จากดาวรุ่งสู่ดาวโรจน์ :รวมยอดแข้งที่ทัพ เสือเหลือง ปลุกปั้นจนทะยานฟ้า

25 ล้านปอนด์กับค่าตัวของนักเตะวัย 17 ปี ทำให้ จู๊ด เบลลิงแฮม กลายเป็นแข้งดาวรุ่งที่ค่าตัวแพงที่สุดในโลก ไปโดยปริยาย

 

 

เบลลิงแฮม ได้รับการยกย่องว่าคือหนึ่งในดาวเตะพรสวรรค์ของวงการลูกหนังอังกฤษ หลังจากฤดูกาลที่ผ่านมา เจ้าหนูรายนี้ สร้างสถิติเป็นนักเตะอายุน้อยที่สุดที่ทำประตูให้ เบอร์มิงแฮม ด้วยวัย 16 ปี กับอีก 63 วัน พร้อมลงสนามมากถึง 40 เกม ให้ทัพ “ตราลูกโลก” จนตกเป็นเป้าหมายกับหลายทีมยักษ์ใหญ่ในยุโรป

 

 

แต่กัปตันทีมชาติอังกฤษชุดยู -17 รายนี้ เลือกแล้วว่า เขาต้องการจะก้าวไปสู่หนทางที่ถูกต้อง ก่อนจะตัดสินใจเซ็นสัญญาระยะยาว 5 ปี ย้ายไปค้าแข้งกับ หนึ่งในสโมสรที่ปั้นดาวรุ่งขึ้นมาได้ดีที่สุดในโลกเวลานี้อย่าง โบรุสเซียร์ ดอร์ทมุนด์ เพื่อหวังว่าวันนึงตัวเองจะพัฒนาตัวเองจนก้าวขึ้นมาเป็นยอดนักเตะ เหมือนกับใครต่อใครที่เคยค้าแข้งอยู่ในถิ่น ซิกนัล อิดูน่า พาร์ค

 

 

และนี่คือเหล่าขุนพลแข้งที่เคยเป็นดาวรุ่ง ก่อนจะผันตัวเป็นยอดแข้งระดับโลก ภายใต้สโมสรแห่งนี้ มีใครกันบ้าง อย่ารอช้า UfaArena จะพาไปดูกัน

 

 

โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ (โปแลนด์)

 

 

“เดอะโปลิช มาร์คส์แมน” ย้ายจาก เลช พอซนาน ทีมในบ้านเกิดที่ โปแลนด์ มาค้าแข้งกับทัพ “เบเฟาเบ” ตั้งแต่อายุ 21 ปี และถึงปัจจุบันนี้เขาได้กลายเป็นกองหน้าที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลเยอรมนีไปแล้ว

 

 

4 ฤดูกาลของ เดอะคิงเลวาน ในถิ่น “เสือเหลือง” เขาซัดให้กับทีมไปถึง 103 ประตู จากการลงสนาม 187 เกม พร้อมพาทีมคว้าแชมป์ บุนเดสลีกา 2 สมัย เดเอฟเบ โพคาล อีก 1 สมัย ก่อนจะตัดสินใจครั้งสำคัญด้วยการย้ายไปร่วมทัพ บาเยิร์น มิวนิค แบบไร้ค่าตัวเมื่อปี 2014 และทำให้แฟนบอล เดอะเยลโล่วอลล์ ต้องผิดหวังสุดๆ จนรู้สึกว่าถูกทรยศจากคนรักยังไงเสียอย่างงั้น

 

 

ที่ บาเยิร์น เลวานดอฟสกี้ สร้างผลงานสุดยอดด้วยการพาทีมเป็นแชมป์ บุนเดสลีกา 8 สมัยติดต่อกัน พร้อมกับคว้ารางวัลดาวซัลโวไปอีก 5 สมัย และฤดูกาลล่าสุดเขาก็ซัดไปถึง 51 ประตู จาก 43 เกมที่ลงเล่น เรียกว่าในวัย 32 ปี ยังโคตรเก่ง

 

 

สุดๆ จนกลายเป็นหนึ่งในตัวเต็งที่จะคว้า บัลลงดอร์ ประจำปีนี้ น่าเสียดายที่สุดท้าย รางวัลนี้ต้องถูกยกเลิกเป็นหนแรกในประวัติศาสตร์จากพิษโควิด-19 ซะอย่างงั้น

 

เจดอน ซานโช่ (อังกฤษ)

 

 

หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ เบลลิงแฮม เลือกที่จะย้ายมาค้าแข้งในถิ่น ซิกนัล อิดูน่า พาร์ค ก็มาจาก พ่อหนุ่มซานโช่ คนนี้นี่แหละ

 

 

การอำลายอดกุนซืออย่าง เป๊ป กวาดิโอล่า จากสโมสร แมนฯซิตี้ มาผจญภัยในเมืองเบียร์กับ ดอร์ทมุนด์ ในวัยเพียง 17 ปี ตอนนั้นนับเป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญ จนปัจจุบัน 3 ปีต่อมา เจดอน ก้าวขึ้นมาเป็นแข้งดาวรุ่งที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกเวลานี้

 

 

ฤดูกาลนี้ ซานโช่ ในวัย 20 ปี ก้าวขึ้นมาเป็นแข้งซูเปอร์สตาร์ประจำทีมอย่างเต็มตัว และยิงไปถึง 20 ประตู บวกกับ 20 แอสซิสต์ แต่จากพฤติกรรมนอกสนามที่ดูจะยังวัยรุ่นเกินไป ทำให้มีโอกาสสูงที่เขาจะถูกปล่อยตัวออกจากทีมในช่วงซัมเมอร์นี้ ด้วยค่าตัวไม่ต่ำกว่า 100 ล้านปอนด์

 

เออร์ลิง เบราท์ ฮาแลนด์ (นอร์เวย์)

 

ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน ใช้ไม่ได้เลยกับ พ่อหนุ่มชาวไร่วัยคะนอง อย่าง เออร์ลิง เบราท์ เพราะเพียงแค่เกมแรกที่เขาตัดสินใจย้ายจาก เร้ดบูล์ส ซัลส์บวร์ก มาร่วมทัพ “เสือเหลือง” เมื่อเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา เขาก็ระเบิดฟอร์มร้อนด้วยการซัด แฮททริค ได้ตั้งแต่เกมแรกที่ลงสนามในบุนเดสลีกา ก่อนจะกดไปถึง 7 ประตู จาก 3 นัด พร้อมคว้าตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมลีกเยอรมนี ในเดือนแรกทันที

 

 

13 ประตู จาก 13 นัด ในบุนเดสลีกา 2 ประตู จาก 2 นัดในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 1 ประตู จาก 1 นัดในถ้วย เดเอฟเบ โพคาล เกิดขึ้นจากการลงสนามให้กับทัพ “เบเอฟเบ” เพียงครึ่งฤดูกาล นั่นแสดงให้เห็นว่า ลูกชายของ อัล์ฟ อิงเก้ ฮาแลนด์ คือของจริง และทำให้ฤดูกาลหน้าเจ้าตัวได้รับมอบเสื้อหมายเลข 9 ไปครองแบบไม่ยากเย็นนัก

 

อุสมาน เดมเบเล่ (ฝรั่งเศส)

 

 

พ่อหนุ่ม อีสปอร์ต ย้ายจาก แรนส์ สโมสรในลีกเอิง ฝรั่งเศส มาร่วมทัพ เสือเหลือง เมื่อฤดูกาล 2016 ด้วยค่าตัว 13.5 ล้านปอนด์ในเวลานั้น และจากผลงานเพียงฤดูกาลเดียวของดาวเตะชาวฝรั่งเศสวัย 20 ปี ที่ซัดไป 10 ประตู บวกกับ แอสซิสต์ถึง 21 ครั้ง ก็ไปเข้าตาแมวมองของ เจ้าบุญทุ่ม บาร์เซโลน่า อย่างจัง เพื่อที่ว่าจะหาใครซักคนไปทดแทน เนย์มาร์ ดาวเตะบราซิล ที่ย้ายไป เปแอสเช ด้วยค่าตัวสถิติโลก 200 ล้านปอนด์ในเวลานั้น

 

 

ว่าแล้ว บาร์ซ่า ก็เลยตัดสินใจทุ่มเงินครั้งใหญ่แบ่งมาซื้อ เดมเบเล่ ด้วยค่าตัวถึง 124 ล้านปอนด์ พร้อมกับสร้างผลงานได้ยอดเยี่ยมกับทัพ อัลซูลกราน่า ในฤดูกาลแรก แต่หลังจากนั้นฟ้าฝนไม่เป็นใจ เขาได้รับบาดเจ็บอยู่บ่อยครั้ง จนชวดโอกาสลงสนามช่วยทีม บวกกับที่ว่ามาซ้อมสายโดยมีรายงานว่าสาเหตุมาจากการติดเกมฟีฟ่าซะอย่างนั้น ปั๊ดโถ่ !

 

อัชราฟ ฮาคิมี่ (โมร็อคโก)

 

 

ฟูลแบ็กจอมบุกทีมชาติโมร็อกโกรายนี้ เป็นเด็กปั้นของ เรอัล มาดริด ซึ่งอยู่กับทีมมาตั้งแต่ทีมเยาวชนร่วม 10 ปีเต็ม แต่ที่แจ้งเกิดจริงๆ มันคือ 2 ฤดูกาลหลังสุดที่เขามาค้าแข้งกับทัพ “เสือเหลือง” นี่เอง

 

 

ภายใต้การคุมทัพของ ลูเซียน ฟาฟร์ เขาทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง และในฤดูกาลแรกก็ได้โอกาสลงสนามไปถึง 21 นัด จนกระทั่งฤดูกาลที่ผ่านมา ฮาคิมี่ ได้กลายเป็นนักเตะที่ทีมจะขาดไม่ได้อีกแล้ว ก่อนจะลงเล่นถึง 33 แมตช์ เรียกว่าพลาดลงสนามเพียงนัดเดียวเท่านั้น พร้อมกันนี้ยังยิงได้ถึง 5 ประตู กับ 10 แอสซิสต์ จนทีมจบด้วยตำแหน่งรองแชมป์บุนเดสลีกาด้วย

 

 

อย่างไรก็ตามหลังหมดสัญญาปัญหาเกิดคือ ดอร์ทมุนด์ ไม่ต้องการทุ่มเงินซื้อตัว ฮาคิมี่ ถาวรจาก มาดริด ขณะที่ เจ้าตัวก็ไม่ต้องการกลับไปเป็นสำรองที่ ซานติอาโก้ เบร์นาเบว อีกครั้ง จนทำให้ อินเตอร์ มิลาน ทีมแกร่งในกัลโช่ ตัดสินใจทุ่มเงินถึง 40 ล้านปอนด์ คว้าชิ้นปลามันนี้ไปครองในที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าจากการเล่นแล้ว เข้าทางปืน อันโตนิโอ คอนเต้ กุนซือของทีมแบบสุดๆ และน่าจับตามองว่าฤดูกาลหน้ ดาวเตะวัย 21 ปีรายนี้ จะไปได้ไกลแค่ไหนกับทัพ “เนรัซซูรี่”

 

คริสเตียน พูลิซิช (สหรัฐอเมริกา)

 

กัปตัน (ทีมชาติ) อเมริกา อำลากลุ่มอเวนเจอร์สหลังปราบธานอส มาร่วมทีมเยาวชนของ ดอร์ทมุนด์ ตั้งแต่ปี 2015 ด้วยวัยเพียง 16 ปีในเวลานั้น ก่อนที่จะใช้เวลาเพียง 6 เดือน พิสูจน์ว่าตัวเองแน่พอที่จะก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ ในเดือน ม.ค. ปี 2016 ก่อนจะก้าวขึ้นมาเป็นแข้งกำลังสำคัญต่อจากนั้น

 

 

ฟอร์มของ พูลิซิช ยอดเยี่ยมและได้รับโอกาสลงสนามอย่างต่อเนื่อง ก่อนที่เขาจะทำไป 19 ประตู จาก 127 เกมให้กับ จนกระทั่งเมื่อปีที่แล้ว ฟอร์มไปกระแทกตาสโมสร “สิงห์บูล์ส” เชลซี เข้าอย่างจัง และเชื่อว่าเจ้าหนูรายนี้แหละที่จะก้าวขึ้นมาเป็นตัวแทน เอแดน อาซาร์ ได้อย่างแน่นอน จนทีมตัดสินใจทุ่มเงินถึง 58 ล้านปอนด์ เพื่อซื้อตัวมาร่วมทัพในช่วงต้นปีที่แล้ว แต่ปล่อยให้ทัพ “เสือเหลือง” ใช้งานไปก่อนจนจบฤดูกาล

 

 

จนกระทั่งฤดูกาลนี้ พูลิซิช ได้ร่วมทัพ เชลซี เต็มตัว แม้ช่วงแรกเขาจะยังอยู่ในการปรับตัวร่วมกับทีมของ แฟรงค์ แลมพาร์ด แต่นับตั้งแต่พรีเมียร์ลีก กลับมาเตะหลังโควิด-19 ดาวเตะวัย 21 ปี ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาดีพอที่จะก้าวมาเป็นซูเปอร์สตาร์คนใหม่ของทีมอย่างเต็มตัว

 

 

ชินจิ คางาวะ (ญี่ปุ่น)

 

ในยุครุ่งอรุณของแข้ง “ซามูไร” ในดินแดนลูกหนังเยอรมนี ชินจิ คางาวะ ได้ย่างก้าวออกจากสโมสร เซเรโซ่ โอซาก้า สโมสรที่เขาค้าแข้งด้วยตั้งแต่อยู่ใน เจลีก 2 มาร่วมทัพ ดอร์ทมุนด์ ในปี 2010 ด้วยค่าตัวเพียง 300,000 ปอนด์ พร้อมคำถามตัวโตๆว่า ดีพอจะเล่นในลีกยักษ์ใหญ่แห่งนี้หรือมาเพียงสร้างกระแสแฟนบอลในเอเชียเท่านั้น

 

แต่เพียงฤดูกาลแรก เขาก็แสดงให้เห็นว่าตัวเองมีของแค่ไหนเมื่อมีชื่อติดทีมยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลของศึก บุนเดสลีกา ทั้งที่ได้รับบาดเจ็บหนักในช่วงครึ่งฤดูกาลหลังด้วยซ้ำ จนกระทั่งในฤดูกาลต่อมา ฟอร์มของเขายังคงเฉิดฉายต่อเนื่อง และเป็นกำลังสำคัญพาทีมก้าวทะยานคว้าดับเบิ้ลแชมป์ทั้ง บุนเดสลีกา และ เดเอฟเบ โพคาล นั่นทำให้เห็นว่าแข้งจากญี่ปุ่น รายนี้ไม่เป็นรองใครหน้าไหนทั้งนั้น

 

 

นั่นทำให้ฟอร์มของเขาไปสะดุดตา เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กุนซือ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เดินทางไปชมด้วยตัวเอง ก่อนจะตัดสินใจทุ่มเงินถึง 17 ล้านปอนด์คว้าตัวมาร่วมทัพ และนั่นทำให้ชื่อเสียงของ คางาวะ โด่งดังสุดๆ โดยเฉพาะแฟนบอลชาวญี่ปุ่น ที่แทบจะย้ายประเทศไปอยู่ที่สนาม โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด กันเลยทีเดียว

 

ผลงานฤดูกาลแรกของเขากับ ยูไนเต็ด เป็นไปดั่งฝันเมื่อยิงไปถึง 6 ประตู พร้อมทำ 6 แอสซิสต์ จาก 26 เกมที่ลงสนาม จนกลายเป็นแข้งญี่ปุ่นคนแรกในประวัติศาสตร์ ที่คว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ได้สำเร็จ แต่เมื่อ ท่านเซอร์ ประกาศรีไทร์ ในฤดูกาลต่อมาเขาก็ต้องอำลาทีมเมื่อปี 2014 และกลับมาอยู่ดอร์ทมุนด์ อีกครั้ง แต่ผลงานกลับไม่ดีเช่นเดิม จนถูก เบซิคตัส ยืม

 

ตัวไปร่วมทีม ก่อนที่ในปัจจุบันจะย้ายมาค้าแข้งกับ เรอัล ซาราโกซ่า ในลาลีกา สเปน ทำให้เขากลายเป็นแข้งเอเชีย ที่ได้เล่นถึง 3 ลีกใหญ่ในยุโรปเลยทีเดียว

มาริโอ เกิตเซ่ (เยอรมนี)

 

 

ฮีโร่ของทีมชาติ เยรอมนี ผู้ยิงประตูชัยในช่วงต่อเวลาพิเศษ ในเกมนัดชิงฟุตบอลโลก 2014 รายนี้ เติบโตขึ้นมาจากอคาเดมีของ ดอร์ทมุนด์ ก่อนถูก เยอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือในสมัยนั้น ดันขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ในปี 2009 ในวัยเพียง 17 ปี ซึ่งเขาพัฒนาฝีเท้าแบบก้าวกระโดดจนยึดตำแหน่งตัวจริงในฤดูกาลต่อมา ก่อนที่จะคว้ารางวัล โกลเด้นบอย ในปี 2011 ท่ามกลางสายตาแฟนบอลทั่วโลกที่จับจ้องความอัจฉริยะของเจ้าหนูรายนี้ และเชื่อมั่นว่าจะต้องก้าวขึ้นมาเป็นแข้งระดับโลกในอนาคตอย่างแน่นอน จนกระทั่งในปี 2013 เขาตัดสินใจย้ายไปร่วมทัพ บาเยิร์น มิวนิค แบบไร้ค่าตัว

 

 

ปรากฏว่าใน 2 ฤดูกาลแรก เกิตเซ่ ทำผลงานยอดเยี่ยมให้ทัพ “เสือใต้” และเป็นกำลังสำคัญพาทีมคว้าแชมป์ 2 ฤดูกาลติดต่อกัน แต่แล้วในปี 2015 เขาต้องโชคร้ายสุดขีด เมื่อเจอปัญหาอาการบาดเจ็บรุมเร้าอย่างหนัก รวมไปถึงป่วยเป็นโรคระบบเผาผลาญบกพร่อง และต้องพักรักษาตัวแบบไร้กำหนด จนทำให้หลังกลับมาลงสนามได้อีกครั้ง ฟอร์มที่เคยมีนั้นหายไปอย่างน่าเสียดาย

 

 

จนในปี 2016 เกิตเซ่ กลับมาค้าแข้งกับ ดอร์ทมุนด์ อีกครั้ง แต่เขาก็ไม่ได้รับโอกาสลงสนามมากมายดั่งที่เคยเป็น และในฤดูกาลปัจจุบันก็กลายเป็นฤดูกาลสุดท้ายของเขากับทีม หลังมีการยืนยันออกมาแล้วว่าดาวเตะวัย 28 ปีนั้นจะไม่ถูกต่อสัญญาฉบับใหม่ออกไป และถูกปล่อยตัวฟรีในช่วงซัมเมอร์นี้

 

 

ปิแอร์ เอเมอริค โอบาเมยอง (กาบอง)

 

 

“เดอะ แบทแมน” ย้ายมา แซงต์ เอเตียน ทีมในลีกเอิง ฝรั่งเศส มาร่วมทัพ “เสือเหลือง” ในปี 2013 ด้วยค่าตัว 12 ล้านปอนด์ ซึ่งเวลานั้นในวัย 23 ปี เขายังไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรมากมายนัก

 

 

แต่ด้วยความที่ โอบาเมยอง นั้นสามารถปรับตัวเข้ากับเพื่อนร่วมทีมได้อย่างรวดเร็ว และยังสามารถทำประตูได้ตั้งแต่เกมแรกที่ได้รับโอกาสในการลงสนาม ทำให้หลังจากนั้น เขาลงเล่นด้วยความมั่นใจและพัฒนาฝีเท้าแบบฉุดไม่อยู่ จนกลายเป็นกองหน้าเบอร์ 1 ของทีม พร้อมกับซัดไปถึง 98 ประตูจากการลงสนาม144 เกมตลอดระยะเวเลา 5 ปีที่อยู่กับทีม

 

 

พร้อมกันนี้ โอบาเมยอง ก็ยังกลายเป็นขวัญใจแฟนบอล จากการที่เวลายิงประตูเข้า เขาชอบทำท่าดีใจแปลกๆ ไม่ว่าจะเป็นการตีลังกา และที่จำกันได้ติดตาคือสวมหน้ากากแบทแมน ร่วมกับ มาร์โก รอยส์ ที่สวมหน้ากาก โรบิน กลายเป็นคู่หูมหาประลัยในเวลานั้น

 

 

จนกระทั่งในปี 2018 เขาตัดสินใจครั้งสำคัญด้วยการอำลาทีมย้ายมาค้าแข้งกับ “ไอ้ปืนใหญ่” อาร์เซน่อล ซึ่งฟอร์มการถล่มประตูของดาวยิงกาบองรายนี้ก็ยังไม่จางหายไป และกลายเป็นดาวซัลโวพรีเมียร์ลีก เมื่อฤดูกาลที่แล้ว จนถึงเวลานี้ก็ก้าวขึ้นมาเป็นกัปตันทีมเต็มตัว แต่ที่น่าสนใจคือเวลานี้ เจ้าตัวยังไม่ต่อสัญญากับทีมออกไป และมีทีท่าว่าจะย้ายสโมสรอีกครั้งหลังจบฤดูกาลนี้

 

                                               DaboyG