คุ้นหูกันทั้งนั้น: 7 ยอดแข้งผลผลิตจากล็องส์

คุ้นหูกันทั้งนั้น: 7 ยอดแข้งผลผลิตจากล็องส์

หนึ่งในทีมที่ก้าวขึ้นมาทำผลงานได้อย่างน่าเซอร์ไพรส์ใน 5 ลีกใหญ่ของยุโรป หลายคนคงนึกถึง อูนิโอน เบอร์ลิน ของศึกบุนเดสลีกา เยอรมัน สอดแทรกขึ้นมาเป็นทีมลุ้นแชมป์ร่วมกับ บาเยิร์น มิวนิค และโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์

แต่ที่ลีกเอิง ของฝรั่งเศส ก็มีอีกหนึ่งทีมที่สร้างเซอร์ไพรส์ไม่แพ้กันนั่นคือ ล็องส์ สโมสรที่เลื่อนชั้นขึ้นมาบนลีกสูงสุดใช้เวลาแค่ 2 ฤดูกาล ก็โผล่พรวดขึ้นมาก้าวเป็นทีมลุ้นแชมป์ซะอย่างงั้น 

จริง ๆ แล้ว พวกเขาถือว่าเป็นทีมเก่าแก่ของวงการฟุตบอลฝรั่งเศส ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1906 มีอายุมากกว่าทีมที่ครองความยิ่งใหญ่ในปัจจุบันอย่าง ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ถึง 65 ปี

แต่พวกเขาเคยคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของประเทศฝรั่งเศสได้เพียงแค่สมัยเดียวเท่านั้นคือฤดูกาล 1997-98 และจบด้วยการเป็นรองแชมป์ถึง 4 ครั้ง

วันนี้ UfaArena จะพาทุกท่านไปย้อนอดีตส่องดูว่ามียอดแข้งคนใดบ้างที่เคยค้าแข้งให้กับ ล็องส์ เรียกได้ว่าได้ยินชื่อแล้วรู้สึกคุ้นหนูทั้งนั้น

๐ เอล ฮัดจิ ดิยุฟ (2000-2002)

แนวรุกจอมถุยรายนี้เคยเป็นนักเตะของสโมสรแห่งนี้มาก่อนในช่วงปี 2000-2002 ผลงานของเขาโดดเด่นจนผงาดคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของทวีปแอฟริกาในปี 2001 โดยจะไปดังเป็นพลุแตกในศึกฟุตบอลโลก 2002 ด้วยการพาทีมชาติเซเนกัล ที่ไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน ทะลุเข้าถึงรอบก่อนรองชนะเลิศ ทำให้เขากลายเป็นเป้าหมายในการเสริมทัพของหลายสโมสรในยุโรป

เขาอยู่กับ ล็องส์ ได้เพียงแค่ 2 ฤดูกาลเท่านั้น ก่อนจะย้ายมาร่วมทีม “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ในยุคที่มี “ดร.ฮู” เชราร์ อุลลิเยร์ คุมทีม ชอบถึงขั้นปฏิเสธการเซ็นสัญญาถาวรกับ นิโกลาส์ อเนลก้า และเลือกไอ้หนุ่มจากแอฟริกันรายนี้ แต่การย้ายมาอยู่กับ “หงส์แดง” ถือว่าเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ ฟอร์มของเขาเริ่มดร็อปลงไป แถมยังมีเรื่องพฤติกรรมที่ไม่น่ารัก สร้างชื่อกระฉ่อนโลกด้วยการไปถุยน้ำลายใส่คู่แข่งรวมไปถึงแฟนบอล

ทัศนคติของเขาผิดเพี้ยนไม่เหมือนกับนักฟุตบอลอาชีพรายอื่น ๆ แทนที่จะโฟกัสในการซ้อมทำผลงานในสนาม แต่เจ้าตัวเลือกที่จะคุยโว โอ้อวด เล่นฟุตบอลเพื่อตัวเองไม่ได้เล่นเพื่อทีมหรือแฟนบอล แถมยังฟาดปากกับ สตีเว่น เจอร์ราร์ด กัปตันทีมอยู่บ่อย ๆ ดิยุฟ อยู่กับ ลิเวอร์พูล ได้เพียง 2 ปี จากนั้นก็พเนจรย้ายไปอยู่กับ โบลตัน, ซันเดอร์แลนด์, แบล็คเบิร์น ฯลฯ สโมสรสุดท้ายของเขาคือ ซาบาห์ ทีมในมาเลเซีย 

๐ มาร์ค วิเวียน โฟเอ้ (1994-1999)

อดีตมิดฟิลด์ทีมชาติแคเมอรูน ย้ายจาก แคนนอน ยาอุนเด้ ทีมในบ้านเกิดมาค้าแข้งในประเทศฝรั่งเศสกับ ล็องส์ เมื่อช่วงปี 1994 เขาเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่อยู่ในชุดประวัติศาสตร์ของสโมสร ผงาดคว้าแชมป์ดิวิชั่น 1 เดิม หรือลีกเอิง ฝรั่งเศส ในปัจจุบัน เมื่อฤดูกาล 1997-98 หลังจากนั้นเขาเลือกหาความท้าทายใหม่ ๆ ย้ายมาค้าแข้งในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ กับ “ขุนค้อน” เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ในช่วงซัมเมอร์ปี 1999

ชื่อของเขาโดดเด่นขึ้นเรื่อย ๆ แต่อยู่กับทีมได้เพียงแค่ 2 ปี ก็เลือกย้ายกลับไปเล่นในฝรั่งเศสให้ โอลิมปิก ลียง วิเวียน โฟเอ้ ต้องจบชีวิตลงอย่างน่าเศร้า จากเหตุการณ์สะเทือนวงการลูกหนัง หลังล้มหมดสติในการระหว่างการลงช่วยทีมชาติแคเมอรูน ทำศึกฟีฟ่า คอนเฟเดเรชั่น คัพ ในเกมรอบรองชนะเลิศ เมื่อปี 2003 ที่พบกับทีมชาติโคลอมเบีย การชันสูตรของแพทย์ระบุว่าเขามีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ 

เหตุการณ์นี้ถือเป็นเรื่องเศร้าที่ทำให้วงการฟุตบอลต้องหันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพของผู้เล่น มีการเตรียมพร้อมของทีมแพทย์สนาม ที่ต้องเข้าช่วยนักเตะให้ทันท่วงที สโมสร แมนฯซิตี้ ที่ยืมตัวเขามาร่วมทีมในช่วงเวลาสั้น ๆ และเสียชีวิตในระหว่างมีสัญญาอยู่กับทีม ได้ยกเลิกเบอร์เสื้อหมายเลข 23 ของสโมสร เพื่อเป็นเกียรติแก่เขา รวมไปถึง ล็องส์ และโอลิมปิก ลียง สโมสรที่เจ้าตัวเคยเล่นก็ยกเลิกหมายเลข 17 เช่นกัน 

๐ วลาดิเมียร์ ซมิเซอร์ (1996-1999)

แนวรุกทีมชาติสาธารณรัฐเช็ก เป็นหนึ่งในขุนพลของทีมชุดประวัติศาสตร์เช่นเดียวกับ มาร์ค วีเวียน โฟเอ้ เขาย้ายจากสปาร์ต้า ปราก ทีมในบ้านเกิดมาอยู่กับ ล็องส์ เมื่อปี 1996 หลังจบศึกฟุตบอลยูโร 1996 ที่ประเทศอังกฤษเป็นเจ้าภาพ ซึ่งสาธารณรัฐเช็กเป็นม้ามืดสามารถทะลุเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศก่อนจะไปพ่ายให้กับ “อินทรีเหล็ก” ทีมชาติเยอรมนี 

การย้ายมาอยู่เล่นกับทีมในฝรั่งเศส เขากลายเป็นตัวหลักของทีมทันที คว้าแชมป์ลีกเอิง ได้ 1 สมัย รวมไปถึงบอลถ้วยอีก 1 สมัย จากนั้นในช่วงซัมเมอร์ปี 1999 เขาย้ายไปค้าแข้งในพรีเมียร์ลีก อังกฤษกับ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ด้วยค่าตัว 4.2 ล้านปอนด์ หวังเข้ามาเป็นตัวแทนของ “แม็คก้า” สตีฟ แม็คมานามาน ไปเลือกย้ายไปอยู่กับ “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด พร้อมสวมเสื้อหมายเลข 7 ก่อนจะเปลี่ยนมาใช้เบอร์ 11 ในเวลาต่อมา

 “นี่คือฝันที่กลายเป็นจริงของผมในการย้ายมาอยู่กับ ลิเวอร์พูล ผมเชียร์สโมสรแห่งนี้มาตั้งแต่เด็ก” ซมิเซอร์ กล่าวตอนเซ็นสัญญาเมื่อปี 1999

ซมิเซอร์ ประสบความสำเร็จกับ ลิเวอร์พูล ด้วยการคว้าแชมป์หลายรายการ ทั้ง เอฟเอ คัพ, ลีก คัพ, ยูฟ่า คัพ รวมไปถึง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในเกม “ปาฏิหาริย์ อิสตันบูล” ที่พลิกกลับมาเอาชนะ “ปีศาจแดงดำ” เอซี มิลาน โดยเขาเป็นคนยิงประตูให้ทีมไล่มาเป็น 2-3 หลังตามหลัง 0-3 ในช่วงครึ่งแรก เขาเลือกเล่นฟุตบอลไปเมื่อปี 2010 ก่อนจะหันหน้าไปเล่นการเมือง ลงสมัครเลือกตั้งในประเทศบ้านเกิด

๐ ราฟาเอล วาราน (2010-2011)

แนวรับทีมชาติฝรั่งเศส ที่ถือว่าเป็นลูกหม้อของล็องส์ เขาก้าวมาจากทีมเยาวชนขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่ด้วยวัยเพียงแค่ 17 ปีเท่านั้น สร้างความประทับใจเป็นอย่างมาก จนรุ่นพี่ในทีมชาติอย่าง ซีเนอดีน ซีดาน ที่ตอนนั้นทำงานคุมทีมเยาวชนของ “ราชันชุดขาว” เรอัล มาดริด ยืนยันอย่างหนักแน่นกับบอร์ดบริหารว่าต้องไปคว้าตัวดาวรุ่งรายนี้มาให้ได้ แต่ในตอนนั้นต้องแย่งชิงกับ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

สุดท้ายกลายเป็น เรอัล มาดริด ที่ได้ลายเซ็นคว้าตัวเขาไปร่วมทีม อยู่กับล็องส์ ได้เพียงแค่ปีก็ได้ย้ายทีมแบบก้าวกระโดด วาราน พัฒนาฝีเท้าขึ้นมาอย่างโดดเด่นด้วยหน่วยก้านที่สูงแถมยังมีความเร็ว ประสบความสำเร็จกับ “ลอส บลังโกส” อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยการคว้าแชมป์ในทุกรายการที่ลงเล่น รวมไปถึงแชมป์ฟุตบอลโลกกับทีมชาติฝรั่งเศสในปี 2018 ด้วย 

ก่อนจะย้ายออกจาก เรอัล มาดริด มาอยู่กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อช่วงซัมเมอร์ปี 2021 ถือว่าเป็นตัวหลักของทีม เรียกได้ว่าเป็นผู้เล่นที่แจ้งเกิดและประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว เพราะปัจจุบันเขาเพิ่งจะอายุเพียง 29 ปีเท่านั้น แต่ก็เลือกที่จะรีไทร์หันหลังให้กับทีมชาติฝรั่งเศส ด้วยเหตุผลที่ว่าเดี๋ยวนี้โปรแกรมการแข่งขันนั้นอัดแน่นมากเกินไป 

เชฟเฟรย์ กงด็อกเบีย (2010-2011)

มิดฟิลด์ตัวรับที่ขึ้นมาจากทีมเยาวชนพร้อม ๆ กับ ราฟาเอล วาราน และธอร์ก็อง อาซาร์, แซร์ก ออริเย่ร์ กงด็อกเบีย เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่มีฝีเท้าโดดเด่น อยู่กับล็องส์ เพียงแค่ 2 ปี หลังจากนั้นย้ายไปอยู่กับ เซบีญ่า ด้วยค่าตัว 3 ล้านยูโร ซึ่งตอนนั้นเขาอายุ 19 ปี ชีวิตของเขาในสเปน ถือว่าราบรื่นสุด ๆ ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม

แต่ก็อยู่กับทีมได้แค่ฤดูกาลเดียวเพราะ โมนาโก ทีมในบ้านเกิดยอมควักเงิน 20 ล้านยูโร คว้าตัวกลับไปร่วมทีม เส้นทางชีวิตของเขากำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น มีโอกาสได้ย้ายไปอยู่กับทีมใหญ่อย่าง อินเตอร์ มิลาน ในปี 2015 แต่กลับทำผลงานได้น่าผิดหวัง หลุดจากทีมชาติฝรั่งเศส ชุดใหญ่แบบถาวร ไม่เคยถูกเรียกตัวไปติดทีมอีกเลยนับตั้งแต่ปี 2015 จนต้องย้ายสัญชาติไปเล่นให้กับทีมชาติแอฟริกากลาง ตามสายเลือดของบรรพบุรุษ 

ปัจจุบัน เชฟเฟรย์ กงด็อกเบีย ในวัย 30 ปี ค้าแข้งอยู่กับ “ตราหมี” แอตเลติโก้ มาดริด ในศึกลาลีกา สเปน เขาได้ลงสนามอย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าจะไม่ค่อยได้ออกสตาร์ทตัวจริง แต่ถือว่าเป็นหนึ่งในนักเตะที่ ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ เลือกใช้งานอยู่เป็นประจำ 

๐ เซย์ดู เกอิต้า (2002-2007)

อีกหนึ่งยอดแข้งในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับที่เคยเล่นให้กับล็องส์ ดาวเตะทีมชาติมาลี เป็นเด็กในอคาเดมี่ของ โอลิมปิก มาร์กเซย์ แต่ไม่สามารถแจ้งเกิดในทีมชุดใหญ่ จนต้องย้ายออกไปอยู่กับ ลอริยองต์ พาทีมเลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นบนลีกสูงสุดของฝรั่งเศส และผงาดคว้าแชมป์บอลถ้วยเฟร้นช์ ลีก คัพ ก่อนจะย้ายมาอยู่กับ ล็องส์ เมื่อปี 2002 

เขาอยู่กับสโมสรแห่งนี้ถึง 5 ฤดูกาลลงเล่นไป 157 เกม ยิงได้ 19 ประตู ในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวรับได้แชมป์อินเตอร์ โตโต้ คัพ ในปี 2005 ด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมทำให้ เซบีญ่า ยอดทีมจากสเปนตัดสินใจคว้าตัวเขาไปร่วมทีมด้วยค่าตัว 4 ล้านยูโร ในปี 2007 ทีมดังแห่งแคว้นอันดาลูเซีย ทำให้เขาแจ้งเกิด อยู่กับทีมได้แค่ฤดูกาลเดียว ฟอร์มไปเข้าตา เป๊บ กวาร์ดิโอล่า ที่ในตอนนั้นก้าวขึ้นมานั่งตำแหน่งกุนซือ “เจ้าบุญทุ่ม” บาร์เซโลน่า แบบเต็มตัว

ตัดสินใจซื้อ เซย์ดู เกอิต้า จากเซบีญ่า มาร่วมทีมด้วยค่าตัว 14 ล้านยูโร ซึ่งเขาเป็นตัวหลักของทีมในแดนกลางได้ลงเล่นอย่างสม่ำเสมอ คว้าแชมป์ลาลีกา สเปน 3 สมัย โกปา เดล เรย์ และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อีก 2 สมัย

๐ อเดล ทารับต์ (2006-2007)

สุดยอดจอมทัพพรสรรค์สูง เกิดที่โมร็อคโก ก่อนที่ครอบครัวของเขาจะอพยพมาอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส เริ่มเล่นฟุตบอลกับทีมเยาวชนของล็องส์ เมื่อปี 2004 ก่อนจะก้าวขึ้นมาเล่นชุดใหญ่ในปี 2006 แต่ได้ลงเล่นไปแค่ 1 เกมเท่านั้น ด้วยการที่เขาโดดเด่นมาตั้งแต่ทีมเยาวชน ทำให้ “ไก่เดือยทอง” ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ทีมดังจากพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ด้วยสัญญายืมตัวก่อนจะซื้อขาด

แต่การค้าแข้งในถิ่นไวท์ ฮาร์ท เลน ไม่ค่อยราบรื่นเท่าไหร่ จนสุดท้ายต้องย้ายออกไปอยู่กับ “ทหารเสือราชินี” ควีนส์ ปาร์ค เรนเจอร์ส ซึ่งถือว่าเป็นสโมสรที่เขาทำผลงานได้โดดเด่นที่สุดในการเล่นฟุตบอลอาชีพ พาทีมเลื่อนชั้นกลับมาเล่นในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ 

น่าเสียดายที่ อเดล ทารับต์ ไปไม่สุดทั้งที่ฝีเท้าของเขายอดเยี่ยมได้มีโอกาสไปอยู่กับ เอซี มิลาน ด้วยสัญญายืมตัวระยะสั้น แต่ก็ไม่ได้ไปต่อ ปัจจุบัน ทารับต์ ในวัย 33 ปี ยังเล่นฟุตบอลอาชีพอยู่ไปหากินกับทีมแถบตะวันออกกลาง อยู่กับ อัล นาสเซอร์ ในประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ คนละทีมกับอัล นาสเซอร์ ของคริสติอาโน่ โรนัลโด้ อันนั้นจากซาอุดีอาระเบีย