จากเทพนิยายสู่ปัจจุบัน :เมื่อ วาร์ดี้ ยังคงพาเลสเตอร์บินสูง

 

“อาจจะไม่มีการเสริมทัพครั้งไหนที่ดีไปกว่าการที่ วาร์ดี้ ย้ายจาก ฟลีทวู้ด ทาวน์ ไปอยู่กับ เลสเตอร์ อีกแล้ว ผมไม่ได้พูดถึงแค่เฉพาะในยุค พรีเมียร์ลีก เท่านั้น แต่หมายถึงในระดับประวัติศาสตร์ของวงการฟุตบอลด้วย”

 

 

คำกล่าวยกย่องของ เจมี่ คาร์ราเกอร์ อดีตปราการหลังระดับตำนานของ ลิเวอร์พูล ที่มอบให้กับ เจมี่ วาร์ดี้ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาดูเหมือนจะไม่เกินความจริงแต่อย่างใดนะครับ หากดูถึงผลงานที่ ดาวยิงทีมชาติอังกฤษ วัย 34 ปีรายนี้สร้างให้กับสโมสร “จิ้งจอกสีน้ำเงิน” มาจนถึงปัจจุบัน  

 

 

 9 ปีที่แล้วเลสเตอร์ ได้ตัว วาร์ดี้ มาจาก ฟลีทวู้ด ทาวน์ เมื่อปี 2012 ด้วยค่าตัวเพียง 1 ล้านปอนด์  โดยตอนนั้นทัพ “จิ้งจอกสีน้ำเงิน” ยังอยู่ในระดับ เดอะ แชมเปี้ยนชิพ ส่วน ฟลีทวู้ด เล่นอยู่ในระดับนอกลีก ซึ่งหลังจากนั้นเป็นต้นมาแข้งวัย 34 ปีก็กลายเป็นแกนหลักของทีมมาโดยตลอด  พร้อมกันนี้ยังพาทีมสร้างเทพนิยายจิ้งจอก คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก มาครองได้สำเร็จเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสรเมื่อปี 2016 

 

 

                จากวันที่ชูถ้วยแชมป์ในตอนนั้น ผ่านมาจวบจนวันนี้ 5 ปีเข้าไปแล้ว แต่ผลงานของ วาร์ดี้ นั้นก็ยังคงไม่เปลี่ยนไป เมื่อเขายังคงสามารถเป็นแกนหลักของทีมได้จนถึงในปัจจุบัน อย่างเมื่อฤดูกาลที่แล้ว ก็เพิ่งคว้าดาวซัลโวด้วยการซัดไป23 ประตู   มากกว่า ปิแอร์-เอเมอริก โอบาเมยอง ของ อาร์เซนอล) กับ แดนนี อิงส์ ของเซาธ์แฮมป์ตัน ที่ยิงเท่ากันที่ 22 ประตู

 

 

 จนฤดูกาลนี้ ดาวยิงความเร็วสูง ก็ยังคงแสดงให้เห็นว่าอายุที่เพิ่มขึ้น ไม่สามารถทำอะไรเขาได้เลย เพราะจากประตูในเกมล่าสุดที่ช่วยทัพ “จิ้งจอก” เปิดบ้านทุบ ลิเวอร์พูล 3-1 ทำให้เขาซัดไปแล้วถึง 12 ประตู ได้ลุ้นดาวซัลโวอีกหนึ่งฤดูกาล หลังเวลานี้ตามหลังดาวยิงจากอีกหลายสโมสรที่ซัดเท่ากันที่ 13 ประตู เพียงลูกเดียวเท่านั้น และเป็นรอง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ดาวซัลโวในเวลานี้อยู่เพียง 4 ประตูเท่านั้น

 

 

                อีกสิ่งที่น่าสนใจคือตลอดระยะเวลาที่เขาค้าแข้งในถิ่น คิงเพาเวอร์ สเตเดี้ยม วาร์ดี้ นั้นสามมารถยิงประตูใส่ทีมระดับบิ๊กซิกส์ในพรีเมียร์ลีกได้เสมอ และด้านล่างนี้คือการซัลโวของเขากับทีมเหล่านั้น

 

 

11 ประตู ในการยิง อาร์เซน่อล

8 ประตู ในการยิง ลิเวอร์พูล

8 ประตู ในการยิง แมนเชสเตอร์ ซิตี้

6 ประตู ในการยิง สเปอร์ส

4 ประตู ในการยิง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

3 ประตู ในการยิง เชลซี

 

 

                40 ประตูที่ วาร์ดี้ ทำได้คือผลงานที่ยอดเยี่ยมเหนือกว่านักเตะของสโมสรไหนๆในพรีเมียร์ลีก  นั่นคือสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าไม่ว่าเขานั้นไม่ได้เก่งเฉพาะกับการเจอทีมเล็กเท่านั้น  

 

 

 นอกจากนั้น ในฤดูกาลนี้ ดาวยิงวัย 34 ปียังแสดงให้เห็นว่าตัวเขายังสำคัญสำหรับทีมมากแค่ไหน เพราะเมื่อช่วงเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา ที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดไส้เลื่อน และปรากฏว่าทัพ “จิ้งจอกสีน้ำเงิน” ของ เบรนแดน ร็อดเจอร์ส นั้นสามารถคว้าชัยได้เพียงเกมเดียวเท่านั้น จากการลงสนามทั้ง 4 นัด   

 

สิ่งที่น่าประทับใจในอาชีพค้าแข้งของ วาร์ดี้ คือวิธีการเล่นของเขาที่เต็มไปด้วยประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะอยู่ภายใต้การคุมทีมของโค้ชคนใดไล่ตั้งแต่ เคลาดิโอ รานิเอรี่ จวบจนมาถึง เบรนแดน ร็อดเจอร์ส กุนซือคนปัจจุบัน เขาสามารถปรับตัวเขากับแท็กติกของโค้ชคนนั้นได้เสมอ

 

 

ถึงเวลานี้ เลสเตอร์ ทำแต้มทิ้งห่างแชมป์เก่าอย่าง ลิเวอร์พูล ออกไปแล้ว 6 คะแนน พร้อมขึ้นนำจ่าฝูงพรีเมียร์ลีก ร่วมกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่คว้าชัยมา 15 นัดติดต่อกันในทุกรายการ ซึ่งไม่ว่าฤดูกาลนี้พวกเขาจะสร้างเทพนิยายภาค 2 ได้เหมือนกับที่เคยทำไว้เมื่อ 5 ปีที่แล้วได้หรือไม่  แต่สิ่งหนึ่งที่จะถูกพูดถึงต่อไปได้ก็คือผลงานที่ วาร์ดี้ ยังคงสร้างให้กับทีมจากวันนั้นจนถึงวันนี้

 

เราสามารถคุยกันถึงเรื่องการย้ายทีมของนักเตะที่สามารถเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ของสโมสรนั้นๆไปได้ ไม่ว่าจะเป็น เอริค คันโตน่า ที่ย้ายจาก ลีดส์ ไป แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ,เดนนิส เบิร์กแคมป์  ย้ายจาก อินเตอร์ มิลาน ไป อาร์เซน่อล หรือ ยาย่า ตูเร่ ย้ายจาก บาร์เซโลน่า มา แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ เวอร์กิล ฟาน ไดค์ ย้ายจาก เซาธ์แฮมป์ตัน มา ลิเวอร์พูล

 

 

แต่หากดูจากสิ่งที่ วาร์ดี้ มอบให้ทัพ “เดอะฟ็อกซ์” ตั้งแต่วันแรกจนถึงเวลานี้ ผลงานที่ออกมาจึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเขาถึง ได้รับการยกย่องจาก คาราเกอร์ ให้เป็น หนึ่งในการซื้อขายที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก

 

 

และเชื่อว่าต่อจากนี้เราจะยังได้เห็นอะไรดีๆจากยอดดาวยิงทีมชาติอังกฤษรายนี้อีกแน่นอน

 

 

 

                                                           DaboyG