เจาะ 5 เหตุผลทำไมหงส์เเดงถึงปืนฝืด 

 

จบช่วงคริสมาสต์ด้วยตำเเหน่งจ่าฝูงต่อมาจนถึงต้นปี 2021 เเต่ล่าสุดฟอร์มอันย่ำเเย่ของลิเวอร์พูลที่ไม่ชนะใครมา 4 เกมติด ทำให้พวกเขาหล่นมาอยู่อันดับที่ 4 ของตารางคะเเนน เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะเกมรุกเหมือนดรอปลงไปเยอะยิงไม่ได้มา 3 เกมติด  ซึ่งยังไม่เคยเกิดขึ้นตั้งเเต่ เจอร์เก้น คล็อปป์ เข้ามาคุมทีม ครั้งสุดท้ายที่เกิดเหตุการณ์เเบบนี้ต้องย้อนกลับไปเมื่อปี 2005 ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคมในยุคของ ราฟาเอล เบนิเตซ เเต่ถ้านับเฉพาะผลงานของคล็ปป์ที่นำทีมยิงไม่ได้ 3 เกมติดต้องย้อนไปไกลระหว่างเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคมปี 2006 สมัยที่ยังคุมไมนซ์ 05 ในเยอรมัน

 

ก่อนหน้านี้ลิเวอร์พูลเป็นทีมสุดท้ายที่ยิงครบทุกเกมมา 15 นัด ก่อนจะมายิงไม่ได้ 3 เหตุผลมีหลายประการ

 

 

ขาดเวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค

 

หลายคนคงงงว่ากองหลังบาดเจ็บไปเกี่ยวอะไรกับเรื่องเกมรุก เเต่ถ้านับตั้งเเต่ฟาน ไดจ์คเจ็บจากเกมที่เสมอเอฟเวอร์ตันเมื่อปลายเดือนตุลาคมส่งผลกระทบในเกมรับโดยพวกเขาเสียประตูมากขึ้นหลังจบ 18 เกมมากกว่าช่วงเดียวกันของฤดูกาลที่เเล้ว 

 

ขณะเดียวกันนอกจากจะส่งผลเสียในเกมรับมันยังสะเทือนไปถึงเกมรุกนอกจากจะเป็นการข่มเเนวรุกคู่เเข่งได้เเล้วยังทำให้เเนวป้องกันหงส์เเดงถอยร่นลงไปด้วย 

 

ฟาน ไดจ์คมีความสามารถในการอ่านเกมสูงทำให้เเนวป้องกันสามารถดันขึ้นสูงได้พูดง่ายๆก็คือลิเวอร์พูลสามารถบีบคู่แข่งกลับเข้าเข้าเเดนของตัวเองเพิ่มความกดดันในการโจมตีซึ่งนำไปสู่โอกาสที่จะเข้าทำประตูเเละเอื้อต่อการเล่นเกมเพรสซิ่งที่พวกเขาถนัดในทางกลับกันเมื่อไม่มีฟาน ไดจ์คเเนวรับของทีมต้องถอยไปกว่าเดิมถึง 10 เมตรนั้นทำให้คู่เเข่งมีพื้นที่เข้าโจมตีได้มากขึ้น ขณะเดียวกันเขายังเติมเกมขึ้นมาโหม่งประตูได้บ่อยๆ ทั้งจังหวะลูกเตะมุมหรือฟรีคิกย้อนกลับไป 2 ฤดูกาลเขาทำได้ 6 เเละ 5 ประตูตามลำดับ ส่วนปีนี้ก็ทำไปเเล้ว 1 ประตูจากการลงเล่น 5 เกมลีก

 

ลิเวอร์พูลยิง 11 ประตูจาก 4 เกมลีกก่อนที่ฟาน ไดจ์คจะเจ็บคิดเป็นอัตรา 2.75 ประตูต่อเกม หลังจากนั้นยิงได้ 26 ประตู จาก 14 เกมถ้ารวมเกมที่ถล่ม คริสตัล พาเลซ 7-0 อัตราการยิงประตูเมื่อไม่มี ฟาน ไดจ์ค จะเหลือเเค่ 1.46 ประตูต่อเกม

 

 

โชต้าบาดเจ็บ 

 

ตั้งเเต่ย้ายจากวูล์ฟแฮมป์ตันมาอยู่กับลิเวอร์พูลสนนราคาที่ 40 ล้านปอนด์ในเดือนกันยายนเขาก็ปรับตัวได้อย่างรวดเร็วเป็นหนึ่งในกองหน้าที่ฟอร์มเเรงที่สุดของลีกก่อนจะมาได้รับบาดเจ็บจากเกมเเชมเปี้ยนส์ ลีก ที่เสมอ มิดทิลแลนด์ เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม

 

ดาวเตะโปรตุกีสซัดไป 5 ประตูจาก 9 เกมลีกที่ลงเล่นรวมถึงประตูชัยในเกมที่พบกับเชฟฟิลด์ยูไนเต็ดและเวสต์แฮมพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเขาสำคัญกับทีมเเค่ไหน เขาใช้เวลาไม่ถึง 3 เดือนเเซงหน้า ดิว็อก โอริกี้ เเละ ทาคุมิ มินามิโนะ ที่ย้ายมาก่อนเป็นตัวเลือกที่ 4 ในเเนวรุกเพิ่มความอันตรายให้ 3 กองหน้ารวมทั้งยังเอื้อให้ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ได้ลงมาทำเกมเเบบเต็มตัว หลังจากไม่มีโชต้าลิเวอร์พูลชนะเเค่ 2 จาก 7 เกมลีก เเละยิงไม่ได้ถึง 3 เกม 

 

 

ข่าววุ่นวายของซาลาห์ 

 

อนาคตของซาลาห์ยังคงเป็นเครื่องหมายคำถามตั้งเเต่เขาเปรยเป็นนัยๆว่าอยากย้ายไปอยู่กับเรอัล มาดริด เเละ บาร์เซโลน่า ทามกลางข่าวที่ว่าเขาไม่พอใจที่ไม่ได้รับบทบาทกัปตันทีมในเกมกับมิดทิลแลนด์ทั้งที่เเข้งซีเนียร์หลายคนไม่ได้ลงสนามในเกมนั้น

 

เเข้งอียิปต์ยิงไม่ได้มาเเล้ว 4 เกมติดนับตั้งเเต่ซัด 2 ตุงในเกมถล่ม คริสตัล พาเลซ 7-0 เเม้ว่าปากจะบอกว่ายังทุ่มเทให้กับทีม 100% เเต่สิ่งที่เขาพูดออกไปก่อนหน้านี้ทำให้ทั้งนักข่าวเเละเเฟนบอลตั้งคำถามกับเขาอยากมากนั้นหมายถึงจิตใจอาจจะไม่ได้โฟกัสกับเกมหรืออาจจะโดนพิษข่าวทำให้หลุดสมาธิไม่มากก็น้อย ส่งผลต่อไปยังฟอร์มในสนามอีกด้วย 

 

 

ฟีร์มิโน่ยิงไม่ได้เริ่มส่งผล 

 

เจอร์เก้น คล็อปป์ เคยให้สัมภาษณ์คาดหวังอะไรที่มากกว่าการทำประตูจากฟีร์มิโน่เเละไม่เคยกังวลกับฟอร์มทำประตูของเขา ซึ่งมันอาจจะเป็นจริงเพราะว่าเขาทำอะไรได้มากกว่าการยิงประตูนั้นคือการถอยมาเป็นตัวเชื่อมเกมรุกเปิดบอลสวยๆให้ ซาลาห์เเละมาเน่ทำประตูได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ เเต่อย่าลืมว่าเขาคือกองหน้าตัวเป้าในฐานะหมายเลข 9 

 

เเข้งบราซิลเป็นสุดยอดนักเตะและไม่มีคำถามว่าเขามีส่วนกับความสำเร็จของทีมในช่วงที่ผ่านมาเเค่ไหนความไม่เห็นแก่ตัวและอัตราการทำงานของเขาสร้างโอกาสมากมายให้กับซาลาห์และมาเน่เเต่เมื่อ 2 คนนี้มีปัญหาปืนฝืดทำให้ฟีร์มิโน่ตกเป็นเป้าโจมตีเเละคำถามที่ว่าลิเวอร์พูลควรมีกองหน้าที่หิวกระหายทำประตูมากกว่านี้หรือไม่ 

 

เขายิงได้ห้าประตูในลีกในฤดูกาลนี้เเม้จะเกิดครึ่งจาก 9 ประตูที่ทำได้ตลอดทั้งฤดูกาลที่เเล้วเเต่ที่ลดลงก็คือทำได้เเค่ 3 แอสซิสต์ซึ่งน้อยกว่าเมื่อเทียบกับการทำ 8 แอสซิสต์ในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่เเล้ว ในเมื่อ 2 คู่หูอย่างมาเน่-ซาลาห์ทำประตูไม่ได้เขาก็ถูกวิจารณ์ว่าควรทำได้ดีกว่านี้

 

 

เเดนกลางทำเกมไม่ได้

 

คล็อปป์มีกองกลางที่เขาเลือกใช้งานในทีมชุดใหญ่กว่า 8 คน เเต่หลังจากผ่านไป 18 เกมทุกคนทำแอสซิสต์รวมกันได้เเค่ 3 ครั้งเท่านั้น? งงไหม? 

 

เฮนเดอร์สัน, อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด–แชมเบอร์เลน เเละ เจมส์ มิลเนอร์ ทำได้คนละ 1 แอสซิสต์ เเต่ เคอร์ติส โจนส์, นาบี เกอิต้า, จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม, ติอาโก้ อัลกันตาร่า เเละ ฟาบินโญ่ ยังต้องรอต่อไป เเม้ว่ารายหลังจะถูกจับไปเล่นเป็นเเนวรับจำเป็นก็ตาม เเถมมันไม่ได้ดีไปกว่าการนับตัวรุกอย่าง ทาคุมิ มินามิโนะ เเละ เซอร์ดาน ชากิรี่ ที่ทำได้คนละเเค่ 1 ประตู นั้นเเสดงให้เห็นว่า 3 เเดนหน้าต้องรับภาระการทำประตูหนักเเค่ไหน นั้นคือสาเหตุว่าถ้ากองหน้าทำประตูไม่ได้ทุกอย่างคือจบเพราะไม่มีกองกลางเข้ามาช่วยเเบ่งเบาภาระในส่วนนี้เลย