งูใหญ่ ปะทะ ม้าลาย : ทำไม ‘ดาร์บี้ ดิตาเลีย’ ถึงกลับมาน่าสนใจอีกครั้ง?

 

ศึกลูกหนังในอิตาลีไม่มีการแข่งขันที่เข้มข้นเหมือนลีกประเทศอื่นๆมานานหลายปีดีดักแล้ว แต่ว่าในวันอาทิตย์นี้ อินเตอร์ มิลาน โฉมใหม่ เตรียมเปิดศึกพบกับ ยูเวนตุส และมีโอกาสไม่น้อยที่จะทำแต้มหนีห่างแชมป์เก่ามากกว่าเดิม

 

เราอาจจะเห็นกัลโช่ เซเรียอา เปิดฤดูกาลใหม่มาได้เพียง 6 นัดเท่านั้น แต่ในวันอาทิตย์นี้ การแข่งขันระหว่าง อินเตอร์ มิลาน และ ยูเวนตุส จะกลับมาดุเดือดและเข้มข้นอีกครั้ง หลังจากที่ห่างหายจากความสนใจของแฟนบอลน้อยใหญ่ไปพอสมควร

 

ว่าแต่ ศึกดาร์บี้ ดิตาเลีย ถึงกลับมาน่าติดตามขึ้นอีกครั้ง ทาง UFA ARENA จะพาทุกท่านไปหาคำตอบผ่านบทความชินนี้กันครับ

 

 

ความเป็นมาของความเกลียดชัง

 

 

‘ดาร์บี้ ดิตาเลีย’ เป็นชื่อที่ถูกตั้งโดย จิอันนี่ เบรล่า นักข่าวชาวอิตาลีในยุค 1960 ซึ่งเป็นการแข่งขันที่มากกว่าแค่การพบกันของ 2 ทีมในเซเรียอาที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด หากแต่มีเรื่องของการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องกับ 2 สโมสรที่ตั้งอยู่เมืองสำคัญทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศด้วย

 

โดยความเกลียดชังได้เริ่มเกิดขึ้นเป็นครั้งเป็นครั้งแรกในฤดูกาล 1960-61 กับเกมในเดลเล่ อัลปิ (สนามเหย้ารังเก่าของยูเว่) ซึ่งวันนั้นแฟนบอลเข้ามาชมเกมเกินความจุของสนาม และได้มีการอนุญาตให้แฟนบอลลงมาชมเกมได้ถึงขอบสนาม

 

  แต่การแข่งกันไม่จบใน 90 นาที เพราะมีเหตุไม่สามารถควบคุมแฟนบอลทั้ง 2 ทีมที่ทะลักล้นเข้ามาในสนามได้ ผู้ตัดสินจึงสั่งยกเลิกแมตช์นี้ให้ไปแข่งรีเพลย์ใหม่ แต่ทางฝั่งเนรัซซูรี่ไม่เห็นด้วย พวกเขามองว่ายูเว่ควรถูกปรับแพ้ ทาง อันเจโล่ โมรัตติ พ่อของ มัสซิโม โมรัตติ ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานของงูใหญ่ในเวลานั้นจึงทำการประท้วงด้วยการส่งนักเตะเยาวชนลงในเกมรีเพลย์ ผลคือพ่ายให้ยูเว่ไปถึง 1-9 

 

หลังจากนั้นความเกลียดชังค่อยๆก่อตัวขึ้นมาเรื่อยๆจนกระทั่งในเดือนเมษายนปี 1998 เชื้อไฟความแค้นได้ระเบิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อ ปิเอโร่ เชคคารินี่ ผู้ตัดสินได้ปฏิเสธให้จุดโทษแก่อินเตอร์ ก่อนจะมอบให้กับ ยูเวนตุส ที่เป็นเจ้าบ้านในเวลาต่อมา ซึ่งนำไปสู่การทะเลาะวิวาทกันในรัฐสภาจนรัฐบาลในอิตาลีต้องส่งระงับเรื่องราวเหล่านี้

 

 

ต่อมา ความแค้นช่วงที่ 3 ก็เกิดขึ้นกับคดี กัลโช่โปลี ในปี 2006 ซึ่งส่งผลให้ ยูเวนตุสถูกริบแชมป์สคูเด็ดโต้ ในปี 2004 กับ 2005 และถูกปรับตกชั้นไปเล่นในเซเรีย บี เนื่องจากมีความผิดร้ายแรงฐานล็อกผลการแข่งขัน และทางฝั่งเบี่ยงโคเนรี่ต้องเจ็บปวด เพราะนอกจากต้องหล่นจากลีกสูงสุดเป็นครั้งแรก แถมยังเสีย ซลาตัน อิบราฮิโมวิช และ พาทริค วิเอร่า 2 แข้งตัวเก่งไปให้กับคู่แค้นตลอดกาลอีก

 

แม้ทีมจากตูรินจะกลับมาขึ้นในเซเรียอาได้ในเวลาแค่ปีเดียว และเป็นหนึ่งทีมที่ประสบสำเร็จมากที่สุดในประเทศเคียงข้างกับ อินเตอร์ มิลาน แต่ความสำคัญและอัตราความเข้มขันของ 2 ทีมยามพบกันในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ยังห่างไกลกับช่วงยุคปลายปี 90 ถึง ยุค 2000 ต้นๆ อยู่หลายช่วงตัวเลย

 

หนึ่งในสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นมาจาก ทีมงูใหญ่ค่อยๆห่างไกลจากความสำเร็จในแดนมักกะโรนีลงเรื่อยๆ สวนทางกับ ม้าลายที่คว้าแชมป์ลีกได้ตั้งแต่ฤดูกาล 2011-12 เป็นต้นมา โดยอินเตอร์ย่ำแย่ถึงขั้นไม่ติดท็อปโฟร์ในบางปีด้วยซ้ำ

 

 

งูใหญ่ลอกคราบ

 

 

แต่แล้วเมื่อ 2-3 ฤดูกาลก่อน อินเตอร์ ก็เริ่มกลับมาลืมตาอ้าปากได้อีกครั้ง หลังได้กลุ่ม ซูหนิง โฮลดิ้ง กรุ๊ป กลุ่มนายทุนจากประเทศจีนเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดในปี 2016 ซึ่งทำให้ทีมจากมิลานกลับมาเล่นในแชมเปี้ยนส์ลีกได้อีกครั้งใน 2 ฤดูกาลล่าสุด หลังจากหายหน้าไปกว่า 6 ปีในรายการนี้ และซัมเมอร์ล่าสุด สตีเฟ่น จาง ประธานสโมสรคนใหม่ไฟแรงได้ประกาศดึงตัวอดีตกุนซือของ ยูเว่ อย่าง  อันโตนิโอ คอนเต้ ผู้จัดการทีมมากฝีมือเข้าคุมทีมด้วยสัญญา 3 ปี

 

นอกจากจะพาทีมคู่อิรคว้าแชมป์เซเรียอาได้ 3 สมัย แล้ว คอนเต้ยังประสบความสำเร็จในต่างแดนกับ เชลซี ด้วยการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในปี 2017 และ แชมป์เอฟเอ คัพ ปี 2018

 

รูปแบบการเล่นและนักเตะในทีมงูใหญ่ต่างได้รับการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาให้ดีขึ้นเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแท็คติกที่แข็งแกร่ง กับนักเตะหน้าใหม่อย่าง โรเมลู ลูกากู, อเล็กซิส ซานเชซ และ ดีเอโก้ โกดิน เข้ามาช่วยให้พวกเขากลับไปเป็นเบอร์หนึ่งของประเทศอีกครั้ง

 

การเปลี่ยนแปลงก็เห็นผลชัดเจนและมีทิศทางที่ดีขึ้น เมื่อทีมของคอนเต้คว้าชัยชนะได้ 6 เกมแรกในเซเรียอา ซึ่ง 2 ใน 6 เกมเหล่านั้นต่างเผชิญหน้ากับคู่แข่งคนสำคัญในลีก ทั้ง เอซี มิลาน อริร่วมเมือง หรือ  ลาซิโอ ช่วยให้เขารั้งจ่าฝูงได้ ทิ้งห่างทีมอันดับ 2 อยู่ 2 คะแนน และทีมนั้นก็ไม่ใช่คนอื่นไกลที่ไหน เพราะนั่นก็คือ ยูเวนตุส นั่นเอง

 

และการที่ ยูเว่ ต้องบุกไปเยือนถิ่น ซาน ซีโร่ (หรือจูเซ็ปเป้ เมียซซ่า) ในช่วงเย็นวันอาทิตย์นี้ ถือเป็นงานที่ท้าทายสำหรับ คอนเต้ ในการเบียดลุ้นแชมป์ฤดูกาลนี้เป็นอย่างมาก ด้วยเกมการเมือง, ประวัติศาสตร์ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ต่างทำให้สายตาของแฟนบอลทั่วโลกจับจ้องมาที่การแข่งขันในครั้งนี้

 

 

เรื่องราวส่วนบุคคล

 

 

ส่วนเรื่องส่วนตัวก็เป็นสิ่งที่มองข้ามไม่ได้เช่นกัน เพราะคอนเต้จะต้องเผชิญหน้ากับทีมที่เขาเคยลงเล่นให้เกือบ 300 นัดในช่วงที่ยังค้าแข้ง และพาทีมคว้าแชมป์ลีกได้ 3 สมัยในฐานะผู้จัดการทีมด้วย

 

ทางด้านคู่แข่งก็มีความเกี่ยวข้องกันอีก เนื่องจาก เมาริซิโอ ซาร์รี่ กุนซือทีมเบี่ยงโคเนรี่ คือคนที่มารับช่วงต่อคอนเต้หลังลาทีมเชลซีไปในปี 2018 แต่ก็ไม่สามารสร้างความเชื่อใจในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ ได้ จนต้องกลับรับงานในบ้านเกิดอีกครั้ง

 

 ในเกมวันอาทิตย์นี้ เราจะได้เห็นการดวลกันอีกครั้งของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ ดีเอโก้ โกดิน ที่เคยฟาดแข้งกันนานหลายปีตอนที่ทั้งคู่ค้าแข้งกับ เรอัล มาดริด และ แอตเลติโก มาดริด

 

แฟนบอลตราหมีเคยกล่าวหาว่า CR7 ต่อยไปที่หน้าโกดิน ระหว่างเกมในเดือนสิงหาคมปี 2014 ขณะที่กองหลังชาวอุรุกวัยก็กล่าวโทษซุปตาร์ของยูเว่ว่า ‘ขาดความเคารพ’ หลังแข้งชาวโปรตุเกสทำแฮตทริกได้และฉลองชัยอย่างออกนอกหน้ากับเกมที่ทีมจากอิตาลีเขี่ย แอตฯมาดริด ตกรอบ 16 ทีมสุดท้ายใน UCL ในฤดูกาลที่ผ่านมา

 

ทำให้การดวลกันของทั้ง 2 คนนี้ในซาน ซีโร่ ดูน่าสนใจและน่าลุ้นไม่แพ้กับผลการแข่งขันเลย

 

 

ศึกนอกสนาม

 

 

นอกจากนี้ ทั้ง 2 สโมสรก็ยังมีเรื่องนอกสนามให้ห่ำหั่นกันอีก เพราะทั้งคู่ต่างมีเจ้าของทีมที่อายุน้อยและหัวก้าวหน้า จะต้องทำทีมแข่งขันกันในจุดสูงสุดของวงการลูกหนังอิตาลีเป็นครั้งแรก

 

ประธานสโมสรยูเวนตุส อันเดรีย อันเญลลี่ ได้สถาปนาให้ทีมเป็นเบอรหนึ่งของวงการลูกแดนมักกะโรนี นักธุรกิจวัย 43 ปี เป็นที่จดจำอย่างกว้างขวางว่าเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของสโมสรกับ แชมป์สคูเด็ตโต้ 8 สมัย และ แชมป์บอลถ้วย 8 สมัย ใน 8 ฤดูกาลหลังสุด

 

ขณะที่ผู้ท้าชิงบัลลังก์ของ อันเญลลี่ ก็คือ สตีเฟ่น จาง ประธานหนุ่มวัย 27 ปี ผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกลกับฟุตบอลในอนาคต และหลงใหลในการนำสื่อกับเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนกับเกมลูกหนัง โดยล่าสุดนักธุรกิจแดนมังกรได้รับการแต่งตั้งเป็นคณะกรรมการสมาคมสโมสรฟุตบอลยุโรป (ร่วมกับ อันเญลลี่) และมีอิทธิพลอย่างมากในการปรับโครงสร้างต่างของแชมเปี้ยนส์ลีก

 

อินเตอร์ มิลาน สามารถกลับมาแข่งขันในฟุตบอลยุโรปและมีศักยภาพในการลุ้นแชมป์ได้ ส่วนหนึ่งมาจากความทะเยอทะยานของ จาง ไม่ต่างจากที่ ตัวอันเญลลี่ เคยทำได้กับยูเว่มาก่อน

 

ความปรารถนาของอันเญลลี่คือการสร้างทีมระดับเดียวกับ กาลาติกอส ขึ้นมา เห็นได้ชัดจากการดึง คริสเตียโน่ โรนัลโด้, มัธไธจ์ส เดอ ลิกต์, ดักลาส คอสต้า และ อารอน แรมซี่ย์ มาช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับทีมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา รวมไปถึงดาวเด่นที่อยู่กับทีมมาก่อนหน้านี้อย่าง เปาโล ดีบาล่า, กอนซาโล่ อิกวาอิน, จอร์โจ้ คิเอลลินี่ และ แบสต์ มาตุยดี้

 

 

ฝั่งอินเตอร์ กับ จาง ก็พยายามเสริมความแข็งแกร่งให้กับทีมด้วยเช่นกัน แต่ผลงานของยูเวนตุสที่มีให้เห็นในลีก นั่นหมายความว่า เนรัซซูรี่ จะต้องชาญฉลาดมากกว่านี้ในเรื่องธุรกิจ มากกว่าเสริมทัพแบบฟรีๆแบบทีมคู่อริ

 

กุญแจสำคัญที่ช่วยให้อินเตอร์ประสบความสำเร็จในฤดูกาลนี้คือการเซ็นสัญญายืมตัว สเตฟาโน่ เซนซี่ จาก ซาสซูโอโล่ และ นิโกโล้ บาเรลล่า จากกายารี่ ที่มาพร้อมกับเงื่อนไขซื้อขาดมาร่วมทีมในซัมเมอร์นี้

 

2 แข้งชาวอิตาเลี่ยน แม้จะมีค่าตัวที่ไม่สูงมาก แต่ก็มีไหวพริบ, ความนิ่ง และ การอ่านเกมที่ยอดเยี่ยมเกินค่าตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่เราเห็นได้ไม่บ่อยนักจากนักเตะในวัย 20 ต้นๆ ซึ่งทาง โรแบร์โต้ มันชินี่ กุนซือทีมชาติอิตาลีก็รับรู้ถึงความเก่งกาจของทั้งคู่ดี และทำการเรียกตัวพวกเขาติดทัพอัซซูรี่เพื่อช่วยทำศึกยูโรรอบคัดเลือกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

 

รวมถึงแข้งในทีมคนอื่นๆ ก็มีการพัฒนาฝีเท้ามากขึ้น เช่น เลาตาโร่ มาร์ติเนซ กองหน้าดาวรุ่งชาวอาร์เจนไตน์ ที่เป็นคนยิงประตูแรกในเกมที่บุกไปพ่ายบาร์เซโลน่า 2-1 เมื่อวันพุธที่ผ่านมา และ กองหลังทีมชาติสโลวาเกีย มิลาน สคริเนียร์ ที่แข็งแกร่งมากจนมีข่าวกับสโมสรในพรีเมียร์ลีกช่วง 1-2 ปีล่าสุด

 

เชื่อว่าการแข่งขันวันอาทิตย์นี้ระหว่าง อินเตอร์ และ ยูเวนตุส ที่มีความเกี่ยวข้องกันทั้งในอดีต, ปัจจุบัน และ อนาคต จะเป็นศึกประวัติศาสตร์ที่ทำให้เกิดเรื่องราวใหม่ๆขึ้น 

 

และไม่ว่าฝ่ายไหนจะชนะก็ตาม มันอาจจะส่งผลกระทบต่อทิศทางของ เซเรียอา ในอนาคตก็เป็นได้