เข้าสู่ปี 2021 : เห็นอะไรบ้างเมื่อพรีเมียร์ลีกผ่านมาครึ่งทาง 

 

 

โลกยังคงดำเนินต่อไป ท่ามกลางช่วงเวลาวิกฤติ โควิด-19 ที่เวลานี้ยังคงระบาดหนักเป็นระลอก 2 และยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่สถานการณ์ทุกอย่างจะกลับมาปกติ  

 

 

 

พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้นับว่าสนุกไม่น้อยกว่าฤดูกาลไหน เมื่อหลายทีมนั้นต่างทำคะแนนได้สูสีกันสุดๆตั้งแต่หัวยันท้ายตาราง และเรายังดูไม่ออกจริงๆว่าสุดท้ายใครกันที่จะคว้าแชมป์ในฤดูกาลนี้ และนี่คือสิ่งที่เราเรียนรู้ได้ลูกหนังลีกสูงสุดของแดนผู้ดี ผ่านมา 17 นัด และเข้าสู่ปี 2021

 

 

 

 

อาการบาดเจ็บเริ่มส่งผลกระทบต่อแชมป์เก่า   

 

หลังจากที่เมื่อฤดูกาลก่อน เยอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือ “เฮฟวี่เมทัล” พา หงส์แดง ผงาดคว้าแชมป์ลีกสูงสุดมาครองได้เป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี พร้อมกับต้องการสานต่อความสำเร็จป้องกันแชมป์ให้ได้ในฤดูกาลนี้  แต่ปรากฏว่าต้องเผชิญหน้ากับอาการบาดเจ็บที่เรียกว่ามาแบบโหมกระหน่ำ โดยเฉพาะ 2 ปราการหลังตัวหลักที่ต้องพักยาวทั้งฤดูกาลอย่าง เวอร์กิล ฟานไดค์ และ โจ โกเมซ  รวมไปถึง โจเอล มาติป ที่เล่นดี ก็เจ็บกระท่อนกระแท่นและไม่สามารถยืนตัวหลักได้ตลอด 

 

 

ในตอนแรกทุกอย่างยังคงดูราบลื่น เพราะไม่ว่า คล็อปป์ จะต้องเจอปัญหามีใครเดี้ยง เขาจะสามารถดึงผู้เล่นคนอื่นไปทดแทนได้อยู่เสมอ อย่างเช่นเวลานี้ที่ ฟาบินโญ่ ที่ถูกเขยิบมาเล่นเซนเตอร์ จนแทบจะเป็นกองหลังตัวหลักไปแล้ว หรืออย่างการดันดาวรุ่งขึ้นมา นาธาเนียล ฟิลลิปส์  หรือ รีห์ส วิลเลียมส์ ขึ้นมา จนผลงานนั้นยังดูยอดเยี่ยมอยู่ตลอด 

 

 

แต่แล้วเมื่อหนักขึ้นเรื่อยๆ จนผลกระทบดังกล่าว ทำให้ทีมเริ่มแบกรับไม่ไหว และมาเห็นผลอย่างจังตั้งแต่ช่วงบ็อกซิ่งเดย์ ที่ทีมต้องกรำศึกหนัก ทำให้ทัพ หงส์แดง นั้นสะดุดเสมอกับ เวสต์บรอมชิช อัลเบี้ยน และ นิวคาสเซิ่ล รวมไปถึงยังทำช็อคเมื่อพ่าย เซาธ์แฮมป์ตัน  ซึ่งนอกจากปัญหาแนวรับที่เราเห็น แนวรุกเวลานี้ก็ดูเหมือนจะฟอร์มตื้อๆกันไปหมด หลังจากที่ ดีโอโก้ โชต้า แนวรุกที่ซื้อมาใหม่ก็ดันเจ็บไปอีกราย จนทีมไม่ตัวเลือกคอยสลับ 3 ประสานอย่าง มาเน่ , ซาลาห์ และ ฟีร์มิโน่ เลย 

 

 

ที่น่าสนใจคือล่าสุด คล็อปป์ นั้นเพิ่งจะออกมาให้สัมภาษณ์ว่าเขานั้นไม่คิดว่าจะซื้อ กองหลัง  เข้ามาแก้วิกฤติในช่วงตลาดรอบ 2 ในเดือนนี้ เพราะมองว่าเป็นการแก้ปัญหาระยะสั้น รวมทั้งทีมนั้นยังเจอสภาวะวิกฤติจากโควิด-19 ด้วย  นั่นทำให้เหล่า เดอะค็อป คงกังวลใจกับเรื่องนี้มากที่สุดเป็นแน่แท้ 

 

 

 

โซลชา สร้าง ยูไนเต็ด ด้วยความเชื่อเหมือนยุค เฟอร์กี้ 

 

 

ยูไนเต็ด ไม่แพ้ให้ใครในเกมลีก มานับตั้งแต่พ่ายให้ อาร์เซน่อล ในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด 0-1 เมื่อต้นเดือน พ.ย.  และถึงเวลานี้ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ก็พาทัพ ปีศาจแดง ทะยานขึ้นมาเป็นรองจ่าฝูงที่มีคะแนนเท่ากับ ลิเวอร์พูล เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หนำซ้ำยังมีโปรแกรมตกค้างเตะกับ เบิร์นลีย์ เหลืออยู่อีก 1 นัดในมือด้วย

 

 

ในขณะที่ในอดีต  มูรินโญ่ เคยใช้ปรัชญายิงแล้วอุดเพื่อพาทีมการันตีคว้าชัย แต่มาในยุคนี้  กุนซือชาวนอร์วีเจี้ยน นั้นพยายามให้ทีมเปิดเกมบุกลุยเต็มที่ อย่างที่เราเห็นในเกมที่พวกเขาถล่มเอาชนะ ลีดส์ ยูไนเต็ด 6-2 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าทัพ “ปีศาจแดง” ยุคนี้มีศักยภาพมากแค่ไหน หากทุกคนท็อปฟอร์ม  

 

 

 

นั่นพาลให้นึกไปถึงยุค เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่พาทีมลงสนามด้วยปรัชญาที่ว่า ทีมต้องการชัยชนะจนวินาทีสุดท้ายของเกม จนเราได้เห็นหลายต่อหลายครั้งที่ทัพ “ปีศาจแดง” มักจะยิงประตูชัยได้ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ รวมไปถึงคว้าชัยได้บ่อยครั้งแม้วันที่ฟอร์มแย่ด้วย 

 

แล้วในวันที่ 17 ม.ค.นี้ จะเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ที่ โซลชา จะแสดงให้เห็นว่าเขาจะพาทัพ ปีศาจแดง ดีพอที่จะลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาลนี้หรือไม่ เมื่อต้องทำศึก แดงเดือด บุกไปเยือนถิ่น แอนฟิลด์ ของ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล คู่อริตลอดกาล 

 

 

 

 

เคน และ ซอน แบกไม่ไหวหากไก่หวังถึงแชมป์ 

 

สุดยอดคู่หูกองหน้าแห่งฤดูกาลนี้อย่างแท้จริงสำหรับ แฮร์รี่ เคน และ ซอน เฮือน มิน ที่ต่างทำประตูช่วยกันได้อย่างถล่มทลายในฤดูกาลนี้ จนทำให้ทำสถิติประสานงาน ยิงและ แอสซิสต์ รวมกันถึง 13 ครั้งในฤดูกาลนี้ เทียบเท่าสถิติสูงสุดตลอดกาลของพรีเมียร์ลีกที่ อลัน เชียร์เรอร์ และ คริส ซัตตัน เคยทำไว้เมื่อฤดูกาล 1994-95  นอกจากนี้ยังต้องการอีกเพียง 4 ประตู เพื่อทำลายสถิติการยิงประตูรวมกันตลอดกาลที่ แฟรงค์ แลมพาร์ด และ ดิดีเยร์ ดร็อกบา เคยทำเอาไว้ 36 ประตูกับ เชลซี

 

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ มูรินโญ่ ต้องยอมรับคือแม้ทั้งคู่จะเป็นกุญแจสำคัญของทีมในฤดูกาลนี้ แต่เขาไม่สามารถจะฝากความหวังเอาไว้ได้ทุกนัด  เพราะมันจะมีบางเกมที่ ซอน และ เคน จะโดนจับทางหรือ แทคติกเกมสวนกลับใช้ไม่ได้ผล  อย่างก่อนหน้านี้ทัพ “ไก่เดือยทอง” ก็มีช่วงสะดุดเมื่อไม่สามารถชนะใครได้เลยตลอด 4 เกม จนหลุดจากวงโคจรจ่าฝูง 

 

นั่นเชื่อว่าหาก กุนซือชาวโปรตุกีสต้องการพา สเปอร์ส ประสบความสำเร็จในฤดูกาลนี้ ต้องหาใครที่มาแบ่งเบาภาระบ้าง หลังเวลานี้แนวรุกฝั่งขวานั้นดูแล้วยังไม่มีใครฝากผีฝากไข้ได้เลยทั้ง แกเร็ธ เบล ที่ยังต้องดิ้นรนกับสภาพความฟิต หรือ สตีเฟ่น เบิร์กไวน์ และลูคัส มูร่า ที่ยังทำผลงานได้ต่ำกว่ามาตรฐานในฤดูกาลนี้ 

 

  บางที่การดึง คริสเตียน เอริคเซ่น กองกลางของ อินเตอร์ มิลาน กลับคืนสู่ทีมก็เป็นทางเลือกที่ดี หลังเวลานี้ เดเล่ อัลลี นั้นดูเหมือนจะหมดอนาคตกับสโมสรไปแล้ว 

 

ดิอาส กับการอุดรอยรั่วในเกมรับของ เรือใบสีฟ้า 

 

หลังจากเริ่มต้นฤดูกาลได้อย่างกระท่อนกระแท่นสำหรับ ซิตี้ ในฤดูากาลนี้ ท่ามกลางปัญหาเกมรับที่ เป๊ป กวาดิโอล่า พยายามหาทางแก้มาโดยตลอด นับตั้งแต่ที่ แว็งซองต์ กอมปานี ปราการหลังยอดกัปตันอำลาทีมไป และนั่นทำให้ รูเบน ดิอาส แนวรับทีมชาติโปรตุเกสของ เบนฟิก้าถูกดึงตัวเข้ามาด้วยค่าตัวเป็นสถิติสโมสรถึง 65 ล้านปอนด์ 

 

ค่าตัวระดับนี้แน่นอนว่าต้องถูกคาดหวังเป็นธรรมดา แม้ในช่วงแรก ดิอาส จะยังดูเหมือนจะปรับตัวไม่ได้ แต่ถึงเวลานี้หลังผ่านมาครึ่งฤดูกาล เขาเริ่มแสดงให้เห็นแล้วว่าเล่นได้คุ้มค่าตัวมากแค่ไหน โดยเฉพาะการได้จับคู่กับ จอห์น สโตนส์ ที่เหมือนกลับมาเกิดใหม่และยึดเป็นคู่เซ็นเตอร์ของทีมในเวลานี้

 

หลังจากที่บุกไปเอาชนะเชลซี 3-1 ตอนนี้ ทัพ เรือใบสีฟ้า เอาชนะมา 11 เกมติดต่อกันไปแล้ว และ ดิอาส ก็ช่วยให้ทีมไม่เสียประตูได้ถึง 7 เกมเลยทีเดียว ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยเสียถึง 6 ประตูจาก 2 นัดด้วยซ้ำ และจากผลงานเช่นนี้ ทำให้ทุกคนคิดถึง กอมปานี ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยให้ทีมประสบความสำเร็จมาโดยตลอด 

 

ถึงเวลานี้ แมนฯซิตี้ มี 29 คะแนน ตามหลัง ลิเวอร์พูล จ่าฝูงอยู่ 4 คะแนน พร้อมแข่งน้อยกว่า 2 นัด ซึ่งเชื่อว่าครึ่งฤดูกาลหลังเราคงได้เห็นลูกทีมของ เป๊ป กวาดิโอล่า เร่งเครื่องแซงมาลุ้นแชมป์เต็มตัวอีกครั้งอย่างแน่นอน 

 

 

 

แข้งดาวรุ่งช่วยกู้วิกฤติที่อาร์เซน่อล

 

 

  ผลงานที่ย่ำแย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร จนทีมร่วงไปใกล้โซนตกชั้นที่เกิดขึ้นในฤดูกาลนี้ทำให้ มิเกล อาร์เตต้า ใกล้เต็มแก่ที่จะโดนปลดออกจากตำแหน่ง หากเขาไม่สามารถทำทีมกลับมาสู่เส้นทางที่จะเป็นได้ 

 

แต่แล้วการตัดสินใจของกุนซือชาวสแปนิช ที่ให้โอกาสดาวรุ่งในทีมได้ลงสนามเป็นตัวจริง นั้นอาจจะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในฤดูกาลนี้   หลังทัพ “ไอ้ปืนใหญ่” กลับมาคว้าชัยชนะได้ 3 เกมติดต่อกันพร้อมเขยิบขึ้นมาอยู่กลางตารางเรียบร้อยแล้ว 

 

ก่อนหน้านี้ “ไอ้ปืนใหญ่” นั้นขาดเพลย์เมคเกอร์ในแนวรุก นับตั้งแต่ตัดขาดกับ เมซุต โอซิล จนไม่ว่าจะใช้ใครมาเล่นก็ทำผลงานได้ไม่น่าประทับใจ จนกระทั่ง อาร์เตต้า มาเจอเพชรเม็ดงามอย่าง  เอมิล สมิธ-โรว์ ดาวรุ่งวัย 20 ปีที่สร้างผลงานได้น่าประทับใจสุดๆ โดยเฉพาะในเกมที่บุกไปเอาชนะ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน 4-0 ที่แสดงให้เห็นว่าเขานั้นมีดีมากแค่ไหน

 

 

นอกจากนี้แข้งรายอื่นๆอาทิ กาเบรียล มาติเนลลี่ กองหน้าที่เจ็บไปนาน เมื่อกลับมาก็ทำให้แนวรุกดูหวือหวามากกว่าเดิม รวมไปถึง บูกาโย่ ซาก้า ที่ฤดูกาลนี้ยึดตัวหลักของทีมไปแล้ว เรียกว่าเมื่อรุ่นพี่อย่าง ปิแอร์ เอเมอริค โอบาเมยอง หรือ วิลเลี่ยน นั้นหลุดฟอร์มไป บางทีอาจถึงเวลาของเลือดใหม่ที่ต้องก้าวขึ้นมาซักทีได้แล้ว 

 

 

 

ฮัดสัน โอดอย  ไพ่ใบสุดท้ายของ “แลมพาร์ด

 

 

ในช่วงเวลาที่ แฟรงค์ แลมพาร์ด กุนซือ “สิงห์บูล์ส” หลังพิงเชือกกับการค้นหาแท็กติกที่ใช่ในฤดูกาลนี้ หลังทีมทุุบคลังไปกว่า 240 ล้านปอนด์ เมื่อช่วงซัมเมอร์ แต่แข้งหน้าใหม่ที่ทุ่มซื้อมาทั้ง ไค ฮาเวิร์ตซ์ ,ติโม แวร์เนอร์ หรือแม้กระทั่ง ฮาคิม ซิเยค กลับยังไม่สามรถพาทีมอยู่ในจุดที่หวังได้ จนผลงานเวลานี้ดิ่งลงเหวสุดๆ 

 

ในเกมที่ทัพ สิงห์บูล์ส พ่าย แมนฯซิตี้ คารัง สแตมฟอร์ด บริดจ์ 1-3 เราได้เห็นจุดหนึ่งที่น่าสนใจเมื่อ คัลลัม ฮัดสัน โอดอย แนวรุกดาวรุ่งที่ลงมาเป็นตัวสำรองในเกมนี้แทน ซิเยค และดาวเตะวัย 20 ปี ก็ยิงประตูตีไข่แตกให้ทีมทันที  ซึ่งฤดูกาลนี้ โอดอย นั้นเพิ่งจะได้รับโอกาสลงสนามในเกมพรีเมียร์ลีก เพียง 2 ครั้งเท่านั้น แต่ปรากฏว่า 2 เกมที่ลงสนาม เขาแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพอยู่เสมอ 

 

และด้วยความที่ โอดอย นั้นต้องการโอกาสลงสนามมากกว่าเดิมเพื่อการลุ้นมีชื่อติดทีมชาติอังกฤษไปเตะ ยูโร ในช่วงกลางปีนี้ บางที แลมพาร์ด ที่ยังหาทางออกไม่เจอ น่าจะลองให้โอกาสเขาลงสนามมากขึ้นกว่าเดิม และดร็อปแข้งตัวจริงที่เล่นได้ไม่ประทับใจดู ซึ่งนั่นอาจจะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของทีมในฤดูกาลนี้ก็เป็นได้ 

 

                           

 

                                                                       DaboyG