ลุ้นเหนื่อยแน่! 5 ปัจจัยทำไม ‘ช้างศึก’ บุก ‘เสือเหลือง’ ไม่ใช่เกมที่ง่าย

 

ทีมชาติไทย มีโปรแกรมจะต้องบุกไปเยือน ทีมชาติมาเลเซีย ที่สนาม บูกิต จาลิล สเตเดี้ยม ศึกฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย ในวันที่ 14 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งถือเป็นแมตช์ที่สำคัญต่อทั้งสองทีมมากๆ

 

อย่างไรก็ตามจากสถิติที่ผ่านมาของ ทัพ “ช้างศึก” สำหรับการบุกไปเยือนทีม “เสือเหลือง” ค่อนข้างน่าเป็นห่วงพอสมควร โดยเฉพาะตัวเลขที่ชี้ชัดว่าเราไม่เคยบุกไปชนะคู่ปรับทีมนี้ได้เลยเป็นว่าเกิน 3 ทศวรรษ มาแล้ว

 

นอกจากนี้ยังอีกหลายปัจจัยที่ดูแล้ว น่าจะทำให้การตบเท้าไปเยือน มาเลเซีย ในเกมสำคัญนัดนี้ของ ทีมชาติไทย คงจะไม่ใช่งานง่ายแน่นอน หากจะหวังถึงขั้นบุกมาคว้า 3 แต้ม ในแมตช์นี้

 

 

แรงกดดันจากเสียงเชียร์แฟนบอลเจ้าถิ่นเรือนแสน

 

แน่นอนว่าตลอดช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา ถือเป็นงานยากเสมอของ ทีมชาติไทย ยามที่ต้องบุกไปดวลกับคู่ปรับสำคัญอย่าง มาเลเซีย โดยเฉพาะการลงเล่นที่สนาม บูกิต จาลิล สเตเดี้ยม รังเหย้าของทีม “เสือเหลือง” ซึ่งสามารถจุแฟนบอลได้เกือบหลักแสนคนเลยทีเดียว

 

หนึ่งในสนามฟุตบอลที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น “นรกทีมเยือน” อย่าง บูกิต จาลิล สามารถรองรับแฟนบอล “มาลายา” ที่พร้อมใจกันส่งเสียงเชียร์ทีมรักของตัวเอง และกดดันคู่แข่งตลอด 90 นาที ได้มากถึง 87,411 คน ซึ่งสำหรับผู้เล่นในสนามแล้วการต่อสู้กับแรงกดดันมหาศาลนี้ ถือเป็นงานที่หนักเอาเรื่องไม่น้อย

 

อดิศักดิ์ ไกรษร อดีตศูนย์หน้าทัพ “ช้างศึก” ชุดแชมป์ เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2014 หนึ่งในนักเตะที่เคยผ่านช่วงเวลายากลำบากสุดๆ ในการลงเล่นที่สนามแห่งนี้มาแล้ว เผยว่า “ผมยังจำวันนั้นได้ดีครับ การต้องไปเล่นท่ามกลางแฟนบอลเกือบหนึ่งแสนคน ซึ่งถือเป็นครั้งแรกด้วย ยอมรับว่ากดดัน และตื่นเต้นมากๆ”

 

เชื่อเหลือเกินว่า เกมในวันที่ 14 พฤศจิกายนนี้ แฟนบอล มาเลเซีย จะเดินทางเข้ามาให้กำลังใจทีมรักของพวกเขาในการเผชิญหน้ากับคู่ปรับอย่าง ทีมชาติไทย แบบเต็มความจุของสนาม และเสียงเชียร์ของพวกเขาจะสร้างแรงกดดันให้กับลูกทีม อากิระ ชินิโนะ ได้อย่างแน่นอน

 

 

สภาพสนามที่ไม่คุ้นเคย

 

นอกจากเสียงเชียร์แฟนบอลเรือนแสนในสนาม บูกิต จาลิล สเตเดี้ยม ที่สามารถสร้างแรงกดดันมหาศาลแล้ว การปรับตัวให้เข้ากับสภาพสนามแห่งนี้ ยังเป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ของเหล่านักเตะ ทีมชาติไทย ตลอดหลายปีที่ผ่านมาด้วย

 

โดยสาเหตุสำคัญมาจากสนามแห่งนี้เลือกใช้หญ้าที่มีขนาดใบใหญ่กว่าปกติ ซึ่งค่อนข้างมีผลกับการจ่ายบอล และสไตล์การเล่นแบบต่อบอลเท้าสู่เท้า รวมไปถึงยังทำให้ลูกบอลเดินทางช้ากว่าปกติอีกด้วย ซึ่ง ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์ กองกลาง “Box to Box” เคยออกมาเผยก่อนหน้านี้ว่า “สำหรับสนาม บูกิต จาลิล ค่อนข้างปรับตัวยาก เพราะหญ้าไม่เหมือนกับที่เคยเล่นปกติ เป็นหญ้าที่มีขนาดใบใหญ่ ทำให้ต้องปรับเรื่องการจ่ายบอล เพราะบอลจะวิ่งช้ากว่าเดิม”

 

อย่างไรก็ตามทางฝั่งกุนซือใหญ่ชาวญี่ปุ่น อย่าง อากิระ ชินิโนะ ได้ออกมาแสดงความเชื่อมั่นก่อนหน้านี้แล้วว่า นักเตะของ ไทย น่าจะปรับตัวกับสภาพสนามของ บูกิต จาลิล ได้อย่างแน่นอน เพราะหลายคนเคยผ่านการลงเล่นที่สังเวียนฟาดแข้งแห่งนี้มาแล้วทั้งนั้น

 

 

สถิติไม่เป็นใจ! ทีมชาติไทย ไร้ชัยเกมบุก มาเลเซีย ยาวนาน 33 ปี

 

ถือเป็นอีกสิ่งที่ไม่ค่อยน่าจดจำเท่าไรนักของ ทีมชาติไทย กับผลงานในการบุกไปเยือน มาเลเซีย ซึ่งตัวเลขบันทึกชี้ชัดว่าเราไม่เคยชนะพวกเขาในบ้านได้เลยแม้แต่เกมเดียวตลอดการเจอกันของทีมชุดใหญ่ ยาวนานกว่า 33 ปี เข้าไปแล้ว

 

หากย้อนกลับไปครั้งสุดท้ายที่ทัพ “ช้างศึก” สามารถบุกไปยัดเยียดความปราชัยให้กับทีมแกร่งแดนคาบสมุทร “มาลายู” เกิดขึ้นในปี 1986 ซึ่ง ทีมชาติไทย บุกไปชนะด้วยสกอร์ 2 – 0 ในศึก เมอร์เดก้า คัพ

 

ส่วนครั้งล่าสุดที่เราบุกเยือน มาเลเซีย ถึงถิ่น เกิดขึ้นในเกม เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2018 รอบรองชนะเลิศ เลกแรก ซึ่งทั้งสองทีมเสมอกันแบบไร้สกอร์ 0 – 0 ก่อนเกมเลกที่สองทางฝั่ง “เสือเหลือง” สามารถบุกมายันเสมอลูกทีม มิโลวาน ราเยวัช 2 – 2 เขี่ยแชมป์เก่ารายการนี้ 2 สมัยซ้อน ตกรอบในท้ายที่สุด ด้วยกฏอเวย์โกล

 

 

เฮือกสุดท้ายของ มาเลเซีย หากจะลุ้นเข้ารอบต่อไป

 

แน่นอนว่านอกจากแมตช์นี้จะเป็นเกมที่สำคัญของลูกทีม อากิระ นิชิโนะ เพื่อโอกาสลุ้นเข้ารอบต่อไปแล้ว สำหรับเจ้าถิ่น “เสือเหลือง” พวกเขาเองก็ต้องการทุกคะแนนในเกมนี้เช่นกัน เพื่อต่อลมหายใจในการลุ้นผ่านเข้ารอบต่อไปในศึกฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก ถึงแม้ความหวังนั้นจะเหลือแค่เพียงน้อยนิดก็ตาม

 

หลังผ่านไปแล้ว 3 เกม ในศึกบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบที่สอง มาเลเซีย เก็บไปได้แค่เพียง 3 แต้ม จากผลงาน ชนะ 1 แพ้ 2 เพราะฉะนั้นนัดที่จะพบกับ ทีมชาติไทย หากพวกเขายังหวังที่ผ่านเข้ารอบต่อไปให้ได้ ทีมของกุนซือใหญ่ ตัน เชง โฮ จำเป็นต้องมองถึงการคว้า 3 คะแนน ให้ได้สถานเดียวเท่านั้น

 

นั่นหมายความว่าเกมในวันที่ 14 พฤศจิกายนนี้ ทีมชาติมาเลเซีย พร้อมที่จะเดินหน้าลงสนามดวลกับ ไทย แบบไม่มีอะไรต้องเสีย เชื่อว่าความได้เปรียบจากการเป็นเจ้าบ้าน และเสียงเชียร์จากแฟนบอลเรือนแสน น่าจะช่วยให้ “มาเลย์” มีแรงฮึดมากขึ้นกว่าเดินแน่นอนในนัดนี้ ซึ่งนั่นคงทำให้การมาเยือนของทัพ “ช้างศึก” กลายเป็นงานที่หินสุดๆเลยก็ว่าได้

 

 

แข้ง มาเลเซีย แกร่งกว่าหลายครั้งที่เคยเจอมา

 

นอกเหนือจากปัจจัยทั้งหมดที่กล่าวมาก่อนหน้า อีกหนึ่งสิ่งที่เราต้องยอมรับคือ ทีมชาติมาเลเซีย ชุดนี้ ภายใตการทำทีมของ ตัน เชง โฮ ถือเป็นทีมที่มีความแข็งแกร่งไม่น้อยเลยทีเดียว โดยเฉพาะในเกมทีพวกเขาเปิดบ้านดวลกับทีมแกร่งอย่าง สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ถึงแม้ผลการแข่งขันจะออกมาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ด้วยสกอร์ 1- 2 แต่รูปเกมโดยรวมพวกเขาแทบไม่ได้เป็นรองคู่แข่งเลยแม้แต่น้อย

 

โดยขุนพล “เสือเหลือง” ชุดปัจจุบัน มีนักเตะในตำแหน่งเกมรุกที่น่าจับตามอง ทั้ง ซาฟาวี่ ราซิด ปีกตัวจี๊ดที่ถือเป็นแข้งคนสำคัญของทีม รวมไปถึง โมฮามาดู ซูมาเรห์ ดาวยิงลูกครึ่ง แกมเบีย – มาเลเซีย ที่ซัดในรายการนี้ไปแล้ว 2 ประตู ถือเป็นอีกหนึ่งนักเตะที่มีความอันตรายไม่แพ้กัน

 

ดูแล้วด้วยความแข็งแกร่งของ มาเลเซีย คงเป็นงานที่ยากลำบากพอสมควรหาก ทัพ “ช้างศึก” จะหวังบุกมาคว้า 3 แต้ม ให้ได้ในแมตช์นี้ และยิ่งสถิติการเจอกันในช่วงหลังทั้งสองทีมผลงานไม่ค่อยต่างกันมากนัก คงต้องยอมรับว่าเกมนี้แฟนบอลชาวไทย อาจจะต้องลุ้นกันเหนื่อยแน่นอน