ใครรุ่งใครร่วง : 5 กุนซือผู้ดีออกผจญภัยต่างแดน

ใครรุ่งใครร่วง : 5 กุนซือผู้ดีออกผจญภัยต่างแดน

ไม่บ่อยนักที่เราจะเห็นนักเตะหรือผู้จัดการทีมสัญชาติอังกฤษ ออกไปทำงานนอกประเทศของตัวเอง ยิ่งในยุคสมัยนี้ที่ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษ กำลังครองโลก ทำให้พวกเขาคิดว่าไม่มีที่ไหนดีที่สุดในการประกอบอาชีพลูกหนัง

แต่เมื่อไม่นานมานี้ เวย์น รูนีย์ อดีตดาวยิงเจ้าของฉายา “สุกรโลกันต์” จาก “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ปัจจุบันคุมทัพ ดีซี ยูไนเต็ด ในเมเจอร์ลีก ซ็อคเกอร์ส สหรัฐอเมริกา ได้ออกมากระตุ้นให้เหล่าผู้จัดการทีมในอังกฤษ ออกมาผจญภัยทำงานต่างแดนให้มากขึ้น

“เหตุผลที่ผมเลือกออกมาทำงานต่างแดน เพราะอยากจะออกจากคอมพอร์ตโซน หรือพื้นที่ปลอดภัย และยังเป็นการพัฒนาตัวเองได้เจอกับสิ่งใหม่ ๆ บางอย่างที่แตกต่างออกไป” รูนีย์ กล่าว

“ที่อังกฤษผู้จัดการทีมหลายคนไม่ยอมเสี่ยงด้วยการออกไปทำงานต่างประเทศ พวกเขามัวแต่รองานในอังกฤษ แต่ผมเชื่อว่าไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนอาชีพของคุณก็ไม่มีทางปลอดภัย คุณพร้อมจะถูกปลดได้ทุกเมื่อ การได้ออกมาข้างนอกมันทำให้ผมรู้สึกปลดปล่อยและพัฒนาตัวเอง”

แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากที่ได้เห็นกุนซือผู้ดีออกมาทำงานนอกประเทศ แต่ในอดีตก็มีกุนซือหลายคนผจญภัยต่างแดน ส่วนจะมีใครบ้างและผลงานของพวกเขารุ่งหรือร่วงไปดูกัน

๐ รอย ฮ็อดจ์สัน

รอย ฮ็อดจ์สัน หรือ “ปู่ร่อย” ที่เราคุ้นเคยกันดี ย้อนกลับไปในอดีตเขาคือหนึ่งในยอดกุนซือระดับชั้นนำของยุโรป ทำงานกุนซือมาตั้งแต่ยุคกลาง 70 รุ่น ๆ เดียวกับ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน โดยเริ่มงานโค้ชครั้งแรกไม่ใช่ที่อังกฤษ แต่เป็นการคุมทีมฮาล์มสตัด ในประเทศสวีเดน อยู่ฝึกปรือฝีมือที่นั่นเป็นเวลา 2 ปี ก่อนจะกลับมารับงานในบ้านเกิดด้วยการคุมทีม บริสตอล ซิตี้ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ

หลังจากนั้นเขาไปทำงานในอิตาลีด้วยการคุมทัพ “งูใหญ่” อินเตอร์ มิลาน อยู่สองรอบ คุมทีมในสวิตเซอร์แลนด์, ฟินแลนด์ และนอร์เวย์ เรียกได้ว่าประเทศในแถบสแกนดิเนเวียปู่แกไปคุมมาหมด ยกเว้นประเทศเดนมาร์ก

นอกจากนี้เขายังเคยคุมทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ลุยศึกฟุตบอลโลก 1994 ที่สหรัฐอเมริกา คุมทีมชาติอังกฤษ ลุยศึกฟุตบอลยูโร 2012 และ 2016 รวมไปถึงฟุตบอลโลก 2014 เรียกได้ว่าครบเครื่องแต่ส่วนใหญ่มักจะไม่ประสบความสำเร็จสักเท่าไหร่

ปัจจุบัน รอย ฮ็อดจ์สัน ในวัย 75 ปี กำลังว่างานอยู่ สโมสรล่าสุดที่เขาคุมทีมคือ “แตนอาละวาด” วัตฟอร์ด เพียงแยกทางกันไปเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา

๐ เทอร์รี่ เวนาเบิลส์

จัดว่าเป็นยอดโค้ชในยุค 80 เขาเริ่มงานโค้ชด้วยการเป็นผู้ช่วยของ มัลคอล์ม อัลลิสัน กับ“ปราสาทเรือนแก้ว” คริสตัล พาเลซ ก่อนจะก้าวขึ้นมาเป็นกุนซือแบบเต็มตัวในปี 1976 นโบยายในการทำทีมของเขาคือการสร้างผู้เล่นจากระบบเยาวชน ทำงานอยู่กับทีมได้ 4 ปี ก็ออกไปอยู่กับ “ทหารเสือราชินี” ควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ ในปี 1980

ไฮไลท์สำคัญของเขาคือการได้ไปคุมทัพ “เจ้าบุญทุ่ม” บาร์เซโลน่า ในสเปนเมื่อปี 1984 ซึ่งถือว่าเป็นการออกผจญภัยทำงานต่างแดนครั้งแรกของเขา แค่เพียงฤดูกาลแรกก็สามารถพาทีมผงาดคว้าแชมป์ลาลีกา สเปน ได้ทันที ถือเป็นการครองแชมป์ลีกครั้งแรกของทีมในรอบ 11 ปี ฉายา “เอล เทล” ก็มาจากการไปคุมทีมบาร์ซ่า

หลังจากนั้นเขาย้ายกลับมาทำงานในเมืองผู้ดีด้วยการคุม ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ในปี 1987 และงานสำคัญที่สุดในชีวิตคือการคุมทีมชาติอังกฤษลุยศึกฟุตบอลชิงแชมป์ยุโรป หรือยูโร 96 ที่พวกเขารับบทเป็นเจ้าภาพ “สิงโตคำราม” ภายใต้การคุมทีมของ “เอล เทล” ทะลุเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ ก่อนที่จะไปพ่ายการดวลจุดโทษให้กับ เยอรมัน คนที่ยิงจุดโทษไม่เข้าคือ แกเร็ธ เซาธ์เกต กุนซือคนปัจจุบันของทีมชาติอังกฤษ

๐ สตีฟ แม็คคลาเรน

อดีตมือขวาสามัคคีของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ในยุครุ่งเรืองของทัพ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 2001 เขาเลือกบินเดียวด้วยการไปคุมทีม “สิงห์แดง” มิดเดิ้ลสโบรช์ห อยู่กับทีมมายาวนานเกือบ 6 ปี ประสบความสำเร็จด้วยการคว้าแชมป์ลีก คัพ ฤดูกาล 2003-04 ทำให้ได้ต่อยอดไปรับงานใหญ่ด้วยการคุมทีมชาติอังกฤษ แทนที่ของ สเวน โกรัน อีริคส์สัน เมื่อมกราคมปี 2006 แต่ไม่ประสบความสำเร็จพาทีมแพ้ “ตราหมากรุก” โครเอเชีย จนพลาดการไปเล่นรอบสุดท้ายของศึกยูโร 2008

ผลงานในครั้งนั้น ส่งผลให้เขาถูกปลดออกจากตำแหน่ง โดยใช้เวลาในการเยียวยาหัวใจประมาณ 1 ปี ก่อนจะเลือกโยกไปรับงานคุมทีม ทเวนเต้ ในเนเธอร์แลนด์ ที่ช่วยสร้างชื่อของเขากลับอีกครั้ง เพราะสามารถพาทีมผงาดคว้าแชมป์เอเรดิวิซี ลีก ฮอลแลนด์ ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรมาครองได้สำเร็จ ในฤดูกาล 2009-10 พร้อมกับได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ “ไรนุส มิเชลส์ อวอร์ด” หรือ กุนซือยอดเยี่ยมประจำลีกดัตช์ และกลายเป็นผู้กุนซือขาวอังกฤษคนแรกที่คว้าแชมป์ลีกสูงสุดในยุโรป ต่อจาก เซอร์ บ๊อบบี้ ร็อบสัน ที่เคยทำได้เช่นกันกับ เอฟซี ปอร์โต้ เมื่อปี 1996

หลังจากที่ประสบความสำเร็จกับ ทเวนเต้ เขาได้รับข้อเสนอให้ไปคุมทีม “หมาเขียว” โวล์ฟสบวร์ก การโยกมาทำงานที่นี่ ทำให้เขากลายเป็นกุนซือชาวอังกฤษคนแรกที่เข้ามาคุมทีมในศึกบุนเดสลีกา เยอรมัน แต่ผลงานย่ำแย่สุด ๆ แพ้ 3 เกมแรกในลีกจนถูกปลดออกจากตำแหน่งในเวลาต่อมา

ปัจจุบัน สตีฟ แม็คคลาเลน ที่ไปตะลุยมาหมดสามารถพูดได้ 5 ภาษา ยังคงทำงานในวงการลูกหนัง เขาเพิ่งกลับมาทำงานในอังกฤษด้วยการรับบทบาทเป็นผู้ช่วยของ เอริค เทน ฮาก ร่วมกับ มิทเชลล์ ฟาน เดอร์ กาก ที่ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

๐ เซอร์ บ๊อบบี้ ร็อบสัน

หลังจบเส้นทางการค้าแข้งอาชีพกับ แวนคูเวอร์ รอยัลส์ เขาก้าวขึ้นไปรับบทบาทผู้จัดการทีมทันที อยู่ที่นั่นแค่เพียง 1 ปี ก็ตัดสินกลับมาทำงานในบ้านเกิดคุม ฟูแล่ม, อิปสวิธ ทาวน์ และก้าวขึ้นไปคุมทีมชาติอังกฤษ ลุยฟุตบอลโลก 1986 แต่ตกรอบ 8 ทีมเพราะไปโดนหัตถ์พระเจ้าของ ดีเอโก้ มาราโดน่า หลังจากนั้นเขาพาทีมลุยศึกยูโร 1988 แต่ดันไปตกรอบแรกด้วยการแพ้รวดไม่มีคะแนนติดมือเลย

อย่างไรก็ตาม ร็อบสัน ยังคงได้รับความไว้วางใจให้คุมทีมต่อในศึกฟุตบอลโลก 1990 ที่ประเทศอิตาลี ในทัวร์นาเมนท์นี้ผลงานถือว่าน่าพอใจ พาทีมชาติอังกฤษที่แหวกม่านประเพณีใช้แผนหลัง 3 เข้าถึงรอบตัดเชือก แต่ก็แพ้จุดโทษให้กับคู่ปรับตลอดกาลอย่าง เยอรมนี ที่ตอนนั้นยังไม่รวมชาติเป็น เยอรมันตะวันตก อยู่ ไปชิงอันดับสามก็แพ้เจ้าภาพอิตาลี คว้าอันดับ 4 ไปครอง

หลังจากวางมือจากทีมชาติอังกฤษ เขาเลือกที่จะออกไปทำงานต่างแดนไปคุม พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ในฮอนแลนด์พาทีมคว้าแชมป์ลีก 2 สมัยติด ต่อด้วยการไปทำงานที่โปรตุเกสคุม สปอร์ติ้ง ลิสบอน สโมสรแห่งนี้ทำให้เขาได้พบกับ โชเซ่ มูรินโญ่ เป็นครั้งแรกในฐานะล่ามแปลภาษา และยังตามติดมาทำงานกับ เอฟซี ปอร์โต้ ที่ประสบความสำเร็จคว้าแชมป์ได้ 2 สมัยติดต่อกัน

หลังจากนั้นในปี 1996 เขาย้ายไปคุมบาร์เซโลน่า โชเซ่ มูรินโญ่ ก็ตามมาด้วย เขาได้ถ่ายทอดเคล็ดลับวิชาให้กับเด็กหนุ่มจากโปรตุกีสรายนี้จนกลายเป็นยอดกุนซือในเวลาต่อมา การย้ายมาทำงานคุมทีมดังแห่งแคว้นคาตาลัน ทำให้เขาได้พบกับ “โล้นทองคำ” โรนัลโด้ ประสบความสำเร็จคว้าแชมป์โกปา เดล เรย์, ซูเปอร์ โคปา เดอ เอสปันญ่า และยูฟ่า คัพ วินเนอร์ส คัพ

๐ แกรห์ม พ็อตเตอร์

กุนซือคนปัจจุบันของ “สิงห์บลูส์” เชลซี เป็นอีกหนึ่งผู้จัดการทีมที่เคยไปทำงานในต่างแดนก่อนที่จะกลับมาบ้านเกิด หลังยุติเส้นทางค้าแข้งอาชีพกับ แม็คเคิ่ลส์ฟิลด์ ทาวน์ เขาเลือกสานต่อเส้นทางลูกหนังด้วยการไปคุมทีม ลีดส์ คาร์เนกี้ เอฟซี สโมสรท้องถิ่นในย่าน ยอร์คเชียร์ เมื่อปี 2008 ก่อนที่จะโยกย้ายไปรับงานคุมทีมต่างแดนกับ ออสเตอร์ซุนด์ ในประเทศสวีเดน อยู่ที่นั่นยาวนานถึง 7 ปี ประสบความสำเร็จหลายรายการและยังได้รับรางวัลผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมด้วย

หลังจากนั้น พ็อตเตอร์ เลือกกลับมาทำงานในอังกฤษด้วยการเข้ามาคุมทัพ “นกนางนวล” ไบร์ทตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน แทนที่ของ คริส ฮิวจ์ตัน เมื่อ 20 พฤษภาคม ปี 2019 เขาเป็นกุนซือนักวางระบบ ออกแบบทีมให้แข็งแกร่งในระยะยาว ด้วยผลงานอันโดดเด่นของเขาช่วยยกระดับทีมให้สามารถต่อกรกับบรรดายักษ์ใหญ่ในพรีเมียร์ลีกได้อย่างสนุก

จนเมื่อวันที่ 8 กันยายนที่ผ่านมา ก้าวสำคัญในเส้นทางโค้ชของเขาได้มาถึง มันเป็นข้อเสนอที่ไม่สามารถปฏิเสธได้คือการย้ายไปคุม เชลซี แทนที่ของ โธมัส ทูเคิ่ล ก็ถือว่าเริ่มต้นทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมเลยทีเดียวกับการเข้ามาคุมทีมเกือบ 2 เดือน และเพิ่งแพ้เกมแรก ซึ่งเป็นการพ่ายให้กับทีมเก่าของเขาอย่าง ไบร์ทตัน แบบเละเทะ 4-1