แฟนผีซูฮก : ย้อนความหลังเมื่อครั้ง R9 กดแฮตทริกในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

 

วันที่ 23 เมษายนปี 2003 โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด กลายเป็นหนึ่งในสนามที่ โรนัลโด้ โชว์ฟอร์มได้ดีที่สุดในอาชีพค้าแข้ง หลังกดแฮตทริกใส่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ช่วยให้ เรอัล มาดริด ทะลุเข้ารอบตัดเชือกแชมเปี้ยนส์ลีกได้สำเร็จ

 

ราชันชุดขาวกุมความได้เปรียบในเกมแรกที่ เบอร์นาเบว ด้วยสกอร์ 3-1 จาก หลุยส์ ฟิโก้ และการเหมา 2 ของ ราอูล กอนซาเลซ ก่อนที่ รุด ฟาน นิสเตอรอย จะยิงประตูให้ปีศาจแดงช่วงท้ายเกม

 

“เรามีเกมที่ยากมาก แต่หนึ่งในความหวังคือประตูทีมเยือน ถ้าเรายิงประตูได้ก่อน มันจะเป็นค่ำคืนที่น่าทึ่งเลย” เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กล่าวหลังพ่ายในเกมนั้น

 

ซึ่งในเกมต่อมาเป็นเกมที่น่าจดจำอย่างที่ เฟอร์กี้ ทำนายไว้จริงๆ เมื่อปีศาจแดงเอาชนะไปได้ 4-3 แต่ตกรอบด้วยผลประตูรวม 6-5

 

การแข่งขันวันนั้นมีทุกอย่างที่เกมฟุตบอลควรมี ไม่ว่าจะเป็น การบุกแหลกของทั้ง 2 ทีมโดยไม่พะวงเกมรับ, ประตูจากลูกฟรีคิกสุดสวยของ เดวิด เบ็คแฮม, การประสานของแข้งกาลาติกอสยุคแรกที่ยอดเยี่ยม, ผู้ตัดสินที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาลอย่าง ปิแอร์ลุยจิ คอร์ลิน่า, อารมณ์เกมที่ดุเดือดเลือดพล่าน

 

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ กองหน้าเบอร์หนึ่งของโลกในตอนนั้นเจ้าของฉายา ‘เอล ฟิโน่มิโน่’ ที่ระเบิดฟอร์มจนแฟนบอลเจ้าถิ่นซูฮกให้

 

 

ผู้เบิกสกอร์แรก

 

 

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หวังเป็นอย่างยิ่งว่าพวกเขาจะเป็นทีมที่ยิงประตูแรกได้ และฝั่งเจ้าบ้านก็กดดันทีมเยือนได้ดีจากลูกยิงของ ฟาน นิสเตอรอย และ ไรอัน กิ๊กส์ ที่ทำให้ อิเกร์ กาซิยาส ต้องออกแรงเซฟก่อน

 

แต่ยูไนเต็ดที่กำลังบุกอยู่หน้ากรอบเขตโทษคู่แข่ง กลับกลายเป็นทีมที่เสียประตูก่อนในเวลาต่อมา

 

ซีดาน แย่งบอลจาก ฮวน เซบาสเตียน เวรอน ได้ทำชิ่งกับเพื่อนร่วมทีมก่อนจะส่งบอลให้กับ กูตี ที่อยู่บริเวณกลางสนาม

 

ในจังหวะนั้นเอง โรนัลโด้ ก็วิ่งฉีกหนี ริโอ เฟอร์ดินานด์ แบบทันทีทันใด แม้กองหลังชาวอังกฤษจะเห็นการวิ่งทำทางของ R9 แต่ก็สายเกินไปแล้ว

 

กูตี จ่ายทุะลช่องให้เพื่อนร่วมทีม ซึ่งโรนัลโด้ปล่อยให้ไหลไปหน้ากรอบเขตโทษเล็กน้อย จากนั้นจึงซัดด้วยขวาแบบไม่ต้องแต่งผ่าน ฟาเบียน บาร์เตซ เข้าไปตุงตาขาย

 

แม้นายทวารชาวฝรั่งเศสจะยืนตำแหน่งแปลกๆ แต่มุมนั้นก็ไม่ใช่จังหวะที่สามารถทำประตูได้ง่ายๆ เช่นกัน

 

เมื่อเห็นเป็นเช่นนั้น กุนซือชาวสก็อตก็ปฏิเสธที่จะทนนั่งอยู่เฉยๆอีกต่อไป และลุกขึ้นมาสั่งการลูกทีมข้างสนามทันที เพื่อกระตุ้นให้ลูกทีมกลับมาให้ได้

 

ประตูแรกในเกมนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ 12 นาทีแรก ไม่แปลกที่มันจะทำให้ความหวังของยูไนเต็ดในการผ่านเข้ารอบค่อยๆเลื่อนลางหายไป

 

 

นักล่าในกรอบ 18 หลา

 

 

สิ่งหนึ่งที่ยอดเยี่ยมในการยลฝีเท้าของ โรนัลโด้ นอกเหนือจากแฮตทริกในเกมนั้นแล้ว คือเขายิงประตูโดยที่ไม่ต้องพยายามทำอะไรมากมาย

 

ขณะที่กองกลาง โลส บลังโกส ไล่กดดัน แข้งปีศาจแดงยามครองบอล หัวหอกชาวบราซิลเลี่ยนจะดินเตร่อยู่ฝั่งคู่แข่งเป็นปกติ และไม่เคยอยู่ห่างจากเส้นกลางสนามเลย นั่นยิ่งทำให้ แนวคิดของ กีเก้นเพรซซิ่ง ดูสมบูรณ์แบบมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมีนักเตะที่สามารถเลี้ยงผ่านกองหลังและพาบอลไปจมอยู่ก้นตาขายได้

 

มีช่วงเวลาหนึ่งในเกมนั้นที่อธิบายสัญชาตญาณในกรอบเขตโทษของอดีตกองหน้าเลือดแซมบ้าได้เป็นอย่างดี

 

โรนัลโด้ หาตำแหน่งได้อย่างยอดเยี่ยม หลังเก็บบอลจาก หลุยส์ ฟิโก้ และจ่ายออกข้างให้กับ มิเชล ซัลกาโด้ ที่เติมเกมบุกขึ้นมาทางขวา ก่อนที่แข้งชาวบราซิลเลี่ยนจะสปรินท์เข้าในกรอบเขตโทษในระยะ 10 หลา เพื่อรอจังหวะสังหาร แสดงให้เห็นว่าเขาเลือกที่จะวิ่งเต็มสปีดในช่วงที่จำเป็นและเหมาะสมเท่านั้น

 

น่าเสียดายที่จังหวะเปิดบอลของแบ็คขวาสแปนิชมีน้ำหนักมากเกินไปจนข้ามหัว โรนัลโด้ ก่อนที่ สตีฟ แม็คมานามาน ผู้ที่โดนแฟนปีศาจแดงโห่ใส่ตลอดเกมจะยิงปลิ้นจนบอลกระดอนออกนอกกรอบเขตโทษ

 

 

ประตูที่ 2 

 

 

ทั้ง 2 ทีมต่างโหมเปิดหน้าแลกกัน หลัง ฟาน นิสเตอรอย ยิงประตูแรกให้ปีศาจแดงได้ในช่วงท้ายครึ่งแรก แต่ฝั่งเจ้าบ้านก็ต้องการเพิ่มอีก 2 ประตู หากต้องยื้อไปช่วงต่อเวลาพิเศษ

 

แต่หลังจากเริ่มเกมครึ่งหลัง 5 นาที โอกาสการต่อเวลาไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ เนื่องทีมของเฟอร์กี้ต้องยิงประตูเพิ่มถึง 3 ลูกใส่ทีมอย่าง เรอัล มาดริด

 

ซีดาน จ่ายบอลให้ โรแบร์โต้ คาร์ลอส หลุดแนวรับเจ้าบ้าน ก่อนจะจ่ายให้โรนัลโด้ แปบอลเข้าไปง่ายๆในระยะ 5 หลา 

 

จังหวะนี้เป็นความผิดพลาดของ เวส บราวน์ และ จอห์น โอเช 2 แนวรับปีศาจแดงเต็มๆ เนื่องจากปล่อยให้ กองหน้าคู่แข่งหลุดจากการประกบตัวไปง่ายๆ โดยเฉพาะคนๆนั้นคือชายที่ชื่อว่า ‘โรนัลโด้’ 

 

 

แฮตทริกปิดกล่อง

 

 

ยูไนเต็ด ไล่ตามตีเสมอได้ในอีก 2 นาทีต่อมา จากการทำเข้าประตูของตัวเอง อิบัน เฮลกูร่า แต่ทีมดังจากสเปนก็ยังเป็นฝ่ายที่กุมความได้เปรียบมากกว่า

 

จากนั้นในนาทีที่ 59 ประตูที่ 3 ของเรอัล มาดริด ก็เกิดขึ้น โดยมีจุดเริมต้นจาก โคล้ด มากาเลเล่ ที่เลี้ยงบอลผ่านคู่แข่ง 2 คน จึงออกบอลให้กับ ฟิโก้ ต่อไป

 

แข้งชาวโปรตุเกส พาบอลขึ้นไปข้างหน้าจังหวะนึงจึงจ่ายบอลให้กับ โรนัลโด้ และวิ่งทำทางเพื่อดึงความสนใจของ มิกาเอล ซิลแวสต์ ที่ยืนประจันหน้ากับ หอกแซมบ้า โดยมี ริโอ เฟอร์ดินานด์ ยืนขวางหน้ากรอบเขตโทษอยู่

 

แต่แข้งฉายา ‘เอล ฟิโนมิโน่’ กลับทำสิ่งที่เหลือเชื่อด้วยการแต่งบอลเข้าขวาอีก 2 จังหวะ ก่อนจะซัดเต็มข้อจนบอลพุ่งผ่าน บาร์กเตซ กลายเป็นแฮตทริกของ โรนัลโด้ แะลประตูสุดท้ายของ ราชันชุดขาวในค่ำคืนนั้น

 

 

แฟนผีต้องซูฮก

 

 

บิเซนเต้ เดล บอสเก้ กุนซือเรอัล มาดริด ได้แสดงความมีเมตตาต่อทีมเจ้าบ้านด้วยการถอด โรนัลโด้ ออก และส่ง ซานติอาโก้ โซลารี่ ลงเล่นไปแทนในช่วง 23 นาทีสุดท้ายของการแข่งขัน

 

ในช่วงที่ กองหน้าเบอร์หนึ่งของโลกกำลังเดินออกจากสนาม แฟนบอลปีศาจแดงทั้ง 4 ฝั่งบนอัฒจันทร์บนโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ได้พร้อมใจกันลุกขึ้นยืนและปรบมือหลังได้เห็นความยอดเยี่ยมของนักเตะคู่แข่งในสนาม

 

ต่อมา เดวิด เบ็คแฮม ที่ลงเล่นในฐานะตัวสำรองก็ลงมาทำ 2 ประตูในช่วงท้ายเกม และช่วยให้ยูไนเต็ดเอาชนะในคืนนั้นได้ แต่ประตูรวม 6-5 ทำให้ยูไนเต็ดตกรอบในแชมเปี้ยนส์ลีกไปอยู่ดี

 

ท้ายที่สุด ไม่น่าเชื่อว่าผู้เล่นคนหนึ่งจะสร้างความแตกต่างระหว่าง 2 ทีมได้อย่างสิ้นเชิง ซึ่งหลังเกมนั้น เฟอร์กี้ยอมรับว่า “คุณไม่สามารถควบคุมกับคนที่สร้างช่วงเวลาแบบนั้นได้เลย”

 

เนื่องจากปัญหาอาการบาดเจ็บและปัญหาเรื่องความฟิตที่รบกวนมากมายทำให้ โรนัลโด้ เป็นนักเตะเบอร์หนึ่งของโลกในช่วงเวลาไม่นานเท่าไหร่นัก แต่ในวันที่ 23 เมษายน ปี 2003 เอล ฟีโนมีโน่ คือหนึ่งในนักเตะที่มีฝีเท้าน่าดูชมที่สุดตลอดกาล