เกม “แดงเดือด” นัดที่ 302 จบลงแบบ “บัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น” หลัง แมนฯ ยูไนเต็ด ทำดีที่สุดคือหยุดสถิติชนะรวดของ ลิเวอร์พูล ด้วยการแบ่งคะแนนกันไป
ภาพรวมต้องบอกว่า “ยุติธรรม” ดีแล้วที่จบลงด้วยการเสมอกัน เพราะทั้งสองทีมทำได้ดีทีมละครึ่งทาง ซึ่งรายละเอียดของเกม 90 นาที มีอะไรบ้างที่น่าสนใจ
เราขออนุญาตวิเคราะห์เกมนี้ด้วยเหตุผล 5 ข้อดังต่อไปนี้
VAR เจ้าปัญหา
สัปดาห์ที่ผ่านมา VAR หรือเทคโนโลยีช่วยตัดสินยังคงเป็นประเด็นหลักที่ถูกพูดถึงอย่างมาก ไล่ตั้งแต่เกม สเปอร์ส เสมอ วัตฟอร์ด ที่สกอร์บอร์ดขึ้นผิดสวนทางกับคำตัดสินของกรรมการ
หรือจะเกมที่ แมนฯ ซิตี้ บุกไปชนะ คริสตัล พาเลซ จังหวะที่ เควิน เดอ บรอยน์ โดน วิลเฟร็ด ซาฮา ผลักดูยังไงก็ฟาวล์ชัวร์ ทว่าหลังเช็ก VAR แล้วผู้ตัดสินกลับยืนยันไม่เป็นลูกจุดโทษ
ส่วนเกมที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ทั้งสองทีมได้โอกาสใช้ VAR ทีมละครั้ง จังหวะแฮนด์บอลของ ซาดิโอ มาเน่ แน่นอนมันชัดเจนว่าตัดสินถูกต้องทั้งคนและเทคโนโลยี
แต่ประตูขึ้นนำของ “ผีแดง” ถ้าใจเป็นกลางมากพอดูยังไง ดิว็อค โอริกี ก็โดนทำฟาวล์ก่อน จังหวะนี้มีการดู VAR สุดท้าย มาร์ติน แอตกินสัน ก็ยืนยันคำเดิม
งานนี้ทำให้รู้เลยว่าสุดท้ายบรรทัดฐานของ VAR ก็ยังต้องพึ่งดุจพินิจของผู้ตัดสิน ที่ไม่รู้จะออกหัวหรือก้อยกันแน่
5-3-2 เฉพาะกิจเวิร์กเฉย
การบาดเจ็บของ อักเซล ตวนเซมเบ้ ในช่วงวอร์มร่างกาย ดูเหมือนจะเป็นเรื่องดีมากกว่าเรื่องแย่ หากวัดจาก 45 นาทีแรกที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้เล่นในมิติใหม่ที่ต่างจากหลายๆ เกม
ตอนแรก โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ วางแผนเดิมๆ คือ 4-3-3 ทว่าพอแนวรับชาวดัตช์เจ็บ กลายเป็นว่าต้องแก้เกมฉุกเฉินและหวยมาออกที่ระบบ 5-3-2 ซึ่งต้องบอกว่าตอบโจทย์ทีเดียวในเกมนี้
เกมรับไม่นับจังหวะเสียประตู ต้องบอกว่าภาพรวมเล่นดีมาก เอาเกมรุกของ ลิเวอร์พูล ได้เกือบอยู่หมัด
ส่วนแนวรุกก็เวิร์กแบบผิดหูผิดตา แดเนี่ยล เจมส์ ที่ปกติจะปักหลักแต่ฝั่งซ้าย ถูกขยับเป็นหน้าขวาก็ทำหน้าที่ได้ดี เช่นเดียวกับ แรชฟอร์ด ที่พอมีคู่หูก็สามารถฉีกไปรับบอลฝั่งซ้าย พร้อมดึง โจเอล มาทิป ไปดวลจนเกิดช่องว่างหน้าประตูได้บ่อยครั้ง
หากเปลี่ยนตัวสอดทะลุเข้าเขตโทษจาก เฟร็ด หรือ อันเดรียส เปเรร่า เป็น ปอล ป็อกบา โอกาสที่แนวรับ ลิเวอร์พูล จะปวดหัวกว่านี้ก็มีไม่น้อยทีเดียว
จุดเด่นริมเส้นที่หายไป
เหมือนอย่างที่ ณัฐพร พันธุ์ฤทธิ์ “commentator” ของทรูวิชั่นส์ ว่าไว้ วันนี้ ลิเวอร์พูล ดูไม่ค่อยเป็นตัวเองอย่างมาก โดยเฉพาะเกม 45 นาทีแรก ที่พิษสงจากเกมริมเส้นแทบไม่มีเลย
การขาดหายไปของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ การโยก ซาดิโอ มาเน่ มาอยู่ขวาก็เงียบกริบ ฝั่งซ้าย ดิว็อค โอริกี ก็ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
ที่สำคัญ “จุดเด่น” จากการเติมเกมของฟูลแบ็ก 2 ข้างกลับเล่นแบบระมัดระวังตัวเกินจนผิดธรรมชาติ
บางทีอาจจะเป็นเพราะ เจอร์เก้น คล็อปป์ เองที่คิดมาเกินไป พอเป็นทีมเยือนเลยอยากเน้นรับแล้วโต้ ยังดีที่ครึ่งหลังคลายล็อกตรงนี้ และตีเสมอได้ ซึ่งจุดเริ่มต้นก็มาจากการครอสของ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน
กึ๋นของกุนซือ
แม้ โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ จะแก้ปัญหาเฉพาะจากการเจ็บของ อักเซล ตวนเซมเบ้ ได้ดี แต่สุดท้ายแล้วที่ “ผีแดง” ต้องชวด 3 คะแนนเจ้าตัวก็ต้องรับผิดชอบไปเต็มๆ
เกม 45 นาทีแรก แมนฯ ยูไนเต็ด นั้นทำได้ดีมากๆ ทว่า 45 นาทีหลังกลับเป็นหนังคนละม้วน เจ้าบ้านเอาแต่เล่นเกมรับ ขณะที่เกมโต้กลับก็ค่อยๆ ไร้พิษสงไปตามกาลเวลา
การแก้เกมของกุนซือนอร์เวย์ ไม่มีอะไรเลย เปลี่ยนตำแหน่งต่อตำแหน่ง มาร์ซิยัล แทน แรชฟอร์ด ส่วนอีกโควต้าให้โอกาส แบรนดอน วิลเลี่ยมส์ เจ้าหนูวัย 19 ปีเฉยเลย
พูดตรงๆ 2 ผู้เล่นสำรองแทบไม่ได้มีผลอะไรกับเกมเลย เกมเป็นรองยังไง ก็ยังเป็นรองอยู่อย่างนั้น
ลองมาดูอีกฝั่ง เจอร์เก้น คล็อปป์ ปรับนู้น แก้นี่ไปเรื่อย ไล่ตั้งแต่โยก ซาดิโอ มาเน่ เข้าไปเล่นกองหน้ากับ ฟีร์มิโน่ การเปลี่ยน อเล็กซ์ อ็อกเลด แชมเบอร์เลน มายืนปีกซ้าย ส่ง อดัม ลัลลาน่า มายืนปีกขวา
จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม เล่นไม่ดีก็โดนแทนที่โดย นาบี้ เกอิต้า บวกกับการให้อิสระฟูลแบ็กเติมเกมมากขึ้น สุดท้ายพวกเขาก็ตีเสมอจนได้
การแบ่งแต้มตรงนี้บอกเลย “กึ๋น” ของกุนซือทั้งสองฝั่งมีผลเยอะจริงๆ
ไม่เกิดสถิติใหม่
จากผลเสมอในนัดนี้สุดท้ายแล้วกลายเป็นว่า ลิเวอร์พูล ถูกหยุดสถิติชนะรวดในลีกไว้เพียง 8 เกมติดต่อกัน พลพรรค “หงส์แดง” ยังหมดสิทธิ์ทำสถิติใหม่ 2 อย่างไปโดยปริยายด้วย
ไม่ว่าจะเป็นสถิติส่วนตัวของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่ยังคงไร้ชัยต่อไปในการเยือนโอลด์ แทรฟฟอร์ด นับรวมเกมนี้ก็เป็นนัดที่ 5 แล้วที่กุนซือหน้าแว่นต้องเดินเซ็งกลับออกไป (เสมอ 4 แพ้ 1)
และอีกอันที่พลาดโอกาสทองไปอย่างน่าเสียดาย ก็คือชวดทาบสถิติชนะรวดติดต่อกันสูงสุดในประวัติศาสตร์ของ แมนฯ ซิตี้ ที่ทำไว้ 18 เกม เพราะ ลิเวอร์พูล ชนะเกมนี้ไม่ได้เลยได้แค่ 17 เกมเท่านั้น