ครบทุกบท! เบนเซม่า จากพระรอง ตัวร้าย สู่พระเอก

คาริม เบนเซม่า ชื่อนี้เป็นที่รู้จักกันมาอย่างยาวนานในฐานะกองหน้า เรอัล มาดริด หนึ่งในสามประสาน BBC หรือจะเป็นนักเตะผู้มีส่วนในคดีฉาวของเพื่อนร่วมชาติ แต่แม้ว่าจะถูกจดจำแบบไหน เจ้าตัวก็แทบไม่ค่อยได้รับเครดิตในความสำเร็จของสโมสร ไม่ได้ถูกพูดถึง หรือเฉียดไปใกล้กับรางวัล บัลลงดอร์ เลยสักนิด

นอกจากนี้ในช่วงเดือนกันยายน 2019 เจ้าตัวยังถูกจัดให้เป็นกองหน้าที่ถูกประเมินฝีเท้าต่ำเกินจริงจากสื่อดังแดนกระทิงอย่าง มาร์ก้า อีกด้วย วันนี้ UFAARENA จะพาไปรู้จักกับบทบาทของ เบนเซม่า กว่าจะได้ขึ้นมาเป็นตัวหลักกลางแสงสปอร์ตไลท์ เขาผ่านอะไรมาบ้าง จากบทพระรอง ตัวร้าย สู่พระเอก

เริ่มเป็นพระรองตั้งแต่แรก

หลังจากที่ เบนเซม่า ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมกับ โอลิมปิค ลียง เขาก็ได้สร้างชื่อให้กับตัวเองจนมีทีมมาให้ความสนใจ ก่อนที่จะได้ไปลงเอยกับ เรอัล มาดริด ที่ยื่นข้อเสนอมาแต่นั่นก็เป็นภายหลังจากที่พวกเขาไปได้ตัว คริสเตียโน่ โรนัลโด้ มาจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

แน่นอนว่าสปอร์ตไลท์ย่อมส่องไปหาแนวรุกชาวโปรตุเกสมากกว่าอยู่แล้วเพราะถือว่าเป็นบิ๊กดีลที่สะเทือนตลาดนักเตะซัมเมอร์นั้น นอกจากจะไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควรแล้ว ยังมีสถานะเป็นตัวสำรองอีกด้วย ซึ่งปัจจัยที่เขาต้องตกเป็นสำรองไม่ได้มาจากในตำแหน่งหน้าเป้านั้นมีทั้ง ราอูล กอนซาเลซ และ กอนซาโล่ อิกวาอิน ที่อยู่มาก่อนและนับว่าเป็นคู่แข่งในตำแหน่งนี้ ทำให้หน้าใหม่อย่างเขาต้องตกเป็นตัวเลือกรอง

แต่ในซีซั่นถัดมา เบนเซม่า ก็ได้รับโอกาสมากขึ้น หลังจากที่หัวหอกตัวเก๋าอย่าง ราอูล และ รุด ฟาน นิวเตอรอย ย้ายออกจากทีมไปคู่แข่งในแดนหน้าก็เหลือแค่ กอนซาโล่ อิกวาอิน รายเดียวเท่านั้น แถมดาวยิงชาวอาร์เจนไตน์ยังมีอาการบาดเจ็บรบกวนด้วย ยิ่งทำให้มีโอกาสมากขึ้นจากการได้โอกาสลงไป 48 นัด ยิง 26 ประตูรวมทุกรายการ

เจอข่าวฉาวจนเป็นตัวร้าย

หลังจากเริ่มได้โอกาสอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ด้วยจุดเด่นด้านความสม่ำเสมอ ความครบเครื่องที่ทำได้ทั้งยิงทั้งจ่าย ด้วยตัวเลขการทำประตูและแอสซิสต์ ที่เกินสองหลักทุกซีซั่น แต่ก็มันก็ยังไม่เพียงพอให้ถูกพูดถึง หรือให้เครดิตมากเท่ากับ CR7 ที่คงสถานะเป็นดาวเด่นและตัวชูโรงของทัพราชันชุดขาว

จนกระทั่งแกเร็ธ เบล ย้ายมาสู่ทีมในปี 2013 พวกเขาทั้งสามก็ร่วมกันกวาดความสำเร็จและเป็นที่พูดถึงในฐานะสามประสาน BBC นี้เองที่หัวหอกเลือดน้ำหอมเริ่มก้าวเข้ามาสู่กลางแสงไฟบ้างแล้ว พร้อมกับเดินหน้ากวาดความสำเร็จร่วมกันมากมาย

แต่ในช่วงที่กราฟชีวิตของเขากำลังพุ่งขึ้น และกำลังถูกตั้งให้เป็นความหวังใหม่แห่งวงการฟุตบอลแดนน้ำหอมเพื่อไปลุยศึกฟุตบอลโลก 2018 แต่ในปี 2015ดันเกิดเรื่องกับตัวเขาซะก่อน เมื่อหัวหอกจากเราชันชุดขาว ดันไปมีส่วนผัวพันกับคดีเซ็กส์เทปเพื่อนร่วมทีมชาติอย่าง มาติเยอ วัลบูเอน่า จนถูกตราหน้าว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการแบล็คเมลล์ครั้งนี้

แม้ว่าเบนเซม่าจะยืนกรานเสียงแข็งว่าไม่ได้มีส่วนรู้เห็นใดๆ แต่ทัพตราไก่ก็จัดการตัดชื่อเขาออกจากทีมชุดลุยฟุตบอลโลก 2018 รวมถึงไม่เรียกติดทีมชาติอีกเลยนับตั้งแต่นั้น ทั้งที่ยังไม่ได้มีการตัดสินออกมาอย่างชัดเจนว่าเขามีความเกี่ยวข้องหรือไม่ คดีดังกล่าวเปลี่ยนจากแข้งตัวความหวังกลายเป็นตัวร้ายของวงการฟุตบอลฝรั่งเศสไปในทันที ยังดีที่ในระดับสโมสรเบนซ์ยังได้การสนับสนุนจากทั้งแฟนบอล และโค้ชอย่างเต็มที่

ได้บทพระเอกเต็มตัว

ในช่วงซัมเมอร์ 2018 ราชันชุดขาวมีความเปลี่ยนแปลงมากมายทั้งการเปลี่ยนกุนซือจาก ซีเนดีน ซีดาน ที่อำลาทีมไปมาเป็น ฆูเลน โลเปเตกี และการปล่อย คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ออกไปจากทีม ทำให้ความหวังในแดนหน้าของพวกเขาเหลือแค่ คาริม เบนเซม่า ที่พอฝากผีฝากไข้ได้ เนื่องจาก แกเร็ธ เบล เองก็มีอาการบาดเจ็บรบกวน

แม้ผลงานโดยรวมจะไม่ค่อยเข้าตานัก ทั้งการเริ่มต้นซีซั่นที่ย่ำแย่ จนต้องเปลี่ยนผู้จัดการทีม 2 คนติด ก่อนที่นายเก่าอย่าง ซีดาน จะกลับมาคุมทีมอีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของฤดูกาล แต่มันก็สายเกินที่จะทำให้ทีมมีถ้วยแชมป์ติดมือ แต่เมื่อมองไปที่ผลงานส่วนตัว ดาวยิงชาวฝรั่งเศสก็สามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม กดไปถึง 30 ประตู จาก 53 นัดรวมทุกรายการ 

จากที่คนมองกันว่าผลงานของ เรอัล มาดริด และ เบนเซม่า จะดร็อปลงเนื่องจากการย้ายออกไปของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ แต่พวกเขาก็ใช้เวลาแค่ ปีเดียวในการกลับมาทวงความยิ่งใหญ่บนเวทีลาลีกา พร้อมกับที่หัวหอกเลือดน้ำหอมได้ก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักสำคัญของทีม 

ความยอดเยี่ยมของดาวยิงวัย 34 ปีคือการที่ยังรักษาผลงานได้อย่างสม่ำเสมอ รวมถึงทักษะทั้งยิงทั้งจ่ายก็ยังคงรักษามาตรฐานของตัวเองได้ แถมยังทำได้ดีขึ้นอีกด้วยเมื่อกลายมาเป็นหัวใจสำคัญในเกมรุก ไม่ว่าจะมีนักเตะที่ย้ายมาจะสดกว่า และหนุ่มกว่าก็ตาม แต่ไม่มีใครสามารถมาเบียดแย่งตำแหน่งไปได้ นอกจากนี้ชาติบ้านเกิดที่เคยหมางเมินเขาไปนานถึง 6 ปีก็เรียกเขาไปติดทีมชาติอีกครั้งเพื่อลุยศึกยูโร 2020 แม้จะไม่สามารถพาทีมไปถึงแชมป์ได้แต่ก็เป็นการเริ่มต้นใหม่ที่ดีจากการกดไป 4 ประตู จากการลงสนาม 4 นัด 

ปัจจุบันสถิติที่เขาสร้างมาได้รับความสนใจ และถูกพูดถึงแล้ว ไม้ว่าจะการที่เป็นนักเตะฝรั่งเศสที่ยิงได้ถึง 403 ประตูในอาชีพ เป็นรองแค่ เธียร์รี่ อองรี ที่ยิงไป 411 ประตู แถมยังมีลุ้นทำลายสถิตินี้ลงได้ด้วย ในขณะที่กับราชันชุดขาวก็เพิ่งเป็นนักเตะคนที่ 4 ที่กดประตูได้เกิน 300 ประตูต่อจาก คริสเตียโน โรนัลโด้ , ราอูล กอนซาเลซ และอัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน เมื่อพระเอกคนเก่าหายไป ก็ถึงเวลาที่หัวหอก F1 จะได้ก้าวมาเป็นพระเอกของราชันชุดขาวเต็มตัวเสียที

เบนเซม่าแข้งคนที่ 4 ชุดขาวซัดทะลุ 300 ประตู