ถึงคราวหงส์ต้องไล่ตามผี : 5 ประเด็นก่อนเกมแดงเดือดยกแรกของซีซั่น

ย้อนกลับไปตอนต้นฤดูกาล… คุณจะเชื่อไหมถ้ามีคนบอกว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะบุกมาทำศึกแดงเดือดกับ ลิเวอร์พูล บนสังเวียนแอนฟิลด์ในฐานะจ่าฝูง

 

หลังจบเกมนัดที่ 17 ของซีซั่น ปีศาจแดงที่ออกสตาร์ทได้อย่างเจี๋ยมเจี้ยม กลับทะยานขึ้นมายืนเบ่งบนจุดสูงสุดของตาราง โดยมีแต้มนำหน้าหงส์แดงที่โดนเบียดลงไปรั้งอันดับสองอยู่ 3 คะแนน และในวันอาทิตย์นี้ ก็ถึงเวลาที่ทั้งคู่จะได้โคจรมาปะทะกันอีกครั้ง ซึ่งเป็นเวลาเกือบ 1 ปีนับตั้งแต่การเผชิญหน้ากันครั้งสุดท้าย

 

เพื่อเป็นการอุ่นเครื่องก่อนถึงช่วงเวลาที่ทั้งเดอะค็อปและเร้ดอาร์มี่รอคอย เรามาดูกันดีกว่าว่ามีประเด็นอะไรที่น่าสนใจในศึกเร้ดวอร์ครั้งที่ 131 บ้าง

 

เมื่อผีไม่ได้มาในฐานะลูกไล่

 

ด้วยความเก่งกาจเกินหน้าเกินตาของ ลิเวอร์พูล ในตลอดสองฤดูกาลหลังสุด ทำให้เมื่อถึงศึกแดงเดือด แมนฯ ยูไนเต็ด ต้องกัดฟันยอมรับสภาพว่าพวกเขาได้ 1 คะแนนจากหงส์แดงก็ถือว่าน่าพอใจแล้ว

 

ครั้งสุดท้ายที่ ยูไนเต็ด สู้กับ ลิเวอร์พูล โดยที่ไม่ได้อยู่ “ใต้ตีน” ต้องย้อนกลับไปเมื่อฤดูกาล 2017-18 ในเกมที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด ซึ่งขณะนั้นปีศาจแดงที่นำมาโดย โชเซ่ มูรินโญ่ อยู่ในอันดับ 2 ของตาราง ส่วนหงส์แดงอยู่ในอันดับ 4 ของตาราง และที่สำคัญ นั่นคือครั้งสุดท้ายที่พลพรรคอสูรปราบเครื่องจักรสีแดงได้

 

ทว่าชั่วโมงนี้ ต้องยอมรับว่า แมนฯ ยูไนเต็ด มาในสถานะที่เหนือกว่า ลิเวอร์พูล ทั้งเรื่องของอันดับในตาราง , ฟอร์มการเล่นในช่วงหลัง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องสภาพความพร้อมของขุมกำลัง ซึ่งจะว่าไป… นานขนาดไหนแล้วนะที่แฟนบอลปีศาจแดงไม่ได้หวังแค่ผลเสมอในการเจอกับหงส์แดง

 

 

เจ้าพ่อเกมเหย้า vs ปรมาจารย์เกมเยือน

 

ในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูล ยังคงไร้เทียมทานเมื่อเล่นที่แอนฟิลด์ โดยพวกเขาเอาชนะไปได้ 7 นัด และเสมอ 1 นัด ทว่าเมื่อออกไปเล่นนอกบ้าน หงส์แดงกลับคว้าชัยได้แค่ 2 จาก 9 นัด ส่วนอีก 7 นัดเป็นการเสมอ 5 และแพ้ 2

 

ขณะที่ฝั่ง แมนฯ ยูไนเต็ด พวกเขามีผลงานที่โอลด์ แทรฟฟอร์ดคือชนะ 4 เสมอ 2 และแพ้ 3 แต่ปัจจัยสำคัญที่พาปีศาจแดงขึ้นมานำเป็นจ่าฝูงได้คือเกมเยือน เมื่อทีมของโอเล่ กุนนาร์ โซลชาคว้าชัยไปได้ 7 นัด และเสมอ 1 นัด เช่นเดียวกับผลงานในบ้านของ ลิเวอร์พูล

 

 

ครั้งแรกที่ไม่มีแฟนบอล

 

นี่จะเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ศึกแดงเดือดไม่มีแฟนบอลเข้าชมเกมในสนาม แม้เราจะรู้สึกเหมือนกับว่านั่งฟังเสียงเชียร์ก็อปเกรดเอทางหน้าจอมานานแล้ว แต่เกมสุดท้ายที่ทั้งสองทีมเจอกันต้องย้อนกลับไปไกลถึงวันที่ 19 มกราคม 2020 ซึ่งทาง ลิเวอร์พูล เปิดบ้านเอาชนะ แมนฯ ยูไนเต็ด ไป 2-0 โดยในเวลานั้นการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ยังไม่กลืนกินโลกอย่างในปัจจุบัน

 

คิดดูแล้วก็น่าเสียดายเหมือนกัน ที่เราจะไม่ได้สัมผัสความบ้าคลั่งและเสียงเชียร์จริงๆของแฟนบอลในเกมที่เต็มไปด้วยแพสชั่นแบบนี้

 

 

พอล เทียร์นี่ย์

 

ทันทีที่มีการประกาศว่าผู้ตัดสินที่จะชี้ขาดในเกมแดงเดือดคือ พอล เทียร์นี่ย์ เชื่อว่าน่าจะมีเดอะค็อปหลายคนที่แอบสะดุ้ง หากใครสงสัยว่าเพราะอะไร เราไปดูสถิติของเชิ้ตดำรายนี้กัน

 

ตลอดอาชีพการเป็นผู้ตัดสินของ เทียร์นี่ย์ เขาลงตัดสิน ลิเวอร์พูล ไปทั้งหมด 13 นัด (ชนะ 8 เสมอ 3 แพ้ 2) , แจกใบเหลืองให้กับนักเตะหงส์แดงไป 14 ใบ , ไม่มีใบแดง และไม่เคยให้จุดโทษกับ ลิเวอร์พูล เลยสักครั้ง

 

มาทางฝั่ง แมนฯ ยูไนเต็ด ผู้ตัดสินวัย 40 ปีลงทำหน้าที่ไปทั้งหมด 13 นัดเท่ากัน (ชนะ 7 เสมอ 3 แพ้ 3) , แจกใบเหลืองให้กับผู้เล่นปีศาจแดงไป 22 ใบ , ไม่มีใบแดง และให้จุดโทษกับทาง ยูไนเต็ด ไป 5 ครั้ง

 

นอกจากนี้ เทียร์นี่ย์ ยังถือเป็นโจทก์เก่าของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ด้วย หลังจากกุนซือชาวเยอรมันเคยโวยแหลกใส่กรรมการรายนี้ที่ไม่ยอมเป่าฟรีคิกให้ในจังหวะที่ จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม โดนทำฟาวล์ ในเกมที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ แอสตัน วิลล่า ไป 2-0 เมื่อเดือนกรกฎาคมปีก่อน ซึ่งหลังจบเกม เทียร์นี่ย์ ก็ออกมายอมรับว่า “ผมทำผิดพลาดเองแหละ เจอร์เก้น ผมก็เหมือนกับนักเตะ มันมีผิดพลาดกันได้ ผมทำผิดพลาด ลืมมันไปเถอะ”

 

 

สถิติที่ผ่านมา

 

– คู่นี้เจอกันทั้งหมด 130 ครั้งรวมทุกรายการ ลิเวอร์พูล ชนะ 41 ครั้ง , เสมอกัน 35 ครั้ง และ แมนฯ ยูไนเต็ด ชนะ 54 ครั้ง

– ขณะที่สถิติการยิงประตู ลิเวอร์พูล ทำได้ 145 ประตู ส่วนทางฝั่ง แมนฯ ยูไนเต็ด ทำได้ 150 ประตู

– หากนับเฉพาะที่แอนฟิลด์ ทั้งคู่ดวลกันทั้งหมด 65 ครั้ง หงส์แดงชนะ 29 ครั้ง , เสมอกัน 15 ครั้ง และปีศาจแดงชนะ 21 ครั้ง

– สตีเว่น เจอร์ราร์ด คือดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลของศึกแดงเดือด โดย สตีวี่ จี ยิงให้กับ ลิเวอร์พูล ไปทั้งสิ้น 9 ประตู ส่วนนักเตะที่ทำประตูในศึกเร้ดวอร์ได้มากที่สุดของ แมนฯ ยูไนเต็ด คือ เดนิส ลอว์ โดยกองหน้าเจ้าของฉายาราชาสตั๊ดเหินหาวซัดให้กับปีศาจแดงไปทั้งหมด 6 ประตู