โปรเจกต์ดรีมลีก : รวมทุกสิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับศึก “ยูโรเปียน พรีเมียร์ลีก”

 

ชื่อของยูโรเปียน พรีเมียร์ลีกเริ่มกลายเป็นกระแสที่ถูกพูดถึงเป็นวงกว้างมากขึ้น หลังมีรายงานว่า ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อยู่ในระหว่างการหารือเพื่อก่อตั้งลีกใหม่นี้ ซึ่งถือเป็นลีกในฝันที่จะรวมเอาสโมสรชั้นนำจากทั่วทั้งทวีปยุโรปมาไว้ด้วยกัน

 

โดย Sky News เปิดเผยว่าศึกยูโรเปียน พรีเมียร์ลีกได้รับการสนับสนุนจากฟีฟ่า และบริษัทด้านการเงินยักษ์ใหญ่แห่งตลาดหุ้นวอลล์ สตรีทอย่าง JP Morgan ซึ่งกำลังรวบรวมเงินทุน 4.6 พันล้านปอนด์เพื่อเนรมิตรายการดังกล่าวให้เป็นจริงขึ้นมา

 

และในวันนี้ เราได้รวบรวมข้อมูลที่คุณควรรู้เกี่ยวกับลีกที่อาจจะเปลี่ยนอนาคตของวงการลูกหนังมาให้ได้อ่านกัน

 

ยูโรเปียน พรีเมียร์ลีก คืออะไร ?

 

รายงานระบุว่าการแข่งขันรายการนี้จะได้รับการรับรองจากฟีฟ่า มีทั้งหมด 16-18 ทีม แข่งขันกันแบบเหย้า-เยือน โดยจะลงเล่นในระหว่างฤดูกาลไปพร้อมๆกับฟุตบอลลีกของแต่ละประเทศ รวมถึงทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลสโมสรยุโรปเดิมที่มี ซึ่งรูปแบบการแข่งขันก็จะเหมือนกับลีกทั่วไป คือเก็บคะแนนแบบพบกันหมด และทีมที่มีแต้มอยู่ในโซนหัวตารางก็จะได้ผ่านเข้าไปสู่รอบน็อคเอาท์เพื่อหาแชมป์ต่อไป

 

ทั้งนี้ สโมสรที่เข้าร่วมการแข่งขันจะได้รับเงินจำนวนมหาศาล และเงินรางวัลสำหรับผู้ชนะคาดว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 100 ล้านปอนด์เลยทีเดียว

 

เป็นไปได้ว่าแผนการดังกล่าว จะมีการประกาศออกมาอย่างเป็นทางการในช่วงสิ้นเดือนนี้ ขณะที่กำหนดการคร่าวๆคือแข่งขันกันในปี 2022

 

 

สโมสรที่จะเข้าร่วม

 

หลังจากเป็นหัวหอกใน Project Big Picture ที่เพิ่งล่มไป ทั้ง ลิเวอร์พูล และ แมนฯ ยูไนเต็ด ต่างก็กำลังพูดคุยเพื่อเข้าร่วมศึกยูโรเปียน พรีเมียร์ลีก ส่วนทาง อาร์เซน่อล , เชลซี , แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ก็ถูกมองว่าพร้อมตอบรับเข้าร่วมในรายการนี้ด้วยเช่นกัน

 

ขณะที่ในลาลีก้า สเปน , กัลโช่ เซเรียอา อิตาลี , บุนเดสลีก้า เยอรมัน และลีกเอิง ฝรั่งเศส รายงานระบุว่าสโมสรที่ได้รับการทาบทามแล้วในเวลานี้คือ บาร์เซโลน่า , เรอัล มาดริด , แอตเลติโก มาดริด , ยูเวนตุส , ปารีส แซงต์-แชร์กแมง และ บาเยิร์น มิวนิค

 

 

ผลกระทบที่ตามมา

 

หากศึกยูโรเปียน พรีเมียร์ลีกเกิดขึ้นจริง แน่นอนว่ารายการที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงคือยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก เนื่องด้วยโปรแกรมการแข่งขันที่จะลงเล่นกลางสัปดาห์เหมือนกัน บรรดาสโมสรยักษ์ใหญ่จึงอาจต้องเลือกว่าจะเข้าร่วมรายการไหน อย่างไรก็ตาม ในปี 2024 ยูฟ่ามีแผนที่จะปรับปรุงรูปแบบการแข่งขันของถ้วยบิ๊กเอียร์ใหม่อยู่แล้ว จึงน่าสนใจว่าพวกเขาจะใช้กลยุทธ์ไหนมาต่อสู้กับแนวคิดดรีมลีกนี้

 

ขณะที่การแข่งขันภายในประเทศ ด้วยความที่ยูโรเปียน พรีเมียร์ลีกต้องลงเล่นอย่างน้อย 30 นัดต่อฤดูกาล จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้กับโปรแกรมที่ต้องอัดแน่นขึ้นสำหรับทีมที่เข้าร่วม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับลีกเมืองผู้ดีที่มีฟุตบอลถ้วยถึง 2 รายการ

 

 

ผู้คนมองเรื่องนี้อย่างไร ?

 

– “ปัญหาใหญ่ที่ผมมีกับเรื่องนี้ คือในช่วงเวลานี้ ในช่วงกึ่งกลางของการแพร่ระบาด เมื่อฟุตบอลทรุดตัวลงในหลายๆระดับ ไอเดียที่จะรวบรวมเงินจำนวน 6 พันล้านดอลลาร์เพื่อตั้งลีกใหม่ เมื่อสโมสรระดับล่างกำลังดิ้นรนทุกทางเพื่อหาเงินมาจ่ายค่าจ้าง และพยายามที่จะอยู่รอดต่อไป” แกรี่ เนวิลล์ บอกกับ Sky Sports

 

“มันเป็นอีกหนึ่งบาดแผลสำหรับวงการฟุตบอล ผมรู้สึกว่าไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมที่จะมาพูดเรื่องนี้ ข่าวที่หลุดออกมาอาจจะส่งผลเสียต่อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หรือ ลิเวอร์พูล พวกเขาถูกมองว่าเป็นสโมสรใหญ่ที่รังแกสโมสรระดับล่าง”

 

“ผมอยากให้ฟุตบอลก้าวหน้า กับการแข่งขันใหม่ๆ และรูปแบบใหม่ๆ แต่เราต้องดูโครงสร้างของเกมด้วย รวมถึงสิ่งที่จะเป็นความหมายต่อชุมชนในประเทศนี้”

 

– “ผู้ที่เขียนไอเดียนี้ หากพวกเขามีอยู่จริง เพราะยังไม่มีใครที่ออกมาปกป้องมันเลย มันไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงความเพิกเฉยโดยสิ้นเชิงขององค์กรต่อประเพณีของฟุตบอลยุโรปและโลกเท่านั้น แต่ยังเป็นการเพิกเฉยต่อตลาดสิทธิเสรีภาพอย่างร้ายแรงด้วย” ฆาเวียร์ เตบาส ประธานลาลีก้า บอกกับ ESPN

 

“โปรเจกต์ประเภทนี้จะหมายถึงการสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจอย่างร้ายแรงต่อผู้จัดการแข่งขันเอง และต่อหน่วยงานที่ให้เงินทุนแก่ผู้จัดการแข่งขัน ถ้าพวกเขามีอยู่จริงนะ เพราะพวกเขาไม่เคยออกมาประกาศอย่างเป็นทางการเลย โปรเจกต์ใต้ดินเหล่านี้จะดูดีก็ต่อเมื่อร่างขึ้นที่บาร์ตอนตี 5 เท่านั้น”