รีไทร์แค่วัย 30 : วิลเชียร์ผู้ไปไม่ถึงฝันเพราะอาการบาดเจ็บ

รีไทร์แค่วัย 30 : วิลเชียร์ผู้ไปไม่ถึงฝันเพราะอาการบาดเจ็บ

แจ็ค วิลเชียร์ กลายเป็นอีกหนึ่งแข้งมากพรสวรรค์ที่ไปไม่ถึงฝั่งฝันอย่างที่ควรจะเป็น หลังเจ้าตัวประกาศแขวนสตั๊ดด้วยวัยเพียง 30 ปี

อดีตมิดฟิลด์ทีมชาติอังกฤษ หมดสัญญากับ เอจีเอฟ อาร์ฮุส สโมสรในเดนมาร์ก ช่วงวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ก่อนประกาศแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยเตรียมผันตัวไปเป็นโค้ชทีมเยาวชนของ อาร์เซน่อล อดีตสโมสร ในชุด U-18 ต่อไป

โดยสาเหตุหลักๆที่ทำให้เขาตัดสินใจหันหลังให้กับอาชีพค้าแข้งก่อนวัยอันควร ก็มีจากอาการบาดเจ็บที่รบกวนตั้งแต่ช่วงแจ้งเกิด แม้มีช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมกับ ปืนใหญ่ แต่สุดท้ายก็พ่ายให้กับอุปสรรคดังกล่าวที่วนเวียนอยู่ในชีวิตของเขาอย่างยาวนาน

ต่อให้เขาเปิดตัวได้ยอดเยี่ยมแค่ไหนก็ตาม…

 

โดดเด่นเหนือแดนกลางบาร์ซ่า

Wilshere fails in his attempt of 'trolling' to Xavi, Iniesta and Busquets

วิลเชียร์ เริ่มต้นค้าแข้งกับ อาร์เซน่อล ทีมที่เขาฝึกฝนวิชาลูกหนังตั้งแต่อายุ 9 ขวบ ก่อนได้ขึ้นมาเล่นชุดใหญ่ครั้งแรก ตั้งแต่ปี 2008 แต่ปีที่เขาแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวคือฤดูกาล 2010-11 ที่ได้ลงเล่นถึง 49 นัดในทุกรายการ

มีหลายเกมในซีซั่นนั้นที่ หนูแจ็ค ทำผลงานได้โดดเด่น และหลายคนน่าจะจดจำเขาได้ขึ้นใจจากฟอร์มการเล่นในนัดแชมเปี้ยนส์ลีก ที่ช่วยให้ ‘ปืนใหญ่’ เอาชนะ บาร์เซโลน่า 2-1 ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2011

กองกลางชาวอังกฤษเพิ่งอายุครบ 19 ปีในเดือนนั้น โดยเขาถือเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดในสนาม เอมิเรสต์ สเตเดี้ยม ณ เวลานั้น แถมต้องเผชิญหน้ากับ บาร์ซ่าของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่ถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในทีมที่สุดในประวัติศาตร์อีก แต่เขากลับเล่นแบบไร้ความหวาดกลัว พร้อมด้วยเทคนิคที่เด็ดดวงเกินบรรยาย

อีกทั้งการต้องดวลกับ อันเดรส อิเนียสต้า, ชาบี เอร์นานเดซ หรือแม้กระทั่ง ลิโอเนล เมสซี่ ดาวรุ่งชาวอังกฤษก็ยังทำได้ดีกว่าที่หลายคนคาดคิดไว้ จนจบเกมนั้น เขาจ่ายบอลสำเร็จถึง 43 จาก 46 ครั้ง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการออกบอลให้กับ เชส ฟาเบรกาส ที่ทำเกมบุกขึ้นมาจ่ายให้ อังเดร อาร์ชาวิน ทำประตูชัย อีกทั้งมีเพียง เมสซี่ ที่เลี้ยงบอลมากกว่าเขาด้วย

ด้วยฟอร์มดังกล่าวทำให้ หนูแจ็ค คว้าแมน ออฟ เดอะ แมตช์ ในเกมนั้นไปแบบไร้ข้อกังขา และฟอร์มในการเจอกับทีมระดับนี้ ต่อหน้า กูนเนอร์ส ทำให้เขากลายเป็นความหวังใหม่ของแฟนๆที่ตั้งตารอว่าจะกลายเป็นเสาหลักของทีมในอนาคตได้แน่นอน

ฟาเบรกาส คู่หูของเขาในแดนกลาง ณ เกมวันนั้น เคยอธิบายไว้ว่า “เขาคือหนึ่งในผู้เล่นที่มากพรสวรรค์ที่สุดที่เคยร่วมเล่นด้วยเลย” ขณะที่ อาร์แซน เวนเกอร์ กุนซือของทีม ก็มั่นใจว่า ดาวรุ่ง ปืนใหญ่ คนนี้อาจกลายเป็นแข้งเบอร์ต้นๆของโลกได้เลย

 

จุดเริ่มต้นการบาดเจ็บ

Jack Wilshere's injury a major blow for Arsenal, England

แน่นอนว่า วิลเชียร์ กลายเป็นนักเตะคนสำคัญของ เวนเกอร์ เป็นที่เรียบร้อยในเวลานั้น หลังก่อนหน้านี้กลายเป็นแข้งอายุน้อยสุดเป็นอันดับ 2 ของสโมสรที่ประเดิมชุดใหญ่ เมื่อ 3 ปีก่อน อีกทั้งการย้ายไปหาประสบการณ์กับ โบลตัน แบบยืมตัวในฤดูกาล 2009-10 ก็ทำให้เขาพร้อมแล้วในตอนนั้น 

แข้งเลือดผู้ดี พลาดลงสนามในเกมพรีเมียร์ลีกแค่ 3 นัดเท่านั้นในฤดูกาล 2010-11 ซึ่งเป็นปีที่เขาแจ้งเกิดเต็มตัว แถมได้ลงเล่นจำนวนนาทีในแชมเปี้ยนส์ลีกมากกว่าเพื่อนร่วมทีม อาร์เซน่อล อีกด้วย

ฟาบิโอ คาเปลโล่ คือคนที่ทำให้ หนูแจ็ค ได้โอกาสประเดิมทีมชาติอังกฤษ ในช่วงต้นฤดูกาลนั้น และก็อีกคนที่มั่นใจว่า ลูกหม้อ ปืนใหญ่ จะเป็นอนาคตของสโมสรและทีมชาติด้วย

เมื่อจบฤดูกาลนั้น เขาคว้ารางวัลดาวรุ่งยอดแยี่ยมแห่งปีจาก PFA ในฤดูกาลนั้นไปแบบไร้ข้อกังขา รวมไปถึงมีชื่อติดทีมยอดเยี่ยมของ PFA ด้วย ซึ่งถือเป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ของนักเตะที่มีอายุเพียง 19 ปีในเวลานั้น

ทว่าเมื่อย้อนกลับไปถึงช่วงเวลาเริ่มต้นอันสวยงามเหล่านั้น ก็พอเข้าใจได้ว่าทำไม วิลเชียร์ ถึงกล่าวคำว่า “ยากที่จะยอมรับ” ออกมาในแถลงการณ์ที่ประกาศแขวนสตั๊ดวัยเพียง 30 ปี

ค่ำคืนที่ดวลกับ บาร์ซ่า เป็นเพียงหนึ่งในเกมที่ยอดเยี่ยมของแจ็ค อีกทั้งเขายังเคยสวมปลอกแขนกัปตัน เดอะ กันเนอร์ส พร้อมคว้าแชมป์ เอฟเอ คัพ 2 สมัย หรือฟอร์มการเล่นส่วนตัวที่ทำให้หลายคนตื่นตาตื่นใจ เช่นประตูลูกชิ่งสุดเพลินตาในเกมพบ นอริช ซิตี้ เมื่อปี 2013

แข้งชาวอังกฤษ ถึงความสำเร็จเหล่านั้นว่า “ไปไกลเกินกว่าความฝันของเขา” กับเด็กหนุ่มที่เติบโตในย่าน เฮิร์ตฟอร์ดไชร์ แต่ด้วยความสามารถที่พัฒนามากขึ้น ก็คงมีความรู้สึกว่าตนเองน่าจะไปได้ไกลกว่านี้มากเช่นกัน

ร่องรอยของอาการบาดเจ็บเริ่มต้นด้วยจังหวะเวลาอันโหดร้าย เมื่อข้อเท้าขวาของเขาหักในเกมอุ่นเครื่องพบ นิวยอร์ก เร้ด บูลล์ เดือนกรกฎาคมปี 2011 ทำให้เขาพลาดโอกาสต่อยอดฟอร์มการเล่นให้ต่อเนื่องจากซีซั่นที่เขาแจ้งเกิด

มีการคาดการณ์ไว้ว่า หนูแจ็ค จะพักฟื้นราวๆ 4-5 เดือน หลังจากเข้ารับการผ่าตัดในเดือนกันยายน ทว่ากลับเกิดภาวะแทรกซ้อนและทำให้ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้มาก

ท้ายที่สุด เขาทำได้แค่นั่งดูเพื่อนร่วมทีมตลอดฤดูกาล 2011-12 อยู่ข้างสนาม และจากที่ถูกคาดหมายจะกลายเป็นแกนหลักในทีมชาติช่วงศึกยูโร 2012 สุดท้ายก็ต้องดูทัวร์นาเม้นต์ระดับทวีปอยู่ที่บ้านเท่านั้น

สุดท้าย ลูกหม้อ ‘ปืนใหญ่’ รายนี้ก็กลับมาลงเล่นอีกครั้งในเกมพรีเมียร์ลีก พบ คิวพีอาร์ ที่ เอมิเรสต์ สเตเดี้ยม เมื่อเดือนตุลาคมปี 2012 หลังจากไม้ได้ลงสนามไปนานกว่า 524 วัน

นี่ถือเป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน แต่ก็น่าเศร้าที่มันไม่ใช่ครั้งเดียวที่เขาต้องเผชิญหน้ากับเรื่องนี้เช่นกัน

 

ฝืนแล้วแต่ไม่ไหว

Niezwykły przypadek Jacka Wilshere'a - weszlo.com

วิลเชียร์ ได้ลงเล่น 33 นัดในทุกรายการของฤดูกาล 2012-13 และ 35 นัดในฤดูกาลต่อมา แต่ความโชคร้ายก็มาเยือนอีกครั้งในเดือนมีนาคมปี 2014 เมื่อมีอาการบาดเจ็บ โดยครั้งนี้เกิดขึ้นบริเวณเท้า

ด้วยความมุ่งมั่นและจิตใจที่แข็งแกร่ง ทำให้เขาเลือกฝืนลงเล่นต่อไป หลังจากได้รับบาดเจ็บนั้น โดยทำเป็นเหมือนว่าอาการนั้นเป็นแค่รอยฟกช้ำ หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วโมงในเกมกระชับมิตรอังกฤษกับเดนมาร์ก

แต่ความจริงเป็นสิ่งที่ทุกคนหนีไม่พ้น แม้เขาจะฟื้นตัวได้ทันเวลาเพื่อช่วยให้ อาร์เซน่อลคว้าแชมป์เอฟเอ คัพ 2014 ก่อนลงเล่นฟุตบอลโลกในบราซิลช่วงซัมเมอร์นั้น แต่เรื่องชวนปวดหัวก็ตามมาด้วยปัญหาข้อเท้าที่มากขึ้นในฤดูกาลต่อๆมา

นอกจากนี้ ความสามารถในการเรียกฟาวล์จากคู่แข่ง อาจทำให้เขาเป็นผู้เล่นที่น่าจับตามองยามลงสนาม แต่การโดนอัดบ่อยๆก็ไม่ใช่เรื่องดีแน่และส่งผลกระทบต่อการบาดเจ็บเช่นกัน 

แม้กลับมาได้ทันในเกมที่ ‘กันเนอร์ส’ คว้าชัยเหนือ แอสตัน วิลล่า ในนัดชิงเอฟเอ คัพ ปี 2015 รวมไปถึงทำ 2 ประตูสำคัญให้ทีมชาติอังกฤษ เอาชนะ สโลเวเนีย ในยูโรรอบคัดเลือก แต่อาการบาดเจ็บแบบวนลูปลักษณะนี้ก็ยังอยู่ในชีวิตค้าแข้งของเขาไม่หายไปไหน

3 นัดที่ลงเล่นในฤดูกาล 2015-16 และ 35 ที่ลงสนามในทุกรายการของฤดูกาล 2017-18 ให้ อาร์เซน่อล หลังจากย้ายไปเล่นกับ บอร์นมัธ แบบยืมตัวในฤดูกาล 2016-17 กลายเป็นช่วงเวลาสุดท้ายของเขาในถิ่น เอมิเรสต์ สเตเดี้ยม

การย้ายไปเล่น เวสต์แฮม คืออีกสิ่งที่ วิลเชียร์ ยอมรับว่าเสียดายในเวลาต่อมา และมันทำให้เขาเจอปัญหาบาดเจ็บรบกวนมากขึ้นไปอีก ซึ่งส่งผลให้โอกาสลงเล่นถูกจำกัด และหลังจากการยืมตัวครั้งที่ 2 ที่บอร์นมัธ และช่วงเวลาสั้นๆ กับเอจีเอฟในเดนมาร์ก ในที่สุด เขาก็เดินทางมาถึงจุดที่ตัวเองกังวลมานาน ก่อนเลือกที่จะยอมรับมันอย่างเต็มใจ

“ในความเป็นจริง เป็นเรื่องยากที่จะยอมรับว่าอาชีพค้าแข้งผมหลุดลอยไปในช่วงหลังที่ผ่านมา เนื่องจากเหตุผลที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของผม ในขณะที่รู้สึกว่าผมยังมีดีพอจะเล่นต่อไปได้” อดีตแข้งวัย 30 ปี กล่าวในส่วนหนึ่งของแถลงการณ์

“อย่างไรก็ตาม การมีเวลาได้ไตร่ตรองและพูดคุยกับผู้ที่ใกล้ชิดที่สุด ทำให้ผมรู้ว่าตอนนี้เป็นเวลาที่เหมาะสมแล้ว และแม้จะมีช่วงเวลาที่ยากลำบาก ผมก็สามารถมองย้อนกลับไปในอาชีพของผมด้วยความภาคภูมิใจมากๆในสิ่งที่ผมไขว่คว้ามาได้สำเร็จ”

แน่นอนว่าการจากลาของ วิลเชียร์ เต็มไปด้วยความเศร้า แต่เขาคิดถูกที่จะรู้สึกภาคภูมิใจในความสำเร็จที่ผ่านมาของเขา และน่าสนใจไม่น้อยกับเส้นทางต่อไปในฐานะโค้ชทีมเยาวชนของ อาร์เซน่อล หลังจากนี้ 

และไม่แน่ว่าในอนาคตหากเขาไปได้สวยในเส้นทางสายนี้ เราอาจได้เห็น หนูแจ็ค ในบทบาทกุนซือของ ‘ปืนใหญ่’ ในอนาคตข้างหน้าก็เป็นได้

 

บทความที่เกี่ยวข้อง

ริชาร์ลิซอนรอดมั้ย? : 7 แข้งแซมบ้าของไก่ยุคพรีเมียร์ลีก
ริชาร์ลิซอนรอดมั้ย? : 7 แข้งแซมบ้าของไก่ยุคพรีเมียร์ลีก