จับ 5 ประเด็น “เรือใบ” สยบ “หงส์” ซิวแชมป์แรก

กลายเป็นเกม “บิ๊กแมตช์” ระดับคุณภาพไปแล้วสำหรับการเจอกันระหว่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล ที่สู้กันถึงพริกถึงขิง ก่อนเป็น “เรือใบสีฟ้า” ที่ประเดิมแชมป์แรกของฤดูกาลไปได้ก่อน

 

โดยเกม คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ฤดูกาล 2019-20 มีเรื่องราวให้คุยอย่างมากมาย โดยขออนุญาตแบ่งเป็น 5 ประเด็นที่เห็นในเกมแล้วน่าพูดถถึงที่สุดดังนี้

รูปภาพ

1.”สเตอร์ลิ่ง” ยังไม่ระดับโลก

 

จริงๆ ภาพรวมเกมนี้ สเตอร์ลิ่ง ถือว่าทำผลงานได้ดี และเป็นตัวอันตรายที่สุดในแนวรุกของ แมนฯ ซิตี้ เลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเล่นริมเส้น หรือกกองหน้าตัวเป้า ดาวเตะทีมชาติอังกฤษ มักจะหาตำแหน่งได้ดีอยู่เสมอ

 

ประตูขึ้นนำของทีม “เรือใบสีฟ้า” ก็เป็นฝีเท้าของเขาที่เป็นคนปิดบัญชี ทว่าจาก ฮีโร่ เกือบกลายเป็น ซีโร่ เพราะโอกาสที่ควรจะตอกฝาโลงถึง 2 ครั้ง 2 ครา ตัวรุกวัย 24 ปีกับทำ “หมูหก” แบบน่าเขกกระบาล ทั้งการหลุดเดี่ยวไปยิงชนเสา รวมถึงหลุดไปลังเลจะจ่ายให้ ไคล์ วอล์คเกอร์ สุดท้ายลั่นยาวอดยิง

 

สเตอร์ลิ่ง พัฒนาฝีเท้าอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ย้ายมาอยู่กับ “เรือใบสีฟ้า” โดยเฉพาะฤดูกาลก่อนที่ทั้งยิงและจ่ายได้อย่างมากมาย แต่หากเจ้าตัวต้องการขึ้นไปเป็นนักเตะระดับโลก หรืออยู่ในเลเวลที่สูงกว่านี้ จังหวะสำคัญๆ ต้อง “นิ่ง” และ “เด็ดขาด” กว่านี้อีกเยอะเลย

รูปภาพ

2.ไม่ใช่ “ซาลาห์” ร่างเทพ

 

ไม่ใช่แค่ สเตอร์ลิ่ง คนเดียวเท่านั้นที่ทำ “หมูหก” ในเกมนี้ ในทีมตรงกันข้ามอย่าง ลิเวอร์พูล ต้องบอกว่าพวกเขาคงผิดหวังอย่างมากกับผลงานของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ตัวความสูงสุดของทีม

 

เอาจริงๆ ภาพรวมตลอด 90 นาที ดาวเตะทีมชาติอียิปต์ เล่นได้อย่างโดดเด่น เกมรุกทางด้านขวาแทบจะเป็นอาวุธหลักของ “หงส์แดง” เลย ในเมื่อทางซ้าย ดิว็อค โอริกี้ เงียบสนิท นอกจากล้มไปเจ็บอยู่กับพื้น ก็แทบไม่อยู่ในหน้าจอทีวีเลย

 

ทว่าโอกาสยิง 10 ครั้ง เข้ากรอบ 4 ครั้ง ชนเสา 2 ครั้ง และถูกสกัดคาบเส้นอีก 1 จังหวะ มันเป็นตัวเลขที่แสดงให้เห็นว่า ซาลาห์ นั้นมีโอกาสเยอะมากๆ ในเกมนี้ ทว่าในวันที่ไม่ได้ “ท็อปฟอร์ม” อะไรๆ มันก็ไม่ดีเลยจริงๆ

 

3.หงส์ อีกครั้งกับฟ้าไม่เป็นใจ

 

แม้พรีเมียร์ลีก จะตัดสินใจตามกระแสโลกด้วยการนำ “VAR” หรือเทคโนโลยีช่วยตัดสินมาใช้ในฤดูกาลใหม่ ทว่าในเกม คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ครั้งนี้ไม่ถูกนับอยู่ในกฎกติกาใหม่ดังกล่าว

 

และเป็นอีกครั้งที่เหมือน “สวรรค์กลั่นแกล้ง” ทาง ลิเวอร์พูล มีช็อต เวอร์กิล ฟาน ไดจ์ค ตวัดลูกเตะมุมไปเช็ดใต้คานกระดอนคาบเส้น ซึ่งหนนี้ “โกล์ไลน์” ก็ได้ปฎิเสธประตูของพวกเขาด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่าบอลยังไม่ผ่านเส้นแบบเต็มใบ

 

เหตุการณ์นี้เคยเกิดขึ้นแล้วเมื่อฤดูกาลก่อนเกมที่ แมนฯ ซิตี้ เปิดบ้านชนะ 2-1 เกมนั้น ซาดิโอ มาเน่ ยิงไปชนเสา สโตนส์ สกัดพลาดไปโดน เอแดร์สัน กระดอนกลับเข้าหาประตูก่อนที่ สโตนส์ คนเดิมจะเคลียร์สกัดอีกครั้ง ซึ่งภาพจาก “โกล์ไลน์” บอกยังขาดอยู่ 11 มม.เท่านั้น และอีกเกมที่ แมนฯ ซิตี้ เอาชนะ เบิร์นลี่ย์ ประตูของ อเกวโร่ ที่โดน แมทธิว ลอว์ตัน สกัดออกมา ถูก “โกล์ไลน์” แสดงพิกัดว่าผ่านเส้นประตูไปแล้ว 29 มม.

 

เอาง่ายๆ เลย “โกล์ไลน์” ตัดสินครั้งใด มีผลกระทบกับ ลิเวอร์พูล เมื่อไหร่ ไม่เคยเป็นใจเลยแม้แต่ครั้งเดียว

รูปภาพ

4.”โรดรี้” สอบผ่านอยู่

 

ฟุตบอลสไตล์ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า สิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ไดเลยคือการมีมิดฟิลด์ตัวรับชั้นดี ที่นอกจากตัดเกมแล้ว ยังต้องกระจายบอลได้ เคลื่อนเกมได้ดี ซึ่งที่ผ่านมาที่ บาร์เซโลน่า ก็มี เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ ส่วน บาเยิร์น ก็ได้ ชาบี้ อลอนโซ่ เป็นฟันเฟืองสำคัญ

 

สำหรับ แมนฯ ซิตี้ ที่ผ่านมา แฟร์นานดินโญ่ ก็ยกระดับตัวเองได้อย่างน่าชื่นชม ทว่าด้วยอายุที่มากขึ้นในทุกวัน ร่างกายที่ไม่แข็งแกร่งเหมือนเก่า ทำให้ “เรือใบสีฟ้า” ต้องการคนมาแทนที่ และซัมเมอร์นี้ก็ได้ซื้อ โรดรี้ เอร์นานเดซ เข้ามาด้วยค่าตัว 62.5 ล้านปอนด์

 

กับเกมแรกที่เป็นทางการต้องบอกว่ามิดฟิลด์สแปนิช ทำผลงานได้น่าพอใจมากๆ การเชื่อมเกมทำได้ต่อเนื่อง ผ่านบอลแม่นยำถึง 91.5% มากที่สุดในทีม เกมรับก็ทำได้ดีเข้าสกัดชนะ 2 จาก 3 ครั้ง ตัดบอล 1 ลงไปช่วยเคลียร์บอลได้อีก 3 หน สถิติโดยรวมดีกว่ามิดฟิลด์ ลิเวอร์พูล 3 คนรวมกันเสียอีก

 

จุดเดียวที่ โรดรี้ ต้องปรับหน่อย คือการครองบอลหน้าประตู จังหวะนาทีท้ายที่ไปเสียบอลหาก ซาลาห์ คมกว่านี้ ทีมที่เป็นฝ่ายชนะคงไม่ใช่ แมนฯ ซิตี้ แน่นอน

รูปภาพ

5.เรือใบจ้าวจุดโทษ

 

หลายคนอาจจะจำภาพ แมนฯ ซิตี้ ยิงจุดโทษแพ้ วูล์ฟแฮมป์ตัน มาแบบสดๆ ร้อนๆ ในฟุตบอลรายการพิเศษ พรีเมียร์ลีก เอเชีย โทรฟี่ย์ เมื่อเดือนที่ผ่านมา ทว่าเกมนั้นคือแมตช์อุ่นเครื่อง ทั่ต้องอนุโลมไม่นับมานับรวมกับเกมอย่างเป็นทางการ

 

และหากย้อนสถิติกลับไป นับรวมการยิงเป้าเอาชนะ ลิเวอร์พูล ในคอมมิวนิตี้ ชิลด์ ล่าสุด ต้องบอกว่า “เรือใบสีฟ้า” เป็นทีมที่เก่งกาจเรื่องการดวลจุดโทษเป็นอย่างมาก เพราะชนะมา 7 เกมติดต่อกันแล้วตามข้อมูลของ Goal.com ไล่เรียงตั้งแต่

 

– ชนะ อัลบอร์ก (ยูฟ่า คัพ รอบ 16 ทีม ปี 2009)
– ชนะ ลิเวอร์พูล (ลีก คัพ นัดชิงฯ ปี 2016)
– ชนะ วูล์ฟแฮมป์ตัน (ลีก คัพ รอบ 4 ปี 2017)
– ชนะ เลสเตอร์ (ลีก คัพ รอบ 8 ทีม ปี 2017)
– ชนะ เลสเตอร์ (ลีก คัพ รอบ 8 ทีม ปี 2018)
– ชนะ เชลซี (ลีก คัพ รอบชิงฯ ปี 2019)
– ชนะ ลิเวอร์พูล (คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ปี 2019)