึดอำนาจจาก เซลติคมาได้อย่างสมบูรณ์แบบทั้งในด้านฟอร์มการเล่น และความสำเร็จ

 

 

ทำทีมขึ้นมาด้วยงบที่น้อย

 

 

อย่างที่ทราบกันดีว่า เรนเจอร์ส เป็นทีมที่โดนปรับตั้นไปเมื่อปี 2012/13 ก่อนที่จะกลับขึ้นมาได้อีกครั้งในปี 2016/17 ทำให้สถานะการเงินของสโมสรไม่ได้ดีเด่อะไร ในขณะที่ เจอร์ราร์ด เข้ามาทำทีมในฤดูกาล 2018/19 เป็นซีซั่นแรก แม้ว่าเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าทีมจะมีแนวโน้มในการใช้งานที่สูงขึ้น แต่ก็ถือเป็นการยกระดับทีมที่ไม่แพงจนเกินไปเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง เซลติค ที่ครองความยิ่งใหญ่มานาน

 

ปีแรกของเจอร์ราร์ดเขาใช้เงินไปทั้งสิ้น 11.88 ล้านยูโร ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการยืมตัวเข้ามา พร้อมพาทีมจบอันดับ 2 ของตาราง ฤดูกาลถัดมาเขาใช้เงินไปเพียง 11.33ล้านยูโร จบอันับ 2 เช่นเค ส่วนในฤดูกาลปัจจุบันเขาใช้เงินไป 11.50 ล้านยูโร แต่รอบนี้พวกเขาเป็นแชมป์ได้แล้วด้วยเงินจำนวนนี้

 

แน่นอนว่าหากไปคุม ลิเวอร์พูล เม็ดเงินมันอาจต้องมากขึ้นเป็นธรรมดา แต่ทัพหงส์แดงเองก็เรียกว่าเป็นทีมที่ไม่ไดมีเงินถุงเงินถังที่จะสอยสตาร์ดังมาในราคาแพงมากนัก แถมยังต้องเจอกับ การโก่งราคาเวลาซื้อนักเตะ แต่ด้วยบารมีของ เจอร์ราร์ด เองก็ทำให้การดีลกับตัวนักเตะเองน่าจะไม่ใช่ปัญหา

 

เคยปั้นดาวรุ่งหงส์ที่อยู่ในทีมชุดปัจจุบันมาก่อน

 

 

นอกจากจะคุ้นเคยกับ หงส์แดง ในฐานะนักเตะแล้ว เจอร์ราร์ด ยังเคยรับงานคุมทีมเยาวชนของทีมหลังแขวนสตั๊ดไปเมื่อปี 2016 ด้วย และเคยคุมทีมชุด U-19 ลุยศึกยูฟ่า ยู้ทลีก ด้วยแม้จะไปได้แค่รอบ 8 ทีมสุดท้ายจากการแพ้จุดโทษ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แต่ถึงอย่างนั้นเหล่าดาวรุ่งที่อยู่ในทีมชุดใหญ่ในปัจจุบัน ก็เคยผ่านมือเขามาแล้วทั้ง เคอร์ติส โจนส์ , เนโก้ วิลเลี่ยมส์ และ รีส วิลเลี่ยม

 

ซึ่งในบรรดานักเตะทั้งสามราย เคอร์ติส โจนส์ เป็นเด็กที่กำลังฉายแววมากที่สุดจากการที่ในฤดูกาลนี้เขาลงไปแล้ว 30 นัด ยิง 4 ประตู 4แอสซิสต์ รวมทุกรายการ ซึ่งด้วยความที่เล่นในตำแหน่งกองกลาง เหมือนกับยอดแข้งเลือดผู้ดี การกลับมาที่ถิ่นแอนฟิลด์อีกครั้งอาจทำให้ดาวเตะรายนี้ยกระดับขึ้นไปได้อีกขั้น เช่นเดียวกับกรณีของ เมสัน เมาท์ และ แฟรงค์ แลมพาร์ด

 

ความเหมือนความต่าง บทเรียนจากแลมพาร์ด

 

Steven Gerrard Will Not Take Over at Derby Should Frank Lampard Be  Appointed Chelsea Manager | 90min

 

เทรนการนำอดีตนักเตะของทีมกลับมาคุมทีมเก่าถือเป็นเทรนที่กำลังมาในช่วงนี้ ไม่ว่าจะเป็น มิเกล อาร์เตต้า ที่กลับมาคุม อาร์เซน่อล , โรนัลด์ คูมัน ที่กลับมาคุม บาร์เซโลน่า , โอเล่ กุนนาร์ โซลชา กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รวมถึง แฟรงค์ แลมพาร์ด กับ เชลซี แม้ว่าจะแยกทางกับทีมไปแล้วแต่ผลงานก็ถือว่าทำได้อย่างน่าพอใจ

 

ในกรณีของ แลมพาร์ด เจ้าตัวทำผลงานได้ยอดเยี่ยมในซีซั่นแรกของตัวเอง ทั้งที่ไม่สามารถเสริมทัพได้จากการติดโทษแบน และต้องเสียสตาร์เเด่นอย่าง เอเดน อาซาร์ไปอีก แต่ก็สามารถดันนักเตะดาวรุ่งขึ้นมาผสมกับนักเตะชุดใหญ่ได้อย่างยอดเยี่ยมจนไปจบในตำแหน่งที่ 3 ของตาราง แถมยังมีฟอร์มการเล่นที่สนุกได้ใจแฟนบอล

 

แต่เมื่อฤดูกาลใหม่เริ่มขึ้นพวกเขาสามารถเสริมนักเตะได้แล้วก็จัดการทุ่มไปกว่า 200 ล้านปอนด์ ทำเอาแฟนบอลตื่นเต้นกันยกใหญ่ แต่ฟอร์มการเล่นกลับไม่เป็นไปอย่างที่คิดร่วงไปอยู่ช่วงกลางตาราง ฟอร์มการเล่นที่เคยเล่นกันอย่างลื่นไหลเข้าขา กลายเป็นเล่นกันไม่เป็นทรงจนสุดท้ายก็โดนปลดออกจากทีมไป

 

กับ เจอร์ราร์ด เคยชินกับการทำทีมด้วยงบน้อย และการปั้นเด็ก เหมือนๆกัน สิ่งที่ต้องเรียนรู้และต้องระวังคือการเสริมทัพด้วยการใช้เงินจำนวนมาก ไม่ได้การันตีความสำเร็จ แถมอาจเป็นการเพิ่มความกดดันให้กับทีมด้วยซ้ำ หากว่าอดีตกัปตันหงส์รายนี้จะกลับมารับงานที่ แอนฟิลด์ เขาคงต้องเรียนรู้และระวังให้ดี

 

จะปลุกหงส์ต้องใช้หงส์

 

 

แม้เทรนฟุตบอลในการดึงนักเตะเก่ามาคุมทีมจะกำลังมาในปัจจุบัน แต่สำหรับ ลิเวอร์พูล เทรนนี้มันมีมานานแล้วในชื่อของ “บูทรูม” ที่เริ่มมีมาตั้งแต่ช่วงประมาณปี 80 เป็นธรรมเนียมที่จะดึงเอาคนที่มีความเกี่ยวข้องกับสโมสร หรืออดีตนักเตะของทีมมารับงานคุมทีมต่อเนื่องกันไป โดยเริ่มในยุคของ บิล แชงลีย์ เรื่อยมาจนกระทั่งมาหยุดลงในปี 1998  ที่ รอย อีแวนส์ อดีตแนวรับหงส์แดง ตัดสินใจถอยให้กับ เชราร์ อุลลิเยร์ คุมทีมเต็มตัวแม้จะไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับทีมมาก่อนเลย นั่นนับเป็นจุดสิ้นสุดของประเพณีบูทรูมมาจนถึงปัจจุบัน แม้จะมีช่วงที่ เคนนี่ ดัลกลิช กลับมาช่วยกู้วิกฤตในปี 2011-2012 ก็ตามแต่มันก็เป็นแค่ช่วงสั้นๆเท่านั้น

 

อย่างไรก็ตาม เจอร์ราร์ด มีความคล้ายกับในกรณีของ แกรม ซูเนสส์ เนื่องจากเริ่มต้นความสำเร็จกับ เรนเจอร์ส เช่นเดียวกัน กับการคว้าแชมป์ สก็อตติช พรีเมียร์ชิพมาครองถึง 3 สมัย ก่อนจะได้มาคุม ลิเวอร์พูล แต่กับหงส์แดงแม้จะมีแชมป์เอฟเอคัพติดมือมาบ้าง แต่ผลงานในลีกก็เรียกได้ว่าไม่เป็นชิ้นเป็นอันนั่นคือความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ และเป็นความเสี่ยงที่ เจอร์าร์ด เองก็รู้ดี

 

แต่ในเรื่องการกลับไปเป็นกุนซือในถิ่นแอนฟิลด์ ตำนานแข้งชาวอังกฤษ ก็เคยออกมาให้สัมภาษณ์แล้วว่า “ผมเข้าใจเหตุผล (คนอยากเห็นเขาไปรับงานต่อจากคล็อปป์) เพราะผมเป็นกัปตันทีมที่นั่นมานาน และมีฐานแฟนบอลมากมายอยากเห็นผมกลับไปสโมสร แต่ผมฉลาดพอที่จะรู้ว่า อย่างแรกคุณต้องเจ๋งพอก่อน และเจ้าของทีมจำเป็นต้องคิดว่าคุณคือคนที่ใช่”

 

ชัดเจนว่า สตีเว่น เจอร์ราร์ด ตำนานกัปตันทีมหงส์แดง ตั้งใจจะเก็บประสบการณ์ให้ตัวเองดีพอ แกร่งพอที่จะกลับไปพาทีมผงาด ต้องมาดูกันว่า การคว้าแชมป์ลีกสูงสุดแดนสก็อต รวมถึงผลงานในปัจจุบัน จะสามารถเป็นคำตอบว่าเขาเจ๋งพอ และพร้อมที่จะกลับมากู้วิกฤตให้ทีมรักของตนได้หรือยัง