จับ 5 ประเด็น “ช้างศึก” สอนมวย ยูเออี เอกฉันท์

ผลงานของทีมชาติไทย ภายใต้การคุมทีมของ อากิระ นิชิโนะ ยิ่งดูยิ่งมีความหวัง แม้จะเริ่มต้นไม่สวยด้วยการเสมอกับ เวียดนาม 0-0 ในนัดแรก

 

แต่ที่เหลือต้องบอกว่าดีขึ้นเรื่อยๆ ทั้งผลงานในสนาม และทรงเกมที่เล่นได้ชนิดเข้าทาง โดยเฉพาะเกมล่าสุดที่เอาชนะ ยูเออี 2-1 ในบ้านตัวเอง ต้อกบอกว่าเป็น 3 แต้มที่ “เอกฉันท์” และสมควรเป็นอย่างยิ่ง

 

โดย 90 นาทีของเกมคู่นี้มีอะไรน่าสนใจบ้าง ทีมชาติไทย มีข้อดี ข้อด้อย อะไรที่ต้องพูดถึง เราขอคัด 5 ประเด็นเรียงลำดับดังนี้

“ธีรศิลป์” เบอร์ 1 สไตเกอร์ไทย

 

จาก 2 เกมแรกภายใต้การคุมทีมของ อากิระ นิชิโนะ แม้ไทย จะเก็บได้ถึง 4 คะแนน ทว่าภาพรวมในเกมรุกเชื่อว่าแฟนบอลมองเป็นเสียงเดียวกันว่ายังค่อนข้าง “ตะกุกตะกัก” อยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

 

ทว่าการกลับมาของ ธีรศิลป์ แดงดา ในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้า ทำให้ทุกอย่างดูดีขึ้นแบบทันตาเห็น เกมรุกของทีม “ช้างศึก” ไหลลื่นขึ้นเยอะจากการพักบอลและเชื่อมเกมจาก “เอลแดงดา”

 

ที่สำคัญที่สุดหน้าที่ของกองหน้าคือทำประตู ตรงนี้ ธีรศิลป์ ตอบโจทย์มากๆ เพราะกดได้ทั้ง 2 เกมที่อุ่นเครื่องกับ คองโก และซัดประตูเปิดใส่ ยูเออี ซึ่งทั้งสองประตูมากจากลูกโหม่งทั้งคู่สะด้วย

เกมรุกไทยในวันที่ไร้ “เมสซี่เจ”

 

การขาดหายไปของนักเตะหมายเลข 1 ของทีมชาติไทยอย่าง “เมสซี่เจ” ชนาธิป สรงกระสินธ์ ที่เจ็บคือโจทย์ที่แฟนบอลค่อนข้างเป็นห่วงว่า อากิระ นิชิโนะ จะแก้ปัญหาตรงนี้อย่างไร

 

ตอนแรกมีการคาดการณ์ว่ามิดฟิลด์ตัวรุกรายอื่นๆ อาจจะได้เสียบแทน แต่กุนซือชาวซามูไร ทำเซอร์ไพรส์ด้วยการเลือก ศศลักษณ์ ไหประโคน ที่บทบาทช่วงหลังหนักไปทางวิงแบ็ก ขึ้นมาเป็นตัวรุกริมเส้นผสานกับ สุภโชค สารชาติ และ เอกนิษฐ์ ปัญญา

 

ตรงนี้ต้องบอกว่าดีเกินคาด ทั้งสามคมเทคนิคส่วนตัวดีอยู่แล้ว แถมยังกล้าเล่นกล้าลุยกันหมด บวกกับแท็กติกที่เริ่มลงลอย การเล่นเป็นกลุ่ม การเล่นในที่แคบที่ดีขึ้น เลยทำให้แนวรุกของทีมชาติไทยไหลลื่น สนุก และมีลุ้นประตูอย่างต่อเนื่อง

เสียสมาธิครั้งเดียวเกือบพัง

 

แม้ ยูเออี ของกุนซือ เบิร์ต ฟาน มาร์ไวค์ จะมาตั้งใจเล่นเกมรับแล้วโต้ ทว่าเอาเข้าจริงพวกเขาแทบจะเล่นไม่ได้เลย เพราะโดนเกมเพรสซิ่งสูงของทีมชาติไทยเล่นงานอย่างหนัก

 

นับเฉพาะ 20 นาทีแรก ยูเออี ไม่สามารถพาบอลยังพื้นที่สุดท้ายของ ไทย ได้เลย โอมาร์ อับดุลราห์มาน จะได้บอลแต่ละทีถูกเข้าถึงไวตลอด แทบไม่มีช็อตที่จะเล่นได้ง่ายเลย

 

ไม่ต้องพูดถึง อาลี มับคูต กองหน้าตัวเก่งที่ชอบยิงไทย แทบไม่ได้อยู่ในจอทีวีเลยด้วยซ้ำ

 

จริงๆ ไม่ใช่แค่ 45 นาทีแรก ต้องบอกว่า 90 นาที ไทย เหนือกว่าในเรื่องของแท็กติกอย่างชัดเจน ทว่าการเสียสมาธิเพียงครั้งเดียวในช่วงท้ายครึ่งแรก ก็เปิดโอกาสให้ มับคุต ได้ยิงตีเสมอ

 

ยังดีที่ครึ่งหลัง ไทย ไม่เสียขวัญและกำลังใจ ทรงเกมยังดีเหมือนเดิมและมาได้ประตูชัยจาก เอกนิษฐ์ ปัญญา ทำให้ความผิดพลาดเพียงหนเดียว ไม่เสียหายมากนักในเกมนี้

แบ็กขวา-ซ้ายฟอร์มจัดจ้าน

 

เกมทีมชาติ 2 นัดที่อุ่นเครื่องเสมอกับ คองโก และเกมคัดเลือก ฟุตบอลโลก 2022 ที่เปิดบ้านชนะ ยูเออี 2-1 พูดได้เต็มปากเลยว่านี่คือการแจ้งเกิดของ “นิติพงษ์ เสลานนท์”

 

ด้วยแท็กติกที่ ไทย ทำได้ดีกว่าชัดเจน ทำให้เกมรับวันนี้แทบจะไม่ต้องเจอการกดดันมากเท่าไร ทำให้แบ็กสองข้างสามารถเติมเกมรุกอย่างต่อเนื่อง

 

และแบ็กขวาจาก การท่าเรือ เอฟซี ก็เติมเกมได้อย่างเด็ดสะระตี๋ ลูกทีเด็ดเลยคือการครอสบอลริมเส้น ที่ได้ลุ้นอยู่ตลอด ที่สำคัญแปรเปลี่ยนเป็น 1 แอสซิสต์ให้ เอกนืษฐ์ ยิงประตูชัยได้อีกตั้งหาก

 

อีกฝั่งไม่ต้องพูดถึง ธีราธร บุญมาทัน เล่นได้ตามมาตรฐานที่ยอดเยี่ยม ทั้งการเติมเกม การเชื่อมเกม การแทงทะลุช่องจากแดนหลัง รวมถึงลูกครอส และลูกนิ่งต่างๆ

 

ไม่แปลกใจเลยตอนที่เจ้าตัวเจ็บตอนวอร์ม ทำไมแฟนบอลชาวไทย ถึงเป็นห่วงนัก เพราะการมีหรือไม่มี “เจ้าอุ้ม” ในสนาม ถึงว่ามีผลต่อทีม และต่อรูปเกมเยอะอย่างแน่นอน

ไทยชนะยูเออีครั้งแรกรอบ 15 ปี

 

จากชัยชนะเหนือ ยูเออี 2-1 ในวันนี้ นอกจากจะเป็น 3 คะแนนสำคัญที่ทำให้ ไทย มี 7 คะแนนขึ้นไปเป็นจ่าฝูงของกลุ่มจี ร่วมกับ เวียดนนาม หากนับด้วยแต้มที่เท่ากัน

 

อีกประเด็นสำคัญคือเรื่องของสถิติที่นัดนี้นับเป็นชัยชนะของ ไทย เหนือ ยูเออี เป็นเกมที่ 2 จากการพบกันทั้งหมด 11 เกม และที่สำคัญเป็นการชนะครั้งแรกในรอบ 15 ปี

 

โดยครั้งสุดท้ายและครั้งเดียวก่อนหน้านี้ที่ ไทย ชนะ ยูเออี เกิดขึ้นในฟุตบอลโลก 2006 รอบคัดเลือก โดย ไทย เปิดบ้านชนะไป 3-0 ได้ประตูจาก นนทพันธ์ เจียรสถาวงศ์, อานนท์ นานอก, เทิดศักดิ์ ใจมั่น

 

และอีกเรื่องที่น่าสนใจคือ ไทย กลายเป็นทีมแรกในฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือกหนนี้ ที่สามารถเอาชนะทีมวางจากโถหนึ่งได้อีกตั้งหาก