วันแรกถึงวันลา : 5 ไฮไลท์แลมพาร์ดบนเก้าอี้กุนซือสิงห์บลู

 

เป็นไปตามที่สื่อหลายสำนักคาดการณ์กัน เมื่อ เชลซี ตัดสินใจปลด แฟรงค์ แลมพาร์ด ตำนานของสโมสร ออกตำแหน่งผู้จัดการทีมอย่างเป็นทางการในวันที่ 25 มกราคมที่ผ่านมา 

 

กุนซือวัย 42 ปี พา ’สิงห์บลู’ ได้อย่างผิดหวังในฤดูกาล 2020-21 แม้จะเสริมทัพแบบจัดหนักมากมายในซัมเมอร์นี้ โดยเฉพาะใน 8 นัดหลังสุดบนเวทีพรีเมียร์ลีก แพ้ไปถึง 5 นัด หล่นลงไปอยู่ในโซนกลางตาราง ซึ่งถือเป็นผลงานที่น่าผิดหวังสำหรับบอร์ดบริหาร จนโดนปลุดในเวลาต่อมา โดยคนที่เข้ามาแทนที่ แลมพาร์ด คือ โธมัส ทูเคิ่ล กุนซือชาวเยอรมัน ที่เคยคุมทั้ง โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง

 

แม้จะจากลากันแบบไม่สวย แต่สถานะความเป็นตำนานของเขาก็ยังอยู่ตลอดไป และด้วยเหตุนี้  UFA ARENA จึงขอพาไปย้อนรำลึก 5 ไฮไลท์ของ แลมพาร์ด ตลอดช่วงเวลา 18 เดือนที่ทำหน้าที่กุนซือในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ 

 

 

ประเดิมเกมแรกแบบแพ้ยับเยิน 

 

Man Utd 4-0 Chelsea: Rashford bags a brace before Daniel James marks debut with goal | Daily Mail Online

 

แม้เพิ่งเริ่มต้นอาชีพผู้จัดการทีมได้ปีเดียวกับ ดาร์บี้ เค้าน์ตี้ แต่ แลมพาร์ด กลับแสดงความกล้าหาญด้วยการเข้ามารับงานคุมทีม เชลซี สโมสรเก่าในปี 2019 ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าทีม แกะเขาเหล็กหลายเท่าตัว

 

นอกจากความคาดหวังที่สูงขึ้นกับทีมระดับนี้ แลมพ์ ยังต้องเผชิญแรงกดดันครั้งใหญ่ในอาชีพกุนซือตั้งแต่เกมแรกของเขาในพรีเมียร์ลีกเลย เมื่อต้องดวลกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ในนัดประเดิมสนาม

 

สิงห์บลูอาจเริ่มต้นได้ดีในช่วงแรกของการแข่งขัน แต่เมื่อพวกเขาเสียประตูจากจุดโทษโดยที่ มาร์คัส แรชฟอร์ด รับหน้าที่สังหาร รูปเกมของพวกเขาก็ค่อย ๆ แย่ลง ก่อนโดน ปีศาจแดงรัวเพิ่มอีก 3 ลูกจาก แรชฟอร์ดคนเดิม, อองโทนี่ มาร์กซิยาล และ แดเนี่ยล เจมส์

 

นี่กลายเป็นเกมที่ แลมพาร์ด พ่ายแพ้ยับเยินมากที่สุดในอาชีพกุนซือ เทียบเท่าตอนคุมดาร์บี้ พ่าย แอสตัน วิลล่า ด้วยสกอร์เดียวกันในฤดูกาล 2018-19 และกว่าเขาจะหาชัยชนะครั้งแรกในลีกก็ต้องผ่านไปเกมที่ 3 ของฤดูกาลที่เอาชนะ นอริช ซิตี้ 3-2

 

 

กุนซือยอดเยี่ยมประจำเดือนหนแรกในพรีเมียร์ลีก

 

Frank Lampard wins Premier League Manager of the Month for October after winning all three matches | Daily Mail Online

 

ถึงจะเปิดหัวเกมแรกได้แบบชวนปวดใจ แต่ แลมพาร์ด ก็ค่อย ๆ ปรับจูนทีมของเขา จนทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมตั้งแต่ช่วงสิ้นเดือนกันยายนเป็นต้นมาที่คว้าชัยในลีกรวด 6 นัดติด

 

โดยเฉพาะในเดือนตุลาคมที่ กุนซือชาวอังกฤษพายอดทีมจากลอนดอนชนะรวดตลอดทั้งเดือน ไม่ว่าจะพบกับ เซาแธมป์ตัน, นิวคาสเซิล, เบิร์นลี่ย์ รวมถึงชัยชนะ 2 นัดแรกของเดือนพฤศจิกายนกับ วัตฟอร์ด และ คริสตัล พาเลซ ก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน

 

นั่นทำให้ แลมพ์ คว้ารางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำเดือนตุลาคมไปแบบไม่มีข้อกังขา แต่ฟอร์มของทีมก็ดูกระท่อนแท่นเรื่อยมา นับตั้งแต่เจอของแข็งอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และแพ้ไปด้วยสกอร์ 2-1 ช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน

 

 

ปั้นลูกหม้อเป็นตัวหลัก

 

Mount unsurprised by Abraham success as Chelsea star backs team-mate's mentality | Goal.com

 

เชลซีในยุคของ โรมัน อับราโมวิช เป็นทีมที่เต็มไปด้วยดาวรุ่งฝีเท้าดีมากมาย ทั้งที่สโมสรปลุกปั้นมาตั้งแต่เด็ก หรือดึงตัวมาร่วมทีมในช่วงวัยรุ่น แต่สุดท้ายปลายทางของพวกเขาส่วนใหญ่ก็ไม่ต่างกัน นั่นก็คือการถูกปล่อยให้ทีมอื่นยืมไปใช้งาน โดยที่บางคนไม่มีโอกาสได้ลงเล่นในทีมชุดใหญ่ด้วยซ้ำ

 

ทว่าไม่ใช่กับ สิงห์บลู ภายใต้การดูแลของ แลมพาร์ด เนื่องจากเขาเป็นหนึ่งในกุนซือที่ให้โอกาสผู้เล่นดาวรุ่งอยู่แล้ว ซึ่งเห็นได้ตั้งแต่สมัยที่คุม ดาร์บี้ โดยในฤดูกาล 2019-20 เขาดัน เมสัน เม้าท์ ที่เคยร่วมงานกับเขาใน ดาร์บี้ ขึ้นมาเล่นชุดใหญ่เต็มตัว รวมไปถึง แทมมี่ อับราฮัม ที่ยิงกระจายกับ แอสตัน วิลล่า แบบยืมตัวในฤดูกาลก่อน

 

ทั้งคู่กลายเป็นนักเตะตัวหลักของทีม โดยเม้าท์ลงเล่นมากถึง 42 นัด เป็นรองเพียง เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า (48) เท่านั้น ขณะที่ อับราฮัม เป็นดาวซัลโวของทีมในฤดูกาลนั้น หลังกดไป 18 ประตู จาก 33 นัดในทุกรายการ

 

นอกจากนี้ แลมพาร์ด ยังให้โอกาสทั้ง รีซ เจมส์, ฟิคาโย่ โทโมรี่ ได้ลงประเดิมชุดใหญ่เป็นครั้งแรก และมีส่วนกับทีมในฤดูกาลนั้นด้วย เช่นเดียวกับ บิลลี่ กิลมัวร์ กองกลางอนาคตไกลที่สโมสรปั้นมากับมือ โดยในฤดูกาลปัจจุบัน เจมส์ กลายเป็นแบ็คขวาตัวจริง เหนือ อัซปิลิกวยต้า แต่ โทโมรี่ ได้ลงเล่นน้อยลงจนโดนปล่อยให้ เอซี มิลาน ยืมตัว 

 

 

คว้าตั๋วแชมเปี้ยนส์ลีกแม้โดนแบนเสริมทัพ 

 

Frank Lampard on Chelsea's win v. Southampton, young squad and team depth | NBC Sports

 

ด้วยผลงานในช่วงแรกของฤดูกาล 2019-20 ทำให้หลายคนกังวล แลมพาร์ด จะพาทีมไปได้ไกลแค่ไหน และเมื่อบวกกับการที่ เชลซี โดนแบนห้ามซื้อนักเตะในซัมเมอร์ปี 2019 หลังจากเสีย เอเด็น อาซาร์ ดาวเตะตัวหลักให้กับ เรอัล มาดริด ยิ่งทำให้หลายคนเชื่อว่าเขาคงไม่สามารถพาทีมไปเล่นบอลยุโรปได้แน่ ๆ 

 

อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นมา ฟอร์มการเล่นของ สิงห์บลู ก็พัฒนาขึ้นชัดเจนในมือของ แลมพ์ แม้จะดูแกว่ง ๆ ไปบ้างในบางช่วงบางเดือน แต่ก็ยังพาทีมเกาะติดอันดับท็อปโฟร์เรื่อยมาจนจบฤดูกาล และคว้าอันดับ 4 ไปครอง โดยคว้าชัย 20, เสมอ 6 และ แพ้ 12 จาก 38 นัด เก็บไป 66 คะแนน และยิงได้ 69 ลูก เสีย 54 ลูก ประตูได้เสีย +15

 

นอกจากลบคำครหาด้วยการคว้าตั๋วไปเล่นแชมเปี้ยนส์ลีกในฤดูกาลหน้าแล้ว เชลซีของน้าแฟรงค์ ยังทะลุไปถึงรอบชิงชนะเลิศของศึกเอฟเอ คัพ ด้วย น่าเสียดายที่พ่ายให้กับ อาร์เซน่อล ของ มิเกล อาร์เตต้า ด้วยสกอร์ 2-1

 

 

ช็อปแข้งใหม่ทะลุ 200 ล้านปอนด์ 

 

Chelsea still need MORE new signings to win the Premier League... and they CAN afford it | Daily Mail Online

 

หลังจากอดเสริมทัพมานานร่วมปี ในซัมเมอร์ปี 2020 แลมพาร์ด ก็ถลุงเงินจากบอร์ดสโมสรเพื่อคว้านักเตะหน้าใหม่ใหม่มาร่วมทีมกว่า 200 ล้านปอนด์ เพื่อยกระดับให้พวกเขาที่เป็นเพียงแค่ทีมลุ้นท็อปโฟร์ไปสู่การลุ้นแชมป์ลีกอีกครั้ง 

 

แต่ละคนที่ดึงมาร่วมทีมก็มีฝีเท้าไม่ธรรมดาทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น ฮาคิม ซิเยค จาก อาแจกซ์ (36 ล้านปอนด์), ติโม แวร์เนอร์ จาก แอร์ไลป์ซิก (47.7 ล้านปอนด์), เบน ชิลเวลล์ จาก เลสเตอร์ (45 ล้านปอนด์), ไค ฮาเวิร์ตซ์ จาก ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น (72 ล้านปอนด์) และ เอดูอาร์ เมนดี้ จาก แรนส์ (21.6 ล้านปอนด์) แถมยังได้ ติอาโก้ ซิลวา กองหลังมากประสบการณ์มาร่วมทีมแบบฟรี ๆ อีก หลังหมดสัญญากับ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ในซัมเมอร์นั้น

 

อย่างไรก็ดี นักเตะค่าตัวแพงที่ทำผลงานได้ดีแบบชัดเจนมีเพียง ซีเยค, ชิลเวลล์ และ เมนดี้ เท่านั้น ส่วน 2 ดูโอทีมชาติเยอรมัน ยังหาฟอร์มเก่งสมัยค้าแข้งในบุนเดสลีก้าไม่เจอเลย และยังงต้องใช้เวลาปรับตัวกับฟุตบอลอังกฤษอีกพอสมควร

 

มากไปกว่านั้น ผลงานของทีมก็ไม่ได้ดีขึ้นจากฤดูกาลที่แล้วเท่าไหร่ แม้จะกระโดดไปรั้งจ่าฝูงอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ฟอร์มเชลซีก็เป๋ลงตั้งแต่ช่วงกลางเดือนธันวาคมปีก่อน ซึ่งชนะเพียง 2 จาก 8 เกมหลังสุด  โดยแพ้ไปถึง 5 นัด จนรั้งที่ 9 ในตาราง

 

และเกมพ่ายเลสเตอร์ 2-0 กลายเป็นฝางเส้นสุดท้ายทีทำให้บอร์ดตัดสินใจปลด แลมพาร์ด ออกจากตำแหน่ง และโดนเด้งอย่างเป็นทางการในเวลาต่อมา แม้จะเอาชนะ ลูตัน ทาวน์ 3-1 ในศึกเอฟเอ คัพ ได้ก็ตาม  พร้อมฝากผลงานในฐานะกุนซือเชลซี ด้วยการพาทีมเก็บชัยชนะไปได้ 44 นัด เสมอ 17 นัด และแพ้ 23 นัด