ยังไม่ฟื้นไข้ : ทำไม 2 ยักษ์ใหญ่แดนละตินถึงฟอร์มย่ำแย่

 

ดูเหมือนว่ายอดมหาอำนาจในโลกลูกหนังอย่าง บราซิล และ อาร์เจนติน่า คงจะกลับมาอยู่ในจุดที่พวกเขาเคยอยู่ไม่ได้ในเร็วๆนี้อย่างแน่นอน หลังโชว์ฟอร์มได้ย่ำแย่มากๆ ในช่วงพักเบรกทีมชาติที่ผ่านมา

 

ทัพเซเลเซาทำได้แค่เสมอกับทีมที่ไม่มีนักเตะที่ค้าแข้งในยุโรปเลยอย่าง ปานาม่า 1-1 ก่อนจะมากู้หน้าได้เล็กน้อยในนัดที่ชนะสาธารณรัฐเช็กไป 3-1 เมื่อคืนที่ผ่านมา

 

ที่แย่กว่าคือทีมฟ้าขาวที่ขนนักเตะระดับโลกไปเต็มอัตราศึก กลับแพ้ให้กับทีมชาติเวเนซูเอล่าแบบช็อคโลก 3-1 จากนั้นก็เอาชนะทีมเล็กๆอย่างโมร็อคโคไปแบบหึดจับ 1-0 ในคืนเดียวกัน

 

ด้วยเหตุนี้หลายคนจึงมองว่า ทั้งสองทีมยังไม่ฟื้นไข้จากฟุตบอลโลกในแดนหมีขาวเมื่อปีที่ผ่านมาเลย แถมบางเรื่องดูย่ำแย่ขั้นวิกฤตกว่าเดิมด้วยซ้ำไป

 

UFA ARENA จึงวิเคราะห์สองชาติจากแดนละตินอเมริกากันว่าเพราะเหตุใดพวกเขาจึงหมดสภาพยอดทีมแห่งวงการลูกหนังโลกในตอนนี้

 

 

ใช้ เดอะ แบก มากไปก็ไม่ดี

 

 

ทั้งสองทีมมีหลายๆอย่างที่คล้ายกัน หนึ่งในนั้นก็คือมีดาวเตะเบอร์ต้นๆของวงการลูกหนังโลกอยู่ในทีม ทางฝั่งบราซิลมี เนย์มาร์ แข้งซุปตาร์จากปารีส แซงต์ แชร์กแมง ขณะที่อาร์เจนติน่ามี ลิโอเนล เมสซี่ แข้งนอกโลกจากบาร์เซโลน่า แน่นอนการมีนักเตะแบบนี้อยู่ในทีมย่อมเป็นเรื่องที่ดีมากๆ แต่ทว่าสิ่งนี้ก็เป็นเหมือนดาบสองคมเช่นกัน

 

เมื่อไหร่ที่ดาวเด่นในทีมฟอร์มตก นักเตะที่เหลือในทีมก็พาลแย่ตามไปด้วย ซึ่งเหตุการณ์ลักษณะเกิดขึ้นกับทั้งสองทีมบ่อยมากๆ โดยเฉพาะทีมฟ้าขาวที่มักจะพึ่งเมสซี่มากจนเกินไป ทั้งๆที่พวกเขาก็มีแข้งฝีเท้าดีมากมาย หลายๆคนคงจะเห็นภาพชัดเจนขึ้น หากย้อนไปในช่วงบอลโลกปี 2014 หรือปี 2018 ล่าสุด ที่ไม่ใครแบกทีมนอกจากเมสซี่ได้เลย  

 

 

ของใหม่ยังต้องใช้เวลา

 

 

อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงที่มีให้เห็นในทีมทั้งประเทศนี้ คือการดร็อปแข้งวัยเก๋าออกและหันไปเรียกใช้นักเตะดาวรุ่งเข้ามาแทน แต่ทว่าผลลัพธ์ที่ออกมาดูไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่

 

ทีมฟ้าขาวได้ลองใช้งานดางรุ่งพุ่งแรงอย่าง เลาตาโร่ มาร์ติเนซ จากอินเตอร์ มิลาน, กอนซาโล่ มาร์ติเนซ จากอตาแลนต้า เอฟซี หรือ มาร์ธิอัส ซาราโช่ จากราซิ่ง แต่หลังจาก 2 นัดที่ผ่านมา ต้องบอกว่าน่าผิดหวัง และคงต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์อีกเยอะ

 

ในขณะที่ดางรุ่งแซมบ้ามีทั้ง ริชาร์ลิสัน, เอแดร์ มิลิเตา และ ลูคัส ปาเกต้า แม้จะดูดีกว่าทีมคู่แข่งทวีปเดียวกันหน่อย แต่โดยรวมแล้วก็ไม่สามารถทดแทนแข้งหน้าเก่าในทีมได้มากนัก ซึ่งก็ได้แต่หวังว่าเวลาและประสบการณ์จะทำช่วยให้เขาแข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิม

 

 

คุณภาพผู้เล่นในลีกที่ถดถอยลง

 

 

ในยุคก่อนๆ เรามักจะเห็นสองชาติต่างสร้างนักเตะดาวรุ่งในประเทศกันอย่างมากมาย จนเมื่อพวกเขาเหล่านั้นฟอร์มเข้าตาแมวมอง ก็อาจจะย้ายไปเล่นในทีมต่างทวีปเลย ซึ่งนั่นถือเป็นสิ่งที่บราซิลและอาร์เจนติน่ายึดถือและยังคงทำมาตลอด

 

แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ คุณภาพนักเตะของพวกเขาไม่ได้ยอดเยี่ยมเช่นเมื่อก่อนแล้ว มีนักเตะไม่กี่คนเท่านั้นที่ย้ายมาเล่นในทีมใหญ่ได้ทันที และส่วนใหญ่ก็มักจะไปไม่รอดอยู่เสมอ ซึ่งเป็นสิ่งที่แฟนบอลยุคใหม่เห็นจนชินตา

 

รวมถึงปัจจัยเรื่องเงินทำให้นักเตะแดนละตินเหล่านี้เลือกปฏิเสธชื่อเสียง, ความก้าวหน้าหรือความสำเร็จระดับสูงในเส้นทางอาชีพค้าแข้ง และเลือกความสะดวกสบายในทีมมหาเศรษฐีแทน ทั้งๆที่พวกเขายังค้าแข้งให้กับทีมชั้นนำในยุโรปได้สบายๆ เช่น ออสการ์, เปาลินโญ่, แอนเดอร์สัน ทาลิสก้า, ฮัลค์, อเล็กซ์ เตเซย์ร่า เป็นต้น

 

 

ทีมเวิร์คที่หายไป

 

 

ผลพวงจากข้อแรกทำให้ทีมเวิร์คที่สองชาติเคยมีและทำได้ดี ขาดหายไปอย่างช่วยไม่ได้ เพราะการเล่นในทีมชาติพวกเขามีเวลาซ้อมด้วยกันแค่ไม่กี่วันเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากการเล่นในสโมสรที่มีเวลาปรับจูนสไตล์การเล่นกันเกือบทุกสัปดาห์อยู่แล้ว

 

รวมไปถึงการเรียกนักเตะหน้าใหม่เข้ามารับใช้ทีมชาติเป็นครั้งแรกก็ถือว่าเป็นเรื่องยากมากๆที่จะปรับตัวเข้ากับระดับของทีมได้ทันที ต่อให้มีจริงๆก็เป็นไปไม่ได้ที่นักเตะหน้าใหม่ทุกคนจะทำตามได้เหมือนกันหมด และเชื่อว่าต้องเวลาอีกพักใหญ่ในการปรับตัวครั้งนี้

 

แต่ถ้าดูทีมใหญ่จากทวีปยุโรปแล้ว คงจะใช้ข้ออ้างเรื่องสโมสรและดาวรุ่งได้ไม่เต็มปากนัก เพราะพวกเขาต่างคว้าชัยชนะมาได้อย่างสวยงามและมีสไตล์การเล่นที่น่าจดจำด้วย และที่สำคัญพวกเขาก็เปลี่ยนถ่ายแข้งเลือดใหม่ในทีมไม่ต่างจากบราซิล หรือ อาร์เจนติน่า ด้วยเช่นกัน

 

   

ฟอร์มไม่สมกับเป็นทีมใหญ่

 

 

หากย้อนกลับไปในช่วง 10 นัดหลังสุด บราซิลเอาชนะคู่แข่งได้ถึง 5 นัดก็จริง แต่พวกเขามักจะพลาดไปเสมอในเกมที่ไม่ควรอยู่บ่อย ไม่ว่าจะเป็นนัดที่เสมอกับสวิตเซอร์แลนด์ในนัดเปิดสนามบอลโลก 1-1  หรือ เกมที่เสมอกับปานามาเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา

 

ขณะที่อาร์เจนติน่าดูจะหลุดไปพอสมควร เพราะพวกเขาชนะแค่ 3 จาก 10 นัดหลังสุดเท่านั้น และ 3 เกมที่แพ้ของทีมฟ้าขาวนั้น พวกเขาเสียประตูถึง 3 ลูกทุกนัด

 

นี่เป็นหลักฐานที่บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าพวกเขาไม่ใช่ทีมที่แข็งแกร่งเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป แม้จะมีผู้เล่นระดับโลกมากแค่ไหน แต่พวกเขาก็พร้อมจะเพลี้ยงพล้ำให้กับทีมคู่แข่งเสมอ   

 

 

ความกดดันจากแฟนบอล

 

 

นี่คือสิ่งที่นักเตะของทั้งสองชาติต้องแบกรับไว้ทุกยุคทุกสมัย เพราะในยุคหนึ่ง ทั้งบราซิลและอาร์เจนติน่าต่างเคยก้าวขึ้นไปเป็นเบอร์หนึ่งของโลก ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าแฟนบอลของทั้งสองชาติต่างคาดหวังและต้องการเห็นทีมของตัวเองกลับขึ้นไปอยู่บนสูงสุดแห่งโลกลูกหนังอีกครั้ง

 

บราซิลเคยคว้าแชมป์โลกมาถึง 5 สมัย แชมป์โคปา อเมริกาอีก 8 สมัย รวมถึงสไตล์การเล่นที่สวยงามและเพลินตาเฉกเช่นการเต้นรำแบบแซมบ้า บวกกับความผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่าในรายการใหญ่ๆติดต่อกัน ส่งผลให้แข่งรุ่นใหม่ต้องกดดันยามรับใช้ชาติมากขึ้นเป็นเท่าตัว

 

และนั่นก็คือสิ่งที่ทัพฟ้าขาวยุคใหม่ต้องเผชิญอยู่ไม่ต่างกัน เพราะศักดิ์ศรีของแชมป์โลก 2 สมัยและแชมป์ทวีปอีก 14 สมัย มันค้ำคอพวกเขาอยู่ ไม่แปลกที่ความกดดันจากแฟนบอลจะเป็นฝ่ายเล่นงานพวกเขาเอง ทั้งๆที่มันควรจะเป็นแรงสนุนสนุนให้พวกเขายามลงเล่นแท้ๆ