ย้อนชม 7 ดีลโคตรคุ้มตลาดหน้าหนาวพรีเมียร์ลีก

ย้อนชม 7 ดีลโคตรคุ้มตลาดหน้าหนาวพรีเมียร์ลีก

ฟุตบอลโลก 2022 จบลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราได้เห็นนักเตะฝีเท้าดีแจ้งเกิดหลายรายในเวิลด์ คัพ ฉบับทะเลทรายหนนี้

ตอนนี้ทุกอย่างเข้าสู่ภาวะปกติบรรดาลีกยุโรปต่างก็กลับมาฟาดแข้ง และที่สำคัญกำลังเข้าสู่ช่วงเปิดตลาดซื้อขายนักเตะหน้าหนาว ที่พักหลังหลายทีมมักจะไม่ค่อยลงทุนกันมากนัก ส่วนใหญ่จะซื้อผู้เล่นใหม่เข้ามาเพราะความจำเป็นจากปัญหานักเตะในทีมบาดเจ็บ หรือบางรายก็อยากย้ายเพื่อโอกาสในการลงสนามมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม นี่คือช่วงเวลาที่แฟนบอลหลายคนจะได้เต็มอิ่มไปกับการติดตามข่าวสารการย้ายทีมของสโมสรที่เรารัก บางทีก็ข่าวจริง บางทีข่าวปั่น ก็ต้องใช้จักรยาน เอ้ย.. วิจารณญาณในการไตร่ตรองให้ดี

วันนี้เราจะพาทุกท่านไปย้อนชม 7 ดีลที่ถือว่าคุ้มค่าในช่วงตลาดหน้าหนาวของพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ทั้งในแง่ของค่าตัวหรือการยกระดับทีมรวมไปถึงต่อยอดทำกำไร

เจสซี่ ลินการ์ด มกราคม 2021 (แมนฯยูไนเต็ด ยืมตัวไป เวสต์แฮม)

ย้อนกลับไปไม่นานในช่วงเปิดตลาดหน้าหนาวมกราคมปี 2021 เจสซี่ ลินการ์ด ที่ไม่ได้ลงสนามเลยกับ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้องการต้นสังกัดใหม่เพื่อให้เขาได้แสดงฝีเท้ามากขึ้น สุดท้ายเขาเลือกย้ายไปอยู่กับ “ขุนค้อน” เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ที่มี เดวิด มอยส์ คุมทัพ ก่อนที่ตลาดซื้อขายจะปิดลง 2 วัน มาด้วยสัญญายืมตัว

การเข้ามาเล่นในถิ่นลอนดอน สเตเดี้ยม เป็นเหมือนการพลิกชีวิตของเขาประเดิมสนามเกมแรกก็ทำสองประตูช่วยให้ทีมเอาชนะ แอสตัน วิลล่า 3-1 พร้อมกับพาทีมยกระดับลุ้นไปเล่นฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แม้ว่าสุดท้ายพวกเขาจะทำไม่สำเร็จจบอันดับ 6 ของตารางได้โควตาไปเล่นยูโรป้า แต่ถือว่าเขาคือกุญแจสำคัญที่ทำให้ทีมมีความหวังด้วยผลงานอันโดดเด่น 16 เกม ในพรีเมียร์ลีก ยิงไปทั้งหมด 9 ประตู และ 4 แอสซิสต์

หลุยส์ ซัวเรซ มกราคม 2011 (อาแจ็กซ์ ไป ลิเวอร์พูล ค่าตัว 22.8 ล้านปอนด์)

หลังจากที่ ลิเวอร์พูล ต้องเสียเฟร์นานโด ตอร์เรส ที่งอแงอยากย้ายทีมกลางครัน สุดท้ายก็ต้องยอมปล่อยให้กับ เชลซี ที่ทุ่มเงินแบบจัดหนัก 50 ล้านปอนด์ “หงส์แดง” ในยุคของ เซอร์ เคนนี่ ดัลกลิช ที่กลับมาทำงานคุมทีมแบบขัดตราทัพแทนที่ของ รอย ฮอดจ์สัน ต้องไปสอย หลุยส์ ซัวเรซ มาจากอาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ด้วยค่าตัว 22.8 ล้านปอนด์ ตอนนั้นถือว่าเป็นค่าตัวสถิติสโมสร

แต่ทว่าสถิตินี้อยู่ได้ไม่นาน อีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ลิเวอร์พูล ไปซื้อ แอนดี้ แคร์โรลล์ หอกดาวรุ่งที่กำลังฮ็อตสุด ๆ กับ นิวคาสเซิ่ล เข้ามาร่วมทีมด้วยค่าตัว 35 ล้านปอนด์ พังสถิติของ ซัวเรซ แบบทันควัน แต่ทว่าเทียบกันด้วยผลงานและความคุ้มค่าต่างกันราวฟ้ากับเหว ดาวยิงอุรุกวัยระเบิดฟอร์มอย่างรวดเร็ว ชนิดที่แทบจะไม่ต้องปรับตัวอะไร พาทีมได้แชมป์ลีก คัพ และรองแชมป์เอฟเอ คัพในปีนั้น เขาอยู่กับทีมเป็นเวลา 3 ฤดูกาลครึ่ง ฝากผลงานเอาไว้ 82 ประตูจากการลงเล่น 133 เกม ขายให้กับ บาร์เซโลน่า ด้วยค่าตัวมหาศาล 64.98 ล้านปอนด์ ในปี 2014

บรูโน่ เฟอร์นานเดส มกราคม 2020 (สปอร์ติ้ง ลิสบอน ไป แมนฯยูไนเต็ด ค่าตัวเบ็ดเสร็จ 67.6 ล้านปอนด์)

จอมทัพชาวโปรตุเกสที่ฉายแววในฟุตบอลอุ่นเครื่อง ICC คัพ ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ตอนแรกมีข่าวทำท่าว่าจะย้ายมาอยู่กับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล แต่สุดท้ายเขาเลือกทำตามฝันโยกมาค้าแข้งในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เมื่อช่วงเดือนมกราคมปี 2020 ด้วยค่าตัวเบี้องต้น 47 ล้านปอนด์ บวกแอดออนส์อีก 20.6 ล้านปอนด์ การเข้ามาของเขาถือว่าเป็นการจุดประกาศความหวังให้แฟนบอล “ปีศาจแดง” ด้วยฟอร์มการเล่นอันยอดเยี่ยม แมนฯยูไนเต็ด ไม่แพ้ใครเลยในลีก 14 เกมที่เหลือของฤดูกาล 2019-20 เข้าป้ายคว้าอันดับ 3 ได้โควตาไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

แถมสถิติของเขาก็ถือว่าน่ามหัศจรรย์มีส่วนร่วมกับการทำประตู 45 ครั้ง โดยเป็นการยิงได้ 28 ประตู และ 17 แอสซิสต์ ภายในปีปฏิทินแรกที่เล่นให้แมนฯยูไนเต็ด แม้ว่าเขาจะยังไม่ประสบความสำเร็จมีถ้วยติดมือกับทีม แต่ดีลนี้ก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่านี่คือดีลที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงยกระดับทีมได้อย่างรวดเร็ว

ริยาด มาห์เรซ มกราคม 2014 (เลอ อาฟร์ ไป เสสเตอร์ ซิตี้ ค่าตัว 400,000 ปอนด์)

มกราคมปี 2014 เลสเตอร์ ซิตี้ ที่ตอนนั้นอยู่ในลีกรอง เดอะ แชมเปี้ยนชิพ อังกฤษ ภายใต้การคุมทีมของ ไนเจล เพียร์สัน หลังการเข้ามาเทคโอเวอร์ของคุณวิชัย ศรีวัฒนประภา ผู้ล่วงลับ 3 ปี พวกเขาจัดการคว้าตัว ริยาด ราห์เรซ แข้งโนเนมวัย 22 ปี มาจาก เลอ อาฟร์ จากศึกลีก เดอซ์ ของฝรั่งเศส ด้วยค่าตัวเพียง 400,000 ปอนด์ เข้ามาในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาลลงสนามไปทั้งหมด 19 เกม ยิงได้ 3 ประตู แต่สิ่งสำคัญคือ เลสเตอร์ ซิตี้ คว้าแชมป์ลีกรองกลับมาเล่นบนลีกสูงสุดครั้งแรกในรอบ 10 ปี

ผลงานอันโดดเด่นของเขาคงจะหนีไม่พ้นการพาทีมสร้างประวัติศาสตร์คว้าแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษ ในฤดูกาล 2015-16 โดยลงเล่นในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ไป 37 เกมยิงได้ถึง 17 ประตู พร้อมกวาดตำแหน่งผู้เล่นยอดเยี่ยมของหลายสมาคมฟุตบอลอังกฤษ ทั้งการโหวตของนักเตะและแฟนบอล จากนั้น 2 ฤดูกาลต่อมา เจ้าตัวก็มองหาความท้าทายใหม่ จนสุดท้าย เลสเตอร์ ซิตี้ ต้องยอมขายให้กับ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ในปี 2018 ด้วยค่าตัว 60 ล้านปอนด์ เรียกได้ว่าซื้อมาแค่ 400,000 ทำกำไรให้กับทีมอย่างมหาศาล และยังคว้าแชมป์ลีกชนิดที่ไม่มีใครคาดคิด

แกรี่ เคฮิลล์ มกราคม 2012 (โบลตัน ไป เชลซี ค่าตัว 7 ล้านปอนด์)

หลังจากสร้างชื่อกับทีมรวมแข้งชราอย่าง โบลตัน วันเดอร์เรอร์ส แล้ว แกรี่ เคฮิลล์ ตัดสินใจย้ายไปหาความท้าทายใหม่กับ “สิงห์บลูส์” เชลซี ในวันที่ 16 มกราคม ปี 2012 ในยุคที่มีกุนซือหนุ่มอย่าง อังเดร วิลลาส-โบอาส คุมทีม ด้วยค่าตัวเพียง 7 ล้านปอนด์ ในตอนนั้นเขาอายุ 26 ปี มีข่าวกับสองทีมจากนอร์ธ ลอนดอน อย่างอาร์เซน่อล และสเปอร์ส ต่างก็อยากได้ แต่สุดท้ายเขาเลือกเชลซี และถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะสโมสรแห่งนี้ได้ให้ทุกอย่างกับเขา เพราะมาแค่ไม่ถึงปีก็ประสบความสำเร็จคว้าดับเบิ้ลแชมป์กับทีมคือ เอฟเอ คัพ และยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก ภายใต้การคุมทีมของ โรแบร์โต้ ดิ มัตติโอ ที่เข้ามาทำงานแบบขัดตราทัพ

นอกจากนี้เขายังมีชื่อติดทีมยอดเยี่ยมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ จากพีเอฟเอ ถึง 3 ฤดูกาล (2013-14, 2014-15 และ2016-17) แถมยังเป็นคนที่รับปลอกแขนกัปตันทีมต่อจากตำนานของทัพ “สิงห์บลูส์” อย่างจอห์น เทอร์รี่ เมื่อปี 2019 ปัจจุบันเขาเพิ่งประกาศแขวนสตั๊ดไปไม่นาน มีแนวโน้มว่าเจ้าตัวจะทำงานเกี่ยวกับวงฟุตบอลบอล แต่ต้องรอลุ้นว่าจะเป็นบทบาทไหน

เฟอร์จีล ฟาน ไดจ์ค มกราคม 2018 (เซาธ์แฮมป์ตัน ไป ลิเวอร์พูล ค่าตัว 75 ล้านปอนด์)

ดาวเตะชาวดัตช์เชื้อสายซูรินาม เล่นได้อย่างแข็งแกร่งสุด ๆ กับ “นักบุญ” เซาธ์แฮมป์ตัน เขาเป็นที่หมายตาของหลายสโมสรในพรีเมียร์ลีก แต่กลายเป็น ลิเวอร์พูล ที่ได้ตัวไปร่วมทีมก่อนที่ตลาดซื้อขายนักเตะจะเปิด  3 วัน ดีลนี้มาแบบน่าตกใจ เพราะใครจะไปคิดว่า ลิเวอร์พูล จะยอมทุ่มเงินมหาศาลจำนวน 75 ล้านปอนด์ กลายเป็นสถิติแพงสุดของสโมสรเพื่อซื้อผู้เล่นรายเดียว ว่ากันว่าพวกเขาได้เงินจากการขาย ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ ที่งอแงเจ็บหลังอยากย้ายทีม ก็ได้ย้ายทีมสมใจไปบาร์เซโลน่าตามความฝัน

แนวรับทีมชาติเนเธอร์แลนด์ เข้ามายกระดับ ลิเวอร์พูล อย่างแท้จริง พาทีมเข้าชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก แต่อกหักพ่ายให้กับ เรอัล มาดริด แต่ก็มาเอาคืนในฤดูกาลต่อมา ยิ่งไปกว่านั้นเขาคือส่วนสำคัญที่พาทีมผงาดคว้าแชมป์ลีกสูงสุดครั้งแรกในรอบ 30 ปี ในฤดูกาล 2019-20 หยุดการรอคอยที่แสนยาวนานของเหล่า “The Kop” เรียกได้ว่าการลงทุนในครั้งนี้เกินคุ้มจริง ๆ แม้ว่าจะมีช่วงเวลาที่โชคร้ายบาดเจ็บยาว แต่เขาก็ยังคงเป็นยอดแนวรับระดับแถวหน้าในยุคปัจจุบัน

เนมานย่า วิดิช มกราคม 2006 (สปาร์ตัก มอสโก ไป แมนฯยูไนเต็ด ค่าตัว 7 ล้านปอนด์)

ปราการหลังเจ้าของฉายา “เซอร์บิเนเตอร์” หรือนักรบเหล็กแห่งเซอร์เบีย ย้ายจาก สปาร์ตัก มอสโก มาอยู่กับ แมนฯยูไนเต็ด เดือนมกราคม ปี 2006 ด้วยค่าตัวเพียง 7 ล้านปอนด์ นี่คือดีลที่หลายสื่อยกให้เป็นที่สุดการย้ายทีมตลอดกาลของพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ในช่วงตลาดหน้าหนาว มีการเปิดเผยว่า เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตามดูฟอร์มของเขามานานถึง 3 ปี ก่อนจะได้ตัวมาร่วมทีม

เขาเข้ามาจับคู่กับ ริโอ เฟอร์ดินานด์ ได้อย่างลงตัว และหลายคนก็มองว่าปราการหลังของ แมนฯยูไนเต็ด คู่นี้ถือว่าดีที่สุดตลอดกาลตั้งแต่อดีตจนถึงทุกวันนี้ ประสบความสำเร็จกับทีมอย่างมาก คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษ 5 สมัย, ลีก คัพ 4 สมัย, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 1 สมัย และชิงแชมป์สโมสรโลกอีก 1 สมัย นอกจากนี้ยังเป็นผู้เล่นในตำแหน่งกองหลังที่คว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมของพีเอฟเอได้มากที่สุดถึง 2 สมัย ในฤดูกาล 2008-09 และ2010-2011