ยิ่งแก่ยิ่งแกร่ง : คารวะ อาริตซ์ อาดูริซ ตำนานคนล่าสุดแห่งบิลเบา

 

นี่ถือเป็นสัปดาห์ที่แสนเศร้าของสาวกแอธเลติก บิลเบา เมื่อ อาริตซ์ อาดูริซ กองหน้าจอมเก๋าประจำทีมประกาศแขวนสตั๊ดด้วยวัย 39 ปี ผ่านโลกออนไลน์

 

แต่เดิมที หัวหอกชาวสแปนิช ได้ประกาศตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีก่อนแล้วว่านี่จะเป็นฤดูกาลสุดท้ายของเขากับการค้าแข้งในฟุตบอลอาชีพ แต่ด้วยปัญหาบาดเจ็บรุมเร้าหนักบริเวณสะโพกจนต้องผ่าตัด ทำให้เขาฝืนร่างกายต่อไปไม่ไหว และพลาดลงเล่นนัดชิงกับ เรอัล โซเซียดาด ในศึกโกปา เดล เรย์ ไปอย่างน่าเสียดาย

 

อย่างไรก็ตาม การอดเล่นเกมสำคัญส่งท้ายก็ไม่ได้ลดทอนความยอดเยี่ยมที่ อาดูริซ แสดงให้แฟนบอลทั่วโลกลงไปแม้แต่น้อยเลยในช่วงเวลา 20 กว่าปีที่ผ่านมา

 

UFA ARENA จึงขอพาทุกท่านย้อนไประลึกช่วงเวลาที่น่าจดจำของ แข้งชาวบาสก์ ตั้งแต่เป็นดาวรุ่งจนกลายเป็นตำนานคนล่าสุดของบิลเบาผ่านบทความชิ้นนี้

 

 

ลูกหม้อบิลเบา

 

 

หนุ่มน้อยจาก ซาน เซบาสเตียน เติบโตมาในครอบครัวที่ชื่นชอบการเล่นกีฬาอย่างแท้จริง ทั้งการเล่นเล่นเซิร์ฟ, ปืนเขา หรือ เล่นสกี แต่ฟุตบอลคือสิ่งที่ อาดูริซ ทำได้ยอดเยี่ยมที่สุด ก่อนจะย้ายเข้าไปร่วมทีมเยาวชนท้องถิ่น อันติคัวโก้

 

ในทีมนั้น เขาได้ร่วมเล่นกับ ชาบี อลอนโซ่, มิเกล อาร์เตต้า และ อันโดนี่ อิราโอล่า แต่ท้ายที่สุด เขากลับไม่ถูกสโมสรดังในสเปนดึงไปร่วมทีมในตอนแรกเหมือนเพื่อนๆ ก่อนจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งใน เลซาม่า ศูนย์ศึกเยาวชนของ แอธเลติก บิลเบา เมื่อปี 2000 แม้ในตอนนั้นเขาจะมีอายุ 19 ปีแล้วก็ตาม

 

อาดูริซหนุ่มได้ฝึกฝนวิชาลูกหนังในทีมสำรอง และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ จากนั้นอีก 2 ปีต่อมา เขาได้โอกาสลงเล่นทีมชุดใหญ่ของบิลเบา เป็นครั้งแรกในนัดที่พบกับ บาร์เซโลน่า เดือนกันยายนปี 2002

 

อย่างไรก็ตาม โอกาสลงสนามของเขาก็มีไม่มากนัก ก่อนถูกปล่อยยืมให้กับ บูร์โกส ในฤดูกาล 2003-04 และขายขาดให้กับ เรอัล บายาโลดิด ในปีต่อมา แต่ด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมในสีเสื้อปูเคลาโนส ทำให้ สโมสรดังในบ้านเกิดดึงตัวเขากลับไปร่วมทีมอีกครั้งในตลาดนักเตะหน้าหนาวปี 2006

 

 

ผจญภัยนอกแคว้นนบาสก์

 

 

ในฤดูกาลแรกแบบเต็มตัวกับ บิลเบา อาดูริซ ทำผลงานได้ดีพอใช้ด้วยการกด 9 ประตูจาก 34 นัดในลาลีก้า แต่ทว่าการแจ้งเกิดของ เฟร์นานโด้ ยอเรนเต้ ที่เป็นกองหน้าดาวรุ่งในตอนนั้น ทำให้เขากลายเป็นตัวเลือกสำรองในแดนหน้าอยู่หลายครั้ง และยิงได้เพียง 7 ประตูเท่านั้น จาก 33 นัดในลีก

 

ด้วยเหตุนี้ทำให้ กองหน้าเลือกบาสก์ ตัดสินใจเก็บข้าวของออกจาก ซาน มาเมส อีกครั้ง และเลือกย้ายไปเล่นกับ มายอร์ก้า ในปี 2008 ด้วยสัญญา 4 ปี

 

ดูเหมือนนี่เป็นการเลือกที่ถูกต้อง เพราะในปีแรกกับทีมชาวเกาะ เขาครองตำแหน่งดาวซัลโวประจำสโมสรด้วยจำนวน 11 ประตู พาทีมจบอันดับ 9 ในตาราง และในปีต่อมา อาดูริซ ทำได้ดีกว่าเดิมด้วยการซัดไป 12 ประตูในลีก พร้อมคว้าอันดับ 5 ในลีกช่วยให้ทีมผ่านเข้าไปเล่นยูโรป้า ลีก รอบคัดเลือกในฤดูกาลหน้าได้สำเร็จ 

 

ทางด้าน บาเลนเซีย ที่เสียทั้ง ดาบิด บีย่า และ นิโคล่า ซิกิช 2 แข้งสำคัญในแนวรุก ก็เลือกคว้า อาดูริซ มาอุดรอยรั่วในแดนหน้าร่วมกับ โรแบร์โต้ โซลดาโด้ ในปี 2010 ซึ่งนั่นเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า เนื่องจากทั้งคู่ซัดประตูเป็นกอบกำช่วยให้ ไอ้ค้างคาว คว้าอันดับ 3 ในฤดูกาลนั้นมาครอง (อาดูริซ 10 ประตู, โซลดาโด้ 18 ประตู)

 

แม้ อาดูริซ จะยิงได้ไม่มากเท่าไหร่ในฤดูกาล 2011-12 เมื่อเทียบกับ โซลดาโด้ หรือ โจนาส แต่ 7 ประตูในลีกที่เขาทำได้ ก็ช่วยให้บาเลนเซียคว้าอันดับ 3 มาครองเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน

 

มากกว่าไปกว่านั้น นี่ยังทำให้ แอธเลติก บิลเบา กลับมาให้ความสนใจ อดีตแข้งลูกหม้อของพวกเขาอีกครั้งในรอบ 4 ปีเศษๆ 

 

 

ยิ่งแก่ยิ่งเก่ง

 

 

อาดูริซ ย้ายมาเล่นกับสโมสรแรกในอาชีพค้าแข้งอีกครั้งเป็นหนที่ 3 ด้วยค่าตัว 2.5 ล้านยูโร และในครั้งนี้มันแตกต่างกว่าที่ผ่านมาแบบสิ้นเชิง

 

ก่อนหน้านี้ หอกชาวบาสก์ ไม่เคยยิงได้ถึง 16 ประตูต่อฤดูกาลเลย ไม่ว่าจะย้ายไปเล่นกับทีมไหนๆ ซึ่งสถิติที่ดีที่สุดคือ 14 ประตูกับ บาเลนเซียในฤดูกาล 2010-11

 

อย่างไรก็ตาม อาดูริซ กับ บิลเบา ช่วงที่ 3 ยิงประตูได้เกิน 16 ประตู ถึง 6 ปีติดต่อกัน ระหว่างปี 2012-2016 โดยแบ่งเป็น 18 ประตูใน ฤดูกาล 2012-13, 18 ประตูใน ฤดูกาล 2013-14, 26 ประตูใน ฤดูกาล 2014-15, 37 ประตูใน ฤดูกาล 2015-16, 25 ประตูใน ฤดูกาล 2016-17 และ 20 ประตูใน ฤดูกาล 2017-18 

 

นั่นทำให้เขากลายเป็น เพชรฆาตเบอร์ต้นๆของลีกสูงสุดแดนกระทิง รวมไปถึงในเวทีลูกหนังระดับทวีปยุโรปด้วย และที่แปลกกว่านักเตะทั่วไปส่วนใหญ่คือ อาดูริซ ดันมาโชว์ฟอร์มเก่งในช่วงที่เขาอายุเลยเลข 3 ไปพอสมควร ซึ่งเป็นช่วงที่หลายคนเข้าสู่ขาลงในอาชีพค้าแข้ง

 

ปีที่พีกสุดๆของ อาดูริซ ของหนีไม่พ้นฤดูกาล 2014-15 ที่พาทีมคว้าแชมป์แรกในรอบ 30 ปีของสโมสร อย่าง สแปนิช ซุปเปอร์ คัพ ด้วยการเอาชนะ บาร์เซโลน่า ยอดทีมในลาลีก้า ด้วยสกอร์รวม 5-1 และเชื่อว่าไม่มีแฟนบิลเบาคนไหนลืมแฮตทริกของเขาในเกมแรกที่ ซาน มาเมส ได้ลงแน่นอน

 

ในทีมชาติ อาดูริซ ติดทัพกระทิงดุครั้งแรกในวัย 29 ปี ซึ่งกำลังค้าแข้งกับ บาเลนเซีย ปี 2010 และติดทีมชาติอีกครั้งในปี 2016 โดยลงเล่นไป 13 นัด ทำไป 2 ประตูด้วยกัน

 

อาดูริซ ทำสถิติมากมายทั้งในสโมสรและรายการต่างๆ อาทิเช่น เป็นนักเตะอายุมากที่สุดที่ทำประตูในสโมสร (38 ปี กับ 186 วัน) , นักเตะอายุมากที่สุดที่ทำประตูได้ในทีมชาติสเปน ( 35 ปี และ 275 วัน), รั้งดาวซัลโวตลอดกาลอันดับ 3 ของบิลเบาที่ 172 ประตู หรือ เป็นแข้งชาวสเปนที่ยิงประตูในลาลีก้าได้มากที่สุดในศตวรรษที่ 21 เป็นอันดับ 2 ด้วยจำนวน 158 ประตู เป็นรองเพียง ดาบิด บีย่า เท่านั้น

 

 

ฝืนต่อไม่ไหว

 

 

แม้จิตใจจะสู้แค่ไหน แต่ร่างกายคือสิ่งที่ร่วงโรยตามการเวลา และนี่คือสิ่งที่ อาดูริซ หลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นเดียวกับนักฟุตบอลาชีพคนอื่นๆ

 

อาการบาดเจ็บนั่นอยู่กับ อาดูริซ มาเสมอ นับตั้งแต่เขาก้าวสู่วัยเลข 3 อย่างเต็มตัว แต่ปี 2018 เป็นต้นมาคือช่วงที่อาการบาดเจ็บรบกวนเขามากที่สุด และทำให้เขาพลาดลงเล่นมากถึง 34 เกม โดยเกมสุดท้ายที่เขาลงเล่นคือนัดที่พบถล่ม บายาโลดิด 4-1 เมื่อเดือนมีนาคม

 

แข้งชาวบาสก์ บาดเจ็บตั้งแต่บริเวณท้อง จนค่อยๆลามไปกล้ามเนื้อ, หัวเข่า และ หนักๆสุดบริเวณสะโพกในปี 2020 จนในที่สุด เขาก็ออกมาประกาศแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการผ่านทางทวิตเตอร์ของตนเอง 

 

“เวลานี้ได้มาถึงแล้ว หลายๆครั้ง ผมพูดเสมอว่าฟุตบอลจะทิ้งคุณไปก่อนที่คุณจะทิ้งมัน เมื่อวานนี้หมอได้บอกว่าผมต้องผ่าตัดไม่ช้าก็เร็ว เพื่อใส่สะโพกเทียม และพยายามกลับไปใช้ชีวิตประจำวันของผมให้เป็นปกติที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โชคไม่ดีที่ร่างกายของผมบอกให้พอเสียที” แข้งวัย 39 ปีกล่าว

 

น่าเสียดายที่เขาอดลงเล่นในเกมสำคัญกับ โซเซียดาล ทีมอริร่วมแคว้นใน โกปา เดล เรย์ นัดชิงชนะเลิศที่จะจัดขึ้นช่วงปลายฤดูกาลนี้ แต่ช่วงเวลาที่น่าจดจำของ อาดูริซ ก็มีให้แฟนๆได้นึกถึงอยู่มากมาย

 

ทั้งยิงจุดโทษก้าวเดียวใส่ บายาโลดิด ฤดูกาลก่อน, เล่นแบบแฟร์เพลย์ด้วยการปฏิเสธจุดโทษที่ไม่ควรได้ในเกมพบ เอบิบาร์ ปี 2018 หรือ ซัดประตูชัยด้วยลูกจักรยานอากาศใส่ บาร์เซโลน่า ในนัดเปิดสนามฤดูกาล 2019-20 

 

 

แอตเลติก บิลเบา อาจไม่ใช่ทีมเดียวที่ อาดูริซ เคยค้าแข้ง ตลอดกว่า 2 ทศวรรษในฟุตบอลอาชีพ แต่นี่คือสโมสรที่เขาผูกพันมากที่สุด และเวลา 12 ปีในถิ่น ซาน มาเมส ทำให้เขากลายเป็นส่วนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของสโมสรไปแล้วเรียบร้อย

 

ไม่ว่าในอนาคตจะเป็นเช่นไร สถานะความเป็นตำนานของ อาดูริซ ในแอธเลติก บิลเบา ก็จะไม่มีวันลดลงหรือเปลี่ยนแปลงไปอย่างแน่นอน