ท่ามกลางชัยชนะอันสวยหรูของ ลิเวอร์พูล รวมถึงการทำสถิติแอสซิสต์สุดเทพของ เควิน เดอ บรอยน์ และความพ่ายแพ้คาบ้านของทั้ง แมนฯ ยูไนเต็ด และ สเปอร์ส
อาจจะเป็นประเด็นหลังเกมที่ถูกพูดถึงกันมากที่สุดสำหรับพรีเมียร์ลีก สัปดาห์ที่ 3
ทว่าอีกเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อยกว่า “Result” หรือผลการแข่งขัน ก็คือการทำผลงานอันยอดเยี่ยมของ 3 ดาวรุ่งอย่าง เมสัน เมาท์, แทมมี่ อบราฮัม และ แฮร์รี่ วิลสัน ที่ยิงประตูกันได้ทั้งหมด
พูดถึง 3 คนนี้อาจจะเป็น “แข้มโนเนม” สำหรับคอบอลลีกสูงสุดของอังกฤษ แต่ถ้าผู้นิยมชมชอบฟุตบอลลีกรองอย่าง แชมเปี้ยนชิพ คงได้คำตอบว่านี่แหละ “ดาว” ของลีกฉันนี้แหละ
เมสัน เมาท์ และ แฮร์รี่ วิลสัน คือกำลังสำคัญของ ดาร์บี้ เคาน์ตี้ ในปีก่อน ที่ช่วยพาทีมเข้าถึงรอบเพลย์ออฟ น่าเสียดายที่ไปแพ้ให้กับ แอสตัน วิลล่า ที่มี แทมมี่ อบราฮัม เป็นดาวซัลโวประจำทีม
การยกระดับจากลีกรอง ขึ้นสู่ลีกสูงสุด ไม่ใช่เรื่องง่าย มาตรฐานที่สู้ขึ้น ความยากที่มากขึ้น คือบททดสอบที่ทำให้นักเตะหลายคนเดินคอตกมาแล้วนักต่อนัก
แต่ที่ทำดีก็มีไม่น้อยเฉกเช่น 7 ดาวเตะที่จะถูกกล่าวถึงต่อจากนี้ ที่เป็นแข่งลีกรองที่พิสูจน์ตัวเองได้ตั้งแต่ปีแรกในการเล่นพรีเมียร์ลีก บอกเลยเอ่ยนามแต่ละคน แฟนบอลทั้งขาจรและขาประจำต้องคุ้นหูคุ้นตาเป็นอย่างดี
1.มุซซี่ อิซเซ็ต (1996-97)
สโมสร : เลสเตอร์
อดีตเด็กปั้นของ เชลซี ที่ล้มเหลวในการก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ กลายเป็นดีลที่คุ้มค่ามหาศาลภายใต้การทำทีมของ มาร์ติน โอนีลล์ จากสัญญายืมตัวที่ช่วยให้ทีมคว้าแชมป์เพลย์ออฟ พร้อมตั๋วขึ้นชั้นไปสู่พรีเมียร์ลีก
เลสเตอร์ ไม่รอช้ายอมจ่ายเงิน 800,000 ปอนด์ คว้าตัวมาร่วมทีมแบบถาวร และปีแรกในพรีเมียร์ลีก อิซเซ็ต ก็ไม่ทำให้แฟนบอลต้องผิดหวัง หลังลงเป็นตัวหลักของทีมถึง 34 นัดยิงได้ 3 ประตู พาทีมจบท็อปเทนได้ตามเป้าหมาย
อิซเซ็ต เป็นมิดฟิลด์สไตล์พลังล้นเหลือ วิ่งขึ้นวิ่งลงได้ทั้งเกม ผลงานที่โดดเด่นของเจ้าตัวกับ เลสเตอร์ ซิตี้ ที่มีถึง 2 แชมป์ลีกคัพ ดีพอทำให้เขามีชื่อติดทีมชาติตุรกี ไปเล่นฟุตบอลโลก 2002 รอบสุดท้ายแบบไม่เคอะเขินเลย
2.เควิน ฟิลลิปส์ (1999-2000)
สโมสร : ซันเดอร์แลนด์
แม้จะมีสถิติยิงประตูใน ดิวิชั่น 1 มากถึง 52 ประตูใน 2 ฤดูกาลที่ช่วยพา ซันเดอร์แลนด์ ขึ้นชั้นมาเล่นในลีกสูงสุด ทว่าเจ้าตัวก็หลีกเลี่ยงคำปรามาสไม่ได้ โดย ร็อดนี่ย์ มาร์ช กูรูของ สกายสปอร์ตส์ ฟันธงว่าจะยิงได้ไม่เกิน 5 ประตู
ทว่า ฟิลลิปส์ กลับใช้ผลงานในสนามสยบเสียงวิจารณ์ซะจนอยู่หมัด ปีแรกในพรีเมียร์ลีกของหัวหอกโนเนมกลับตะบันตาข่ายได้ถึง 30 ประตู นอกจากดาวซัลโวของลีก เจ้าตัวยังได้รางวัลรองเท้าทองคำของยุโรป อีกตั้งหาก
หลังจบฤดูกาล อาร์เซนอล และ แอสตัน วิลล่า อยากได้กองหน้าที่ก้าวไปติดทีมชาติอังกฤษ มาร่วมทีม ทว่า ฟิลลิปส์ ใจแข็งเลือกอยู่ต่อกับ ซันเดอร์แลนด์ ไปอีก 3 ปี ก่อนย้ายไป เซาแฮมป์ตัน หลังผลงานเริ่มดร็อปลงเรื่อยๆ
3.มาร์คัส สจ๊วร์ต (2000-2001)
สโมสร : อิปสวิช
เส้นทางของ มาร์คัส สจ๊วร์ต แทบจะถอดแบบมาจาก เควิน ฟิลลิปส์ อะไรประมาณนั้นเลย ถัดมาปีเดียวจากที่กองหน้าของ ซันเดอร์แลนด์ สร้างความมหัศจรรย์ไว้ ปีต่อมาก็เป็นคิวของหัวหอกจาก อิปสวิช ทาวน์ ที่ทำให้แฟนบอลต้องตะลึง
หัวหอกที่เกิดที่บริสตอล ย้ายมาอยู่กับทีม “ม้าขาว” ปีแรกก็พาทีมขึ้นชั้นสู่ลีกสูงสุด ขณะที่ครั้งแรกบนพรีเมียร์ลีก เจ้าตัวก็ตะบันไปเบาะๆ 19 ประตู เป็นรอง จิมมี่ ฟลอยด์ ฮัสเซลเบงค์ กองหน้าตัวเก่งของ เชลซี เพียงรายเดียวเท่านั้น
ซีซั่นนั้น อิปสวิช มาไกลคว้าถึงอันดับ 5 พร้อมซิวตั๋วไปเล่นยูฟ่า คัพ ชนิดต้องอึ้งทั้งลีก อย่างไรก็ตาม สจ๊วร์ต เหมือนเทวดาตกสวรรค์ เก่งแค่ปีเดียว เพราะซีซั่นต่อมาเจ้าตัวยิงแค่ 6 ประตูและทีม “ม้าขาว” ต้องตกชั้นไปเล่นในแชมเปี้ยนชิพอีกครั้ง
4.แอนดี้ จอห์นสัน (2004-05)
สโมสร : คริสตัล พาเลซ
ปี 2001 คาบเกี่ยวมายังปี 2002 คือฝันร้ายของชายที่ชื่อ แอนดี้ จอห์นสัน จากคนพลาดจุดโทษนัดชิงลีก คัพ กับ ลิเวอร์พูล พอทีมคว้าตัวขึ้นชั้นไปเล่นพรีเมียร์ลีก กลับถูกเขี่ยออกเป็นแค่ตัวแถมในดีลสลับขั้วกับ คลินตัน มอร์ริสัน
แต่ใครจะไปรู้ในความโชคร้ายกลายเป็นโชคดี การย้ายมาอยู่กับ คริสตัน พาเลซ คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เจ้าตัวกลายเป็นนักเตะที่มีชื่อเสียง ปีแรกยิง 27 ประตูพาทีมขึ้นชั้นแบบไม่ต้องพึ่งใบบุญใคร
แม้จะไม่สามารถช่วยให้ พาเลซ อยู่รอดปลอดภัยในพรีเมียร์ลีก แต่ปีแรกในลีกสูงสุดการที่เจ้าตัวยิงได้ถึง 21 ประตู (เป็นรองดาวซัลโว) ก็กลายเป็นใบเบิกทางชั้นดี ได้ย้ายไปอยู่ทีมใหญ่อย่าง เอฟเวอร์ตัน รวมถึงก้าวไปมีชื่อในทีมชาติอังกฤษ แม้ตลอด 8 นัดจะยิงเลยไม่ได้ก็ตาม
5.แอชลี่ย์ ยัง (2006-07)
สโมสร : วัตฟอร์ด
“แตนอาละวาด” ของกุนซือ แอนดี้ บูธรอยด์ เป็นอีกหนึ่งทีมจากแชมเปี้ยนชิพ ที่ไม่สามารถยืนหยัดอยู่บนลีกสูงสุดได้ และใช้เวลาเพียงปีเดียวต้องกลับไปเล่นในแชมเปี้ยนชิพ ด้วยคะแนนที่ห่างจากโซนปลอดภัยถึง 10 คะแนน
อย่างไรก็ตามแม้ต้นสังกัดจะมีผลงานที่ย่ำแย่ แต่แสงสว่างมักอยู่ที่ปลายอุโมงค์เสมอ แอชลี่ย์ ยัง คือเพชรเม็ดงานที่โดดเด่นอยู่ในโคลนตม ถึงขนาด แอสตัน วิลล่า ยอมทุ่มเงินสถิติสโมสรคว้าไปร่วมทีมในราคา 9.5 ล้านปอนด์
หลังจากนั้นคงไม่ต้องอธิบายมาก ปัจจุบันดาวเตะวัย 34 ปีอยู่ค้าแข้งกับทีมใหญ่อย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นฤดูกาลที่ 9 ติดต่อกัน ขณะที่นามทีมชาติอังกฤษ ก็ผ่านมาแล้วทั้ง ยูโร 2012 และฟุตบอลโลก 2018
6.ชาร์ลี อดัม (2010-11)
สโมสร : แบล็คพูล
ย้อนไปเมื่อปี 2010 น้องใหม่อย่าง แบล็คพูล แม้จะไม่สามารถอยู่รอดในลีกสูงสุดได้ แต่ลูกทีมของ เอียน ฮอลโลเวย์ ก็เป็นหนึ่งสีสันของลีกโดยเฉพาะนัดแรกที่ถล่ม วีแกน คาบ้าน 4-0
พูดถึงขุนพลในชุดนั้นชื่อของ ชาร์ลี อดัม ไม่ต่างอะไรกับซูเปอร์สตาร์ประจำทีม เล่นได้โดดเด่นเหนือใครๆ แม้โปรไฟล์จะเป็นปีแรกที่ได้เล่นในพรีเมียร์ลีก ก็ตาม
อดัม มีจุดเด่นอยู่ที่การยิงไกล ลูกนิ่งเหมาหมดทั้งจุดโทษและเตะมุม ฤดูกาลนั้นเจ้าตัวยิงไป 12 ประตูกับอีก 8 แอสซิสต์ แม้ แบล็คพูล จะตกชั้น แต่ฟอร์มที่เข้าตาก็ทำให้เจ้าตัวย้ายไปอยู่ทีมใหญ่อย่าง ลิเวอร์พูล
7.ริคกี้ แลมเบิร์ต (2012-13)
สโมสร : เซาธ์แฮมป์ตัน
เรื่องราวของ ริคกี้ แลมเบิร์ต คือเส้นทางของนักสู้อย่างแท้จริง เพราะกราฟการค้าแข้งส่วนใหญ่เจ้าตัววนเวียนอยู่ในลีกระดับล่าง ก่อนที่จะมาเจอจุดพลิกพันหลังย้ายมาร่วมทีม เซาธ์แฮมป์ตัน ในปี 2009
กับทีม “นักบุญ” แลมเบิร์ต ยิงกระจายถึง 88 ประตูในทุกรายการ พาทีมขึ้นชั้น 2 หนจาก ลีก วัน ก้าวขึ้นมาเล่นในพรีเมียร์ลีกครั้งแรกด้วยวัย 30 ปี
นิยามของ แลมเบิร์ต คงประมาณ “ขิง” ที่ยิ่งแก่ยิ่งจัดจ้าน ปีแรกในลีกสูงสุดเจ้าตัวยิงไป 15 ประตู ปีต่อมาซัดอีก 13 ประตูจนมีชื่อติดทีมชาติ และได้ย้ายไปอยู่กับ ลิเวอร์พูล ซึ่งเป็นทีมบ้านเกิดและเป็นทีมขวัญใจวัยเด็กแบบสาสมใจกันเลยทีเดียว