นับเป็นผลการแข่งขันที่เกินความคาดหมายไปเยอะทีเดียว สำหรับ ทีมชาติไทย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ที่เปิดสนามศึกชิงแชมป์เอเชีย ด้วยการถล่ม บาห์เรน ถึง 5-0
จริงๆ ก่อนทัวร์นาเมนต์จะเริ่มหลายฝ่ายไม่ว่าจะเป็นกูรูหรือแฟนบอลต่างเป็นกังวลกันเยอะ หลังเห็นทีมชุดนี้ทำผลงานได้อย่างย่ำแย่ตกรอบแรกฟุตบอลชาย ซีเกมส์ เมื่อปลายปีที่ผ่านมา
เท่าที่ดูตลอดเกม 90 นาทีบอกเลย “เหมือนคนละทีม” ชัดๆ จากที่เคยเล่นแย่ กลับเล่นได้ดี ดูเพลิน แถมมีผลการแข่งขันที่เป็นใจอีก งานนี้มีอะไรที่น่าพูดถึงบ้าง เราคัดมา 5 ข้อเน้นๆ ให้เสพดังนี้
3 แต้มแรกรายการนี้
นับทัวร์นาเมนต์นี้ ทีมชาติไทย ลุยศึกชิงแชมป์เอเชีย เป็นครั้งที่ 3 โดย 2 ครั้งก่อนหน้านี้ทั้งในปี 2016 และ 2018 พวกเขาไม่เคยเอาชนะได้เลยแม้แต่แมตช์เดียว ทำให้เกมถล่ม บาห์เรน ถูกจารึกเป็นชัยชนะนัดแรกของทีม “ช้างศึก” ในรายการนี้ไปโดยปริยาย
นอกจากนี้การไม่เสียประตูเลยกับยอดทีมจากอาหรับ ก็เป็นอีกสถิติหนึ่งคือการเก็บคลีนชีตครั้งแรกในทัวร์นาเมนต์นี้ หลังก่อนหน้านี้โดนยิงทุกนัด นับรวมก็ 14 ประตูเฉลี่ยนัดละไม่ต่ำกว่า 2 ลูก
นอกจากนี้สกอร์ 5-0 ยังเป็นการเก็บชัยชนะเหนือ บาห์เรน ที่สกอร์ขาดมากที่สุดที่ทั้งสองชาติเคยพบกันมาเลยอีกด้วย
4ผสานเด็กสร้างบุีรีรัมย์
แม้ อานนท์ อมริเลิศศีกดิ์ จะย้ายออกจาก บุรีรัมย์ มาสักพักใหญ่ๆ แล้ว แต่ก็คงเหมารวมได้ว่าเจ้าตัวคือหนึ่งในนักเตะสร้างของ “ปราสาทสายฟ้า” และเกมนี้ถูก อากิระ นิชิโนะ จับยืนเป็น 4 ผสานในแนวรุกร่วมกับรุ่นน้อง “กุชชี่แกงค์” ทั้ง สุภโชค สารชาติ, ศุึภชัย ใจเด็ด และ ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา
ทุกอย่างถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องของกุนซือจากแดนซามูไร เพราะทั้ง 4 คนเล่นได้อย่างเข้าขารู้ใจ แม้ในไลน์อัพตอนแรก ศุภชัย จะเป็นหน้าเป้า แต่เอาเข้าจริงในสนามเหมือนทุกคนมีอิสระ ขยับสลับไปมาได้หมด และมันลงตัวอย่างมากเสียด้วย
ที่เห็นชัดๆ คือ ศุภชัย มักถอนตัวลงมายืนต่ำ เพื่อเปิดพื้นที่ให้ สุภโชค และ ศุภณัฏฐ์ สอดทะลุเข้าไปในเขตโทษแทน เช่นเดียวกับ อานนท์ ที่ไม่ได้ประจำการแค่ทางกราบขวา มีขยับเข้าในให้เห็นอยู่บ่อยครั้งเช่นกัน การเคลื่อนที่ที่ลงตัวของทั้ง 4 คน กลายเป็นปัญหาที่แนวรับ บาห์เรน เอาไม่อยู่เลยในเกมนี้
“สรวิทย์” จุดเติมเต็ม
นับเป็นนักเตะที่สร้างความเซอร์ไพรส์ที่สุดให้กับเกมนี้นัดจริงๆ สำหรับ สรวิทย์ พานทอง ดาวเตะจากเอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ที่ลงมายืนกองกลางแบบพลิกโผ แต่สามารถเล่นได้ดีชนิดเกินความคาดหมาย
จริงๆ ตำแหน่งคู่กลางทีมชาติไทย ตั้งแต่ในซีเกมส์ ต้องบอกว่ายังไม่ลงตัว หลักๆ จะมี กฤษดา กาแมน เป็นตัวยืน แล้วสลับ ฉัตรมงคล ทองคีรี กับ วิศรุต อิ่มอุระ มาเป็นคู่บัดดี้ ซึ่งผลงานที่ตกรอบคงตอบโจทย์ได้ดีว่าผลลัพธ์มัน “ไม่โอเค”
ผิดกับสิ่งที่ สรวิทย์ ทำในเกมนี้ เพราะมิดฟิลด์จาก “กิเลนผยอง” เด่นมากทั้งรับและรุก ด้วยการเล่นที่ดุดัน เข้าสุด แย่งสุด ทำให้เจ้าตัวตัดเกมได้เยอะ แถมพอต้องเติมขึ้นเกมรุกก็ทำได้ดี มี 1 แอสซิสต์ให้ เจริญศักดิ์ ในช่วงท้ายเกมด้วย
เอาจริงๆ ถ้าไม่ติด ศุภนัฏฐ์ ที่เหมา 2 ประตูและเป็นจุดเปลี่ยนเกม แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ในเกมนี้ต้องยกให้ สรวิทย์ ไปเลย
สยบเสียงวิจารณ์
อย่างที่บอกไว้ข้างต้นด้วยผลงานที่ “ห่วยแตก” ในซีเกมส์ ทำให้ทีมชาติไทยชุดนี้ถูกสบประมาทเยอะมากว่าไม่น่าจะรอดรอบแบ่งกลุ่ม
หลายๆ คนตั้งคำถามกับการทำงานของ นิชิโนะ ว่าเก่งจริงหรือไม่ ? หลังทำได้ดีในช่วงแรก แต่ก็แผ่วลงทั้งทีมชาติชุดใหญ่ และการมารับเผือกร้อนในทีมชุดซีเกมส์
อย่างไรก็ตามเกมนี้ไม่ต่างการพิสูจน์ตัวเองของทั้งกุนซือและนักเตะ ยกตัวอย่างง่ายๆ ก็ ธิตาธร อักษรศรี แบ็กซ้ายที่เป็นหนึ่งในนักเตะที่โดนด่าเยอะที่สุดในซีเกมส์ แต่วันนี้ทำหน้าที่ได้ดีมาก เกมรับคุมพื้นที่ดี ดวลตัวต่อตัวได้ดี และถูกโจมตีน้อยกว่าฝั่งขวาอย่าง มีโชค มหาศรานุกูล เสียอีก
ส่วน นิชิโนะ เองก็โดนวิจารณ์หนักเรื่องการเปลี่ยนตัวที่ค่อนข้างช้าและไม่โดนใจแฟนบอลเท่าไร แต่เกมนี้ส่ง กานต์นรินทร์ ลงมาได้ 2 นาทีก็มีแอสซิสต์ ส่ง วรชิต ลงมาก็มีแอสซิสต์ รวมถึง เจริญศักดิ์ วงกรณ์ ลงมาก็ทำได้ถึง 2 ประตู เรียกว่าส่งใครลงก็ทำผลงานได้ดีกันหมด
ดูเหมือนเจ้าตัวน่าจะรู้จักลูกทีมมากขึ้น รู้ว่าใครเล่นแบบไหน ยังไง การเลือก การแก้เกมเลยดูหลากหลาย ไม่ใช่มุกเดิมๆ ซ้ำๆ เหมือนในซีเกมส์ที่ล้มเหลว
“กรพัฒน์” สอบผ่าน
ตำแหน่งผู้รักษาประตูเป็นอีกจุดที่แฟนบอลเป็นกังวลกันเยอะ เพราะต้องเสียนายทวารหมายเลข 1 ของทีมอย่าง นนท์ ม่วงงาม ที่เจ็บจนต้องถอนตัวออกไป
จริงๆ กรพัฒน์ นารีจันทร์ ถือเป็นผู้รักษาประตูที่ถูกเรียกติดทีมชาติมาโดยตลอด ทว่าพอถึงทัวร์นาเมนต์จริงไม่ถูกกาชื่อทิ้ง ก็มักจะถูกหิ้วไปเป็นเพียงตัวสำรองเท่านั้น
อย่างไรก็ตามรายการนี้ “เจ้าไอซ์” คือคนที่มีประสบการณ์มากที่สุด และเป็นมือหนึ่งของทีมอย่างไม่ต้องสงสัย ซึ่งจริงๆ เกมกับ บาห์เรน ต้องบอกว่าเจ้าตัวสอบผ่านด้วย หลังมีสมาธิอ่านเกมได้ดี ยืนตำแหน่งได้เยี่ยม จังหวะเซฟลูกโหม่งของ อัล-ชามซาน ในนาที 54 ถือว่าเข้าตามากๆ