ขวัญใจคนเดิม! ถึงเวลาธีราทรคืนถิ่นปราสาทสายฟ้า

นับเป็นหนึ่งข่าวใหญ่ที่เพิ่งเกิดขึ้นกับวงการฟุตบอลไทย เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา หลัง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ออกมายืนยันว่าพวกเขาปิดดีลคว้านักเตะเก่าอย่าง ธีราทร บุญมาทัน จาก โยโกฮาม่า เอฟ มารินอส กลับมาค้าแข้งยังถิ่น ช้าง อารีน่า ได้เรียบร้อยแล้ว และคาดการณ์กันว่าค่าตัวของแบ็คซ้ายรายดังกล่าวสูงถึง 100 ล้านเยน หรือประมาณ 30 ล้านบาท เลยทีเดียว

นี่ถือเป็นการกลับมาอยู่กับสโมสรเก่าครั้งแรก นับตั้งแต่แยกทางกับทีมแบบไม่สวยงามเท่าไหร่นักเมื่อปี 2016 หรือกว่า 5 ปีที่แล้ว แต่วันนี้ด้วยประสบการณ์และฝีเท้าที่ยอดเยี่ยมขึ้นกว่าเดิม “เจ้าอุ้ม” กำลังจะกลับมาช่วย “ปราสาทสายฟ้า” ไล่ล่าความสำเร็จอีกครั้ง

เพราะฉะนั้นวันนี้ UFAARENA จะขอพาไปดูกันว่า การกลับมาของ ธีราทร ครั้งนี้ จะส่งผลกับยอดทีมแดนอีสานใต้อย่างไรบ้าง เพื่อเป็นการตอนรับการกลับมาแบบยิ่งใหญ่ของ เจ้าชายปราสาทสาย” 

 

ตำแหน่งที่จะเล่นกับ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด

ไม่ต้องคิดอะไรมากสำหรับการกลับมาของ “เจ้าชายปราสาทสายฟ้า” เขาจะต้องลงเป็นตัวจริงตำแหน่งแบ็คซ้ายของ บุรีรัมน์ ยูไนเต็ด แน่นอน เหมือนกับที่เล่นมาตั้งแต่สมัยเป็นดาวรุ่ง ก่อนพัฒนาฝีเท้าจนก้าวขึ้นไปเป็นฟูลแบ็คระดับเอเชีย ได้สำเร็จ

เรื่องรูปแบบการเล่น อย่างที่เราเห็นกับทั้ง โยโกฮาม่า เอฟ มารินอส และทีมชาติยุค มาโน่ โพลกิ้ง แบ็คซ้ายดีกรีแชมป์ เจ ลีก ซีซั่น 2019 จะถูกบีบเข้ามาเล่นเป็นกองกลางชั่วคราว เมื่อทีมเป็นฝ่ายครองเกมรุก เพราะเขาถือเป็นนักเตะที่ออกบอลและวางบอลแม่นยำ ดังนั้นการเล่นตำแหน่งฟูลแบ็คแบบ Inverted back ของ ธีราทร บุญมาทัน เปรียบเสมือนการเพิ่มผู้เล่นตำแหน่งเกมรุกให้กับทีมอีกหนึ่งคน ซึ่งเขาทำหน้าที่นี้ยอดเยี่ยมมากกับ มารินอส

ส่วนอีกหนึ่งตำแหน่งที่มีความเป็นได้ หาก มาซาดะ อิชิอิ อยากลอง คือการจับ ธีราทร ยืนเป็นตำแหน่งกองกลาง ซึ่งเขาเคยเล่นมาแล้วสมัยอยู่กับ บุรีรัมย์ รอบแรก รวมถึงบางเกมกับทัพ “ช้างศึก” ยุค มิโลวาน ราเยวัช และถ้าเป็นไปตามนี้ตำแหน่งแบ็คซ้ายก็คงจะตกเป็นของ ศศลักษณ์ ไหประโคน ที่เพิ่งมีส่วนพา ชอนบุก ฮุนได มอเตอร์ คว้าแชมป์ เค ลีก ฤดูกาล 2021 ก่อนกลับมาอยู่กับ บุรีรัมย์ หลังหมดสัญญายืมตัวระยะเวลา 6 เดือน กับยอดทีมลีกเกาหลี เรียบร้อยแล้ว

 

ศศลักษณ์ ไหประโคน ลุ้นตัวจริงเหนื่อย

ต้องยอมรับว่าการกลับมาของ “โก๋อุ้ม” น่าจะทำให้แฟนบอล “เซาะกราว” มีความสุขไม่น้อย แต่สำหรับ ศศลักษณ์ ไหประโคน นี่อาจส่งผลกระทบเกี่ยวกับโอกาสลงสนามของเขาไม่น้อยเช่นกัน เนื่องจากเจ้าตัวคงต้องตกเป็นแค่เพียงสำรองของอดีตแบ็คซ้าย เจ ลีก แบบหลีกเลี่ยงไม่ได้

แม้จะเคยผ่านเวทีการเล่นระดับ เค ลีก เกาหลีใต้ มาแล้ว ทว่าสำหรับตำแหน่งแบ็คซ้ายเบอร์หนึ่ง บุรีรัมย์ ณ เวลานี้ คงต้องตกเป็นของ ธีราทร แบบไม่ต้องสงสัย ส่วนทางเลือกของ ศศลักษณ์ คงมีแค่เพียงการก้มหน้าก้มตาลุ้นเบียดแย่งตำแหน่งตัวจริงต่อไป หรือไม่ก็ย้ายออกจากทีมด้วยสัญญายืมตัว

อย่างไรก็ตามการมาของ ธีราทร ถือว่ามีข้อดีสำหรับ ศศลักษณ์ เช่นกัน เพราะนี่ถือเป็นโอกาสที่เขาจะได้เรียนรู้วิธีและสไตล์การเล่นจากรุนพี่อย่าง “เจ้าอุ้ม” และเมื่อหมดยุคของแนวรับดีกรีแชมป์ลีกแดนปลาดิบไปแล้ว เขาจะเป็นตัวแทนที่ยอดเยี่ยมแน่นอน

 

เติมเต็มประสิทธิภาพลูกครองริมเส้น

หนึ่งสิ่งสำคัญที่จะเพิ่มขึ้นมาแน่นอน เมื่ออดีตแนวรับ โยโกฮาม่า เอฟ มารินอส และ เมืองทอง ยูไนเต็ด กลับมาค้าแข้งกับ บุรีรัยมย์ ยูไนเต็ด นั่นคือการเติมเต็มประสิทธิภาพจังหวะการเล่นลูกครอสจากริมเส้น เนื่องจาก ธีราทร บุญมาทัน ถือเป็นนักเตะที่มีจุดเด่นในเรื่องของการเปิดบอล และมักทำแอสซิสต์ได้เป็นกอบเป็นกำในแต่ละฤดูกาล

เพราะฉะนั้นการกลับมาอยู่กับทัพ “ปราสาทสายฟ้า” เขาน่าจะช่วยยกระดับการเล่นลูกครอสบอลของทีมได้พอสมควร และเป็นการเพิ่มอีกหนึ่งอาวุธลับที่ขาดหายไปนานของยอดทีมแดนอีสานใต้

นอกจากนั้นด้วยสไตล์ศูนย์หน้า บุรีรัมย์ ที่ส่วนมากเป็นผู้เล่นรูปร่างสูงใหญ่ ทั้ง โจนาธาน โบลินกิ แข้งใหม่ดีกรีทีมชาติคองโก หรือแม้กระทั่ง ศุภชัย ใจเด็ด หากสามารถจูนกับ ธีราทร ได้ลงตัวเมื่อใด การเล่นจังหวะครอสจากริมเส้นด้านซ้ายของของลูกทีม มาซาทาดะ อิชิอิ คงน่ากลัวขึ้นไม่น้อยทีเดียว

 

ร่วมก๊วนแข้งทีมชาติ

อีกหนึ่งข้อดีของการกลับมาเล่นยังถิ่น ช้าง อารีน่า ของ “เจ้าชายปราสาทสายฟ้า” คือการที่เขาจะได้ร่วมงานกับบรรดานักเตะที่มีชื่อติดทีมชาติไทย ทั้งในรายของ พรรษา เหมวิบูลย์, สุภโชค สารชาติ, ศุภชัย ใจเด็ด รวมถึง ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา ซึ่งหากมองภาพรวมถือเป็นผลดีต่อทั้ง บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เและทัพ “ช้างศึก”

แน่นอนว่าผู้เล่นส่วนใหญ่ของ บุรีรัมย์ ที่ถูกเรียกตัว ล้วนเป็นแกนหลักของทีมชาติชุดปัจจุบันเกือบทั้งหมด รวมถึงนักเตะใหม่อย่าง ธีราทร ด้วย เพราะฉะนั้นพวกเขาคงไม่จำต้องปรับตัวอะไรมากมาย เมื่อต้องไปเล่นให้กับทีมชาติในอนาคต

กลับกันด้วยความที่เคยร่วมงานกันมาบ้างแล้วในทีมชาติ การกลับมาทีมเก่าครั้งแรกนับตั้งแต่ย้ายออกไปเมื่อปี 2016 หรือกว่า 5 ปีที่แล้ว อาจไม่จำเป็นต้องปรับตัวอะไรมากมายสำหรับ ธีราทร เพราะเขาคงคุ้นเคยกับสไตล์การเล่นของเพื่อนร่วมทีมหลายคนเป็นอย่างดีอยู่แล้ว  

 

มีลุ้นรับตำแหน่งกัปตันทีมคนใหม่

การกลับมาของ “โก๋อุ้ม” นอกจากจะเข้ามาช่วยเติมเต็มจุดอ่อนของ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่มีปัญหาในตำแหน่งแบ็คซ้ายมาอย่างยาวนานแล้ว เขายังพาความเป็นผู้นำเข้ามาสู่ทีมด้วย และคงไม่แปลกอะไรหากเจ้าตัวอีกอาจถูกรับเลือกให้เป็นกัปตันทีมคนใหม่ของสโมสร

ย้อนกลับไปสมัยที่อยู่กับทีมในอดีต เขาก็เคยได้รับหน้าที่สวมปลอกแขนกัปตันมาแล้ว เพราะฉะนั้นการกลับมาคราวนี้ ด้วยประสบการณ์การค้าแข้งบนลีกต่างแดนซึ่งนานกว่า 3 ปี รวมถึงอายุที่ทำให้เขามีวุฒิภาวะมากขึ้นกว่าเดิม ดังนั้นแล้วมันจึงเหมาะสมมากหากเขาจะถูกเสนอชื่อเป็นผู้นำคนใหม่ของทีม แม้จะเพิ่งย้ายกลับไปก็ตาม

 

กลับสู่อ้อมกอด พ่อเนวิน-แม่ต่าย

นับเป็นการแยกทางที่ไม่ดีเท่าไหร่นัก ในตอนที่ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ตัดสินใจปล่อย ธีราทร บุญมาทัน ไปอยู่กับ เมืองทอง ยูไนเต็ด เมื่อช่วงกลางปี 2016 พร้อมประเด็นและกระแสข่าวมากมายเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างแบ็คซ้ายทีมชาติไทย กับสโมสรเก่าของเขา

ทุกอย่างมันเริ่มชัดเจนขึ้น ในวันที่ “กิเลนผยอง” ต้องเจอกับ “ปราสาทสายฟ้า” และเป็นครั้งแรกที่ ธีราทร เผชิญหน้ากับทีมเก่าของตัวเอง ไฮไลท์สำคัญของแมตช์นั้นคือจังหวะที่ “โก๋อุ้ม” ออกอาการดีใจแบบเต็มเหนี่ยวต่อหน้าแฟนบอลทีมเก่า ซึ่งมันเกิดขึ้นอีกครั้งตอนที่เขาบุกมายิงประตู บุรีรัมย์ ถึงถิ่นเมื่อปี 2017 นอกจากนั้นยังเคยปรากฏภาพที่เขาเดินผ่านเจ้านายเก่าอย่าง เนวิน ชิดชอบ แบบไม่ทักทายกันมาแล้ว ซึ่งนั่นน่าจะเป็นสิ่งยืนยันถึงความสัมพันธ์อันย่ำแย่กับสโมสรเก่า ก่อนที่เขาจะตัดสินใจย้ายทีม

กระทั่งภาพที่ประทับใจที่สุดของแฟนบอล บุรีรัมย์ คือการได้เห็นนักเตะขวัญใจของพวกเขาสวมกอดกับประธานสโมสร พร้อมกับกล่าวคำขอโทษจากสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด หลังจบเกมที่ทีมชาติไทย ลงเล่นศึกฟุตบอลชิงถ้วยพระราชทาน คิงส์ คัพ ที่สนาม ช้าง อารน่า เมื่อปีก่อน จนมาถึงล่าสุด “ปราสาทสายฟ้า” คือทีมที่ตัดสินใจทุ่มเงินกว่า 30 ล้านบาท ดึงอดีตสุดยอดนักเตะขวัญใจของพวกเขากลับมาอยู่กับทีมเก่าอีกครั้ง ทีมที่ปลุกปั้นเขามาตั้งแต่สมัยยังเป็นแข้งดาวรุ่งโนเนม

สำคัญสุดคือการได้กลับมาอยู่กับเจ้านายเก่าซึ่งเปรียบเสมือนพ่อและแม่คนที่สองของ ธีราทร อย่าง เนวิน และ ซ้อต่าย เชื่อมั่นได้เลยว่าการกลับมาครั้งนี้ของแบ็คซ้ายระดับเอเชีย เขาจะตอบแทนไว้วางใจของทุกคนที่สโมสร บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ได้อย่างแน่นอน