คนเดียวก็เฟี้ยวได้ :10 ประตูโซโล่เดี่ยวไม่เอี่ยวใคร

 

ลีลาการลากเลื้อยในวงการลูกหนังคือสิ่งหนึ่งที่แฟนบอลปรารถนาต้องการเห็นในเกมการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นทัวร์นาเม้นต์อะไรหรือมีชื่อเสียงแค่ไหนก็ตาม และมันจะสมบูรณ์แบบมากกว่านี้อีกหากการลากเลื้อยด้วยตัวคนด้วยสามารถทำประตูให้ต้นสังกัดได้ เช่นในนัดล่าสุดที่ เอเด็น อาซาร์ ลากเลื้อยผ่านแนวรับถึง 5 คนไปยิงประตูให้เชลซีได้เมื่อวันจันทร์ที่่ผ่านมา

 

แต่นั่นไม่ใช่ลูกแรกที่เกิดขึ้นในกีฬาฟุตบอล เพราะเหตุการณ์แบบนี้มันเกิดขึ้นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน แต่ว่าก็มีอยู่ไม่กี่ลูกที่แฟนบอลทั่วโลกจะจดจำได้อย่างขึ้นใจและคงไม่มีทางลืมหากตัวเองยังไม่หมดลมหายใจไปซะก่อน

 

และนี่คือ 10 ประตูโซโล่เดี่ยวในกีฬาฟุตบอลที่แฟนบอลส่วนใหญ่ต้องจำกันได้ไม่รู้ลืม

 

 

ดีเอโก้ มาราโดน่า พบ อังกฤษ ปี 1986

 

 

ในวันนั้นแฟนบอลรุ่นเก่าหลายคนคงจะจดจำ หัตถ์พระเจ้า ได้อย่างขึ้นใจ หลังดีเอโก้ มาราโดน่า แอบใช้วิชามารช่วยให้อาร์เจนติน่าทำประตูขึ้นนำทีมชาติอังกฤษไปก่อน 1-0 ในฟุตบอลโลก รอบ 8 ทีมสุดท้ายในปี 1986 ที่ประเทศเม็กซิโก แต่อีก 4 นาทีต่อมาเขาทำประตูที่ใครหลายคนขนานนามให้ว่า นี่คือประตูแห่งศตวรรษเลย

 

 

เสือเตี้ยรับบอลจาก เฮ็คตอร์ เอ็นริเก้ บริเวณกลางสนาม ก่อนจะลากเลื้อยเป็นระยะทางกว่า 60 หลา ผ่าน 4 แข้งสิงโตคำรามอย่างปีเตอร์ เบียร์ดสลีย์, ปีเตอร์ รีด, เทอร์รี่ บุชเชอร์ (2 ครั้ง) และ เทอรรี่ เฟนวิค จากนั้นก็หลุดเข้าไปโยกหลอก ปีเตอร์ ชิลตัน อีกจังหวะ และล้มตัวยิงไปแบบนิ่มๆ ซึ่งในปีนั้นคือปีที่เขาโชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตค้าแข้ง แถมยังพาทีมอาร์เจนติน่าคว้าแชมป์บอลโลกมาครองเป็นสมัยที่ 2 อีกด้วย

 

 

โรนัลโด้ พบ บาเลนเซีย ปี 1996-1997

 

 

เอล ฟีนอลมีนอล อาจจะย้ายมาค้าแข้งกับบาร์เซโลน่าแค่ฤดูกาลเดียวก็จริง แต่ฟอร์มในปีนั้นเรียกได้ว่าพีกมากๆ ทั้งๆที่ตัวเขาเองเพิ่งอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์แท้ๆ นั่นทำให้เขาก้าวขึ้นไปเป็นกองหน้าอันดับหนึ่งของโลกทันที โดยลงเล่นทั้งหมด 49 นัดในทุกรายการ และยิงไปถึง 47 ประตู

 

 

และนัดที่โรนัลโด้แสดงให้เห็นว่าเขาเก่งกาจมากที่สุดแค่ไหน คงหนีไม่พ้นเกมที่บาร์ซ่าเฉือนเอาชนะบาเลนเซียไป 3-2 ซึ่งเขาทำแฮตทริกได้ในนัดนั้นด้วย ซึ่งลูกที่สามได้โชว์ให้เห็นว่าหากฟอร์มของเขาเข้าฝักแล้วก็ยากที่กองหลังคนไหนจะหยุดเขาได้ หลังลากบอลจากกลางสนามและแหวกแนวรับค้างคาวไปดื้อๆถึง 4 คน ก่อนแปสวนตัวนายทวารเข้าไปที่เสาสองอย่างสวยงาม

 

 

ไมเคิล โอเว่น พบ อาร์เจนติน่า ปี 1998

 

 

แฟนบอลอังกฤษอาจจะรู้ว่าไมเคิล โอเว่น คือแข้งดาวรุ่งของลิเวอร์พูลที่มีฝีเท้าเก่งกาจเกินวัย แต่ในฟุตบอลโลกปี 1998 ที่ฝรั่งเศสคือ ทัวร์นาเม้นต์ที่ทำให้เขาแจ้งเกิดในระดับโลกอย่างแท้จริง เมื่อเขาสร้างผลกระทบต่อมากๆยามลงเล่นให้ทัพสิงโตคำรามจน เกล็น ฮ็อดเดิ้ล ตัดสินใจมอบตำแหน่งตัวจริงให้กองหน้าวัยละอ่อนตั้งแต่นัดสุดท้ายในรอบแรก

 

 

หลังจากผ่านเข้าสู่รอบน็อคเอ้าท์ เบบี้โกลในวัย 18 ปีต้องเจอกับทีมระดับท็อปของโลกอย่าง อาร์เจนติน่า แต่นั่นก็ไม่ทำให้เขาหวาดหวั่นแต่อย่างใด เพราะเขาคือคนที่เรียกจุดโทษเป็นประตูตีเสมอให้ทีมชาติอังกฤษ และทำประตูขึ้นนำในนาทีที่ 16 หลังรับบอลจากเดวิด เบ็คแฮม และเบียดเอาชนะ โจเซ่ ชาม็อต ได้ ก่อนจะแตะบอลหลบ โรแบร์โต้ อยาล่า และซัดด้วยขวาเต็มข้อเข้าไป แม้สุดท้ายแล้วอังกฤษจะต้องตกรอบจากการดวลจุดโทษชี้ขาด แต่หลังจากโอเว่นก็กลายเป็นวีรบุรุษของแฟนบอลอังกฤษในช่วงข้ามคืน

 

 

ไรอัน กิ๊กส์ พบ อาร์เซน่อล ปี 1998-1999

 

 

ปีศาจแดงทำได้แค่เสมอกับอาร์เซน่อลในรอบตัดเชือกของศึกเอฟเอ คัพ ฤดูกาล 1998-1999 ทำให้พวกเขาต้องมาแข่งเพื่อหาผู้ชนะอีกครั้งในเกมถัดมา ซึ่งอาร์เซน่อลมีโอกาสเข้ารอบชิงฯหลังได้จุดโทษในนาทีสุดท้ายของการแข่งขัน แต่ลูกยิงของเดนนิส เบิร์กแคมป์ถูกปีเตอร์ ชไมเคิ่ล เซฟเอาไว้ได้ ทำให้การแข่งขันยึดเยื้อต่อไปอีก 30 นาที และเหตุการณ์ต่อจากนั้นนั้นคือช่วงที่คอบอลอังกฤษจะจดจำไปตลอดกาล

 

 

ในช่วงต่อเวลาพิเศษครึ่งหลัง ไรอัน กิ๊กส์ ตัดบอลจาก ปาทริซ วิเอร่า ได้บริเวณกลางสนาม ก่อนจะโชว์ลีลาลากเลื้อยสุดพริ้วฝ่าแข้งกันเนอร์ส์ไปอย่างง่ายดาย และซัดด้วยซ้ายเต็มข้อแสกหน้า ดาวิด ซีแมน เข้าไป ส่งผลให้ปีศาจแดงได้เข้าชิงในบอลถ้วยรายการนี้ และสร้างประวัติศาสตร์คว้าทริปเปิลแชมป์มาครองได้เป็นทีมแรกในอังกฤษด้วย

 

 

รุด ฟาน นิสเตลรอย พบ ฟูแล่ม ปี 2002-2003

 

 

ฟาน นิสเตลรอยคือกองหน้าที่ขึ้นเรื่องการจบสกอร์ที่เฉียบคมในกรอบเขตโทษมากที่สุดคนหนึ่งในวงการลูกหนังยุคมิลเลนเนี่ยม มีทักษะที่กองหน้าควรจะมี ไม่ว่าจะเป็นเซนส์บอล, การเคลื่อนที่หรือยืนตำแหน่ง และถึงแม้เขาจะมีสูงถึง 188 เซนติเมตร แต่ก็มีทักษะการลากเลื้อยและความเร็วในการพาบอลที่เหนือกว่ากองหน้าร่างโย่งปกติทั่วไป

 

 

เกมที่พบฟูแล่มในฤดูกาล 2002-2003 นั้นบ่งบอกได้ชัดเจนถึงเรื่องนั้น เมื่อพี่ม้าของแฟนผีได้บอลตรงจุดเขี่ยลูก ก่อนจะวิ่งหน้าตั้งลากบอลผ่านนักเตะเจ้าสัวไปแบบหน้าตาเฉยถึง 4 คน และยิงผ่านเสาสองเข้าไปแบบนิ่มๆ ซึ่งหลายคนยกให้ลูกนี้คือการทำประตูที่ดีที่สุดของ ฟาน นิสเตลรอย ในสีเสื้อแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เลย

 

 

ฟรานเชสโก้ ต็อตติ พบ อินเตอร์ มิลาน ปี 2005-2006

 

 

เจ้าชายหมาป่า ฟรานเชสโก้ ต็อตติ แม้จะคว้าแชมป์ระดับเมเจอร์ร่วมกับโรม่าไม่มากเท่าไหร่ แต่หลายคนก็ยกย่องให้เขาเป็นนักเตะระดับโลกอย่างไม่มีข้อกังขา ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ต็อตติอยู่ในถิ่น สดาดิโอ้ โอลิมปิคโก้ ถึง 28 ปีนับตั้งแต่ชุดเยาวชน ก็แสดงให้เห็นแล้วว่ายอดเยี่ยมเพียงใด

 

 

และหนึ่งประตูในความทรงจำของต็อตติที่แฟนจัลโลรอสซี่จดจำได้ดีคือ ลูกยิงในนัดที่โรม่าเปิดบ้านเอาชนะ อินเตอร์ มิลานไปได้ 3-2 เมื่อแข้งหมาป่าตัดบอลและจ่ายมาที่ต็อตติ ก่อนค่อยๆพาบอลขึ้นมาในแดนของทีมงูใหญ่ และโชว์ความเหนือชั้นด้วยการชิพข้ามหัว ฟรานเชสโก้ ตอลโด้ ตั้งแต่ก่อนหัวถึงกระโหลก ซึ่งประตูนี้ถือเป็น 1 ใน 3 ประตูที่เขาชื่นชอบมากที่สุดในอาชีพค้าแข้งด้วย

 

 

โรนัลดินโญ่ พบ เรอัล มาดริด ปี 2005-2006

 

 

ในฤดูกาล 2005-2006 คือปีที่โรนัลดินโญ่อยู่ในฟอร์มที่ดีที่สุดชีวิตค้าแข้ง ไม่ว่าจะพาบาร์เซโลน่าคว้าแชมป์ลาลีก้าควบกับแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก และรางวัลส่วนตัวอีกมากมายในปีเดียวกัน หนึ่งในนั้นคือ คือรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมในทวีปยุโรปอย่าง บัลลง ดอร์ ด้วย และลีลาการเล่นของเขาถึงกับทำให้แฟนบอลทีมคู่แค้นตลอดกาลอย่าง เรอัล มาดริดต้องก้มหัวให้มาแล้ว

 

https://www.youtube.com/watch?v=4GuaEXdqrp8&t=219s

 

เหตุการณ์ในครั้งนั้นเกิดขึ้นในวันที่ 19 พฤศจิกายน ปี 2005 โรนัลดินโญ่ได้เล่นงานแนวรับของราชันชุดขาวเละไม่เป็นท่า โดยเฉพาะประตูที่ 2 ในเกมนั้น ทันทีที่ดาวเตะชาวแซมบ้าไปบอลในฝั่งซ้ายซึ่งอยู่ห่างจากจุดเขี่ยลูกพอสมควร โดยเลี้ยงจี้และแตะหลบเซร์คิโอ้ รามอสไป ก่อนจะโยกหลอก อิบัน เอลกูร่า อีกจังหวะและซัดด้วยขวาเข้าไปตุงตาข่าย จนสาวกมาดริดนิสต้าทั่วสนามเบอร์นาเบวถึงกับพร้อมใจกันยืนขึ้นและปรบมือให้กับความยอดเยี่ยมของแข้งหน้าเปื้อนยิ้มคนนี้

 

 

ลิโอเนล เมสซี่ พบ เกตาเฟ่ ปี 2006-2007

 

 

คงไม่ต้องบรรยายสรรพคุณของดาวเตะร่างเล็กจากบาร์เซโลน่าให้มากความ เพราะแฟนบอลทั่วโลกต่างเชยชมฝีเท้าสุดมหัศจรรย์ของลิโอเนล เมสซี่ มาร่วม 10 กว่าปีแล้ว และในตอนนี้ตัวเขาเองก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดความเก่งกาจไว้แต่เพียงเท่านี้ แม้อายุอานามจะเข้าเลขสามแล้วก็ตาม

 

 

ในเดือนที่ผ่านมาแฟนบอลบาร์ซ่าได้เห็นพ้องต้องกันว่าประตูที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสรคือ ลูกยิงของเมสซี่ในปี 2007 ที่ลากเลื้อยตั้งแต่ครึ่งสนามหลบคู่แข่งไปถึง 5 คนด้วยตัวคนเดียว ก่อนจะแตะหนีนายทวารหนึ่งจังหวะและยิงมุมแคบเข้าไป นอกจากนี้ประตูนั้นของเมสซี่ยังมีความคล้ายคลึงกับประตูของดีเอโก้ มาราโดน่า ในฟุตบอลโลกปี 1986 พอสมควรเลย

 

 

แกเร็ธ เบล พบ บาร์เซโลน่า ปี 2013- 2014

 

 

ช่วงนี้ชีวิตค้าแข้งของเบลดดูไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่นัก ไม่ว่าจะปัญหาฟอร์มตกในสนาม หรือปัญหาปรับตัวให้เขากับชีวิตที่มาดริดไม่ได้ทั้งๆที่ค้าแข้งในสเปนมานานเกือบ 6 ปี จนมีข่าวว่าเขาเตรียมตัวย้ายออกจากซานติอาโก้ เบอร์นาเบว ในซัมเมอร์หน้า อย่างไรก็ตาม หากนึกย้อนไป ช่วงเวลาดีๆของเขากับยอดทีมจากลาลีก้าก็ยังมีอยู่

 

 

ในปีแรกที่มาดริด ปีกชาวเวลส์สามารถปรับตัวเข้ากับสไตล์การเล่นในลีกใหม่ได้อย่างรวดเร็วและช่วยยกระดับของโลส บลังโกสให้แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม โดยแชมป์แรกของเขาในสเปนคือถ้วยโคปา เดล เรย์ ซึ่งเขาเป็นคนยิงประตูชัยในเกมนั้นด้วย หลังแตะบอลยาวและวิ่งแซง มาร์ก บาตร้า กองหลังบาร์เซโลน่า ทั้งที่ตัวเขาเองวิ่งออกนอกสนามด้วยซ้ำ ก่อนจะกระชากบอลเข้าไปในกรอบเขตโทษและยิงลอดขา มานูเอล ปินโต้เข้าไป

 

 

เอเด็น อาซาร์ พบ อาร์เซน่อล ปี 2016-2017

 

 

ลีลาการการลากเลื้อยและทำประตูของเอเด็น อาซาร์ในนัดล่าสุดที่เอาชนะเวสต์แฮมไป 2-0 น่าจะยังติดตาแฟนบอลทั่วโลกอยู่ในตอนนี้ แต่ทว่านั่นไม่ใช่ครั้งแรกที่ดาวเตะเชลซีทำแบบนั้นได้ เพราะเขาทำมันมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว ไม่ว่าจะสมัยที่ค้าแข้งอยู่ในฝรั่งเศสหรือในอังกฤษก็ตาม

 

https://www.youtube.com/watch?v=Sy-RCcPWq3o

 

ช็อตนี้ในเกมล่าสุดน่าจะทำให้แฟนอาร์เซน่อลนึกถึงเหตุการณ์ในฤดูกาล 2016-2017 เมื่อทีมของเขาเสียบอลตรงกลางสนามให้กับเชลซี ก่อนที่อาซาร์จะเป็นฝ่ายได้บอลและลากเลื้อยฝ่าแนวรับปืนใหญ่ไปอย่างหน้าตาเฉย แม้จะโดนรุมกินโต๊ะอยู่ในกรอบเขตโทษถึง 3 คน แต่ก็ดาวเตะชาวเบลเยี่ยมก็ยังหาจังหวะยิงประตูผ่าน ปีเตอร์ เช็ก เข้าไปได้อย่างสวยงาม