จากเบรดี้ถึงโรนัลโด้ : เมื่อเกลเซอร์หวังประสบความสำเร็จอีกครั้งด้วย “ราชาที่เตรียมลงจากบัลลังก์”

โรนัลโด้ เบรดี้ เกลเซอร์

เบื้องหลังภารกิจพา คริสเตียโน่ โรนัลโด้ กลับบ้าน… นอกจาก โอเล่ กุนนาร์ โซลชา , ทีมงานซื้อขาย และ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน แล้ว อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ดีลในฝันนี้เกิดขึ้นได้คือตระกูลเกลเซอร์ เจ้าของสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

ตามรายงานจาก Telegraph และ Manchester Evening News งานนี้ตระกูลเกลเซอร์ไม่ได้แค่ทำหน้าที่อนุมัติ แต่พวกเขาเข้ามามีส่วนร่วมด้วย โดยสาเหตุสำคัญที่ทำให้เจ้าของทีมปีศาจแดงอยู่เฉยไม่ได้ เป็นเพราะในช่วงเวลานั้น กองหน้าวัย 36 ปีกำลังจะย้ายไปล่าตาข่ายให้กับเพื่อนบ้านผู้น่ารำคาญอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้

“ผมคิดว่าเรามีโอกาสที่ดี และมีโอกาสมากด้วย” แฟร์นันดินโญ่ บอกกับ ESPN เมื่อถูกถามว่า โรนัลโด้ ใกล้เคียงกับการย้ายมาสวมเสื้อเรือใบสีฟ้าขนาดไหน

“ผมคิดว่าเอเยนต์ของเขามาที่สโมสรเพื่อต่อสัญญากับ เอแดร์ซอน , รูเบน ดิอาส และดูสถานการณ์ของ แบร์นาร์โด้ ซิลวา , เจา กานเซโล่ ชัดเจนว่าเมื่อคุณอยู่บนโต๊ะเจรจา คุณสามารถพูดคุยได้ทุกเรื่อง และนักเตะทุกคนที่เป็นไปได้”

ปฏิเสธไม่ได้ว่าเหตุผลด้านธุรกิจคือสิ่งที่อยู่ในหัวของตระกูลเกลเซอร์ ใครๆก็รู้ว่ามูลค่าทางการตลาดของสตาร์ชาวโปรตุกีสสูงลิบขนาดไหน การันตีได้จากการที่หุ้น แมนฯ ยูไนเต็ด ทะยานขึ้นถึง 8% หลังการประกาศคว้าตัวอย่างเป็นทางการ หรือยอดขายเสื้อที่ทำเงินทั่วโลกไปถึง 187.1 ล้านปอนด์ ซึ่งมากกว่ายอดขายเสื้อของ ลิโอเนล เมสซี่ กับ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง ที่ย้ายทีมในช่วงซัมเมอร์เดียวกันถึง 83.3 ล้านปอนด์ (จากการเปิดเผยโดย lovethesales.com เมื่อวันที่ 10 กันยายน)

แต่ถึงกระนั้น Telegraph ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าความสำเร็จในสนามก็เป็นสิ่งที่ตระกูลเกลเซอร์อยากเห็นเช่นกัน เจ้าของทีมปีศาจแดงมองว่าดีลนี้คล้ายกับเคสของ ทอม เบรดี้ ที่เข้ามาพาอีกหนึ่งทีมกีฬาที่พวกเขาถือครองอยู่อย่าง แทมป้าเบย์ บัคคาเนียร์ส คว้าแชมป์ซูเปอร์โบวล์ได้สำเร็จเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมาในวัย 43 ปี

หลายคนที่คลุกคลีอยู่แค่ในวงการลูกหนังอาจจะสงสัยว่า เบรดี้ เป็นใคร? ไม่ต้องห่วง… อ่านต่อได้เลย

เบรดี้ คือผู้เล่นที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่วงการอเมริกันฟุตบอลเคยมีมา หลังจากคว้าแชมป์ซูเปอร์โบวล์มาแล้วถึง 7 สมัย รวมถึงคว้ารางวัล MVP ของซูเปอร์โบวล์อีก 5 ครั้ง ซึ่งในประวัติศาสตร์ไม่เคยมีผู้เล่นคนไหนที่มีแหวนแชมป์ซูเปอร์โบวล์มากเท่ากับเขา ถ้าให้เปรียบเทียบกับวงการลูกหนัง เจ้าตัวก็น่าจะมีสถานะเดียวกับ โรนัลโด้ หรือ ลิโอเนล เมสซี่ นั่นแหละ

ควอเตอร์แบ็คผู้เป็นผลผลิตจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน ถูก นิว อิงแลนด์ เพเทรียตส์ ดราฟท์เข้ามาสู่ NFL เมื่อปี 2000 โดยเขาอยู่เป็นสัญลักษณ์ของ “นักรบกู้ชาติ” มายาวนานถึง 20 ปี ก่อนที่จะตัดสินใจไม่ต่อสัญญากับทีมในปีที่แล้ว และย้ายมาสู่บ้านหลังใหม่อย่าง แทมป้าเบย์ บัคคาเนียร์ส พร้อมพา “โจรสลัดแดง” คว้าแชมป์ซูเปอร์โบวล์ได้ตั้งแต่ปีแรกที่เข้ามาร่วมทีม ด้วยการเอาชนะ แคนซัส ซิตี้ ชีฟส์ แชมป์เก่า ที่นำมาโดยสุดยอดควอเตอร์แบ็คในยุคนี้อย่าง แพทริค มาโฮมส์ ในรอบชิงชนะเลิศ

หากถามว่า เบรดี้ พลิกโฉมให้กับทีมขนาดไหน ก็ต้องบอกว่าก่อนหน้าที่เขาจะเข้ามา แทมป้าเบย์ บัคคาเนียร์ส คือทีมที่ไม่สามารถผ่านเข้าชิงซูเปอร์โบวล์ได้เลยนับตั้งแต่ปี 2002 ซึ่งเป็นปีที่พวกเขาคว้าแชมป์ครั้งแรก รวมถึงจบอันดับสุดท้ายในฤดูกาลปกติของสาย NFC ตลอด 7 จาก 9 ฤดูกาลหลังสุด

อย่างไรก็ตาม ภาระของ G.O.A.T. แห่งวงการคนชนคนไม่ได้จบแค่ในสนาม แต่อีกสิ่งที่ทำให้ตระกูลเกลเซอร์ยอมจ่ายระดับ 26 ล้านยูโรต่อปีให้กับผู้เล่นวัยใกล้ปลดเกษียณ คือเรื่องของผลกระทบในห้องแต่งตัวที่ทีมจะได้รับ

โดย มาร์ค กานิส ที่ปรึกษาด้านกีฬาของตระกูลเกลเซอร์ เคยกล่าวถึงการดึง เบรดี้ เข้ามาร่วมทีมว่า “เหตุผลส่วนหนึ่งที่พวกเขานำ เบรดี้ เข้ามา คือการสอนให้นักกีฬาดาวรุ่งชั้นยอดรู้ว่าการเป็นผู้ชนะต้องทำยังไง นั่นจะเป็นประโยชน์สำหรับปีต่อๆไป หลังจาก เบรดี้ เลิกเล่นไปแล้ว”

และใช่… หน้าที่ที่ โรนัลโด้ ต้องรับผิดชอบก็ไม่ต่างอะไรจาก เบรดี้

นอกจากการเป็นเครื่องจักรถล่มประตูแล้ว ภาพจำของดาวเตะเจ้าของบัลลงดอร์ 5 สมัยคือการมีทัศนคติที่น่ายกย่อง , ความเป็นมืออาชีพที่สูงปรี๊ด รวมถึงเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งความเป็นผู้ชนะ เขาคือนักเตะที่มักจะถูกยกมาเป็นแบบอย่างอยู่เสมอเมื่อพูดถึงสิ่งเหล่านี้ และด้วยความเป็น “โรนัลโด้” บางครั้งแค่ออร่าของเจ้าตัวก็สามารถสร้างอิมแพคให้กับเพื่อนร่วมทีมได้แล้ว

“เพื่อให้คุณเห็นตัวอย่างของผลกระทบที่เขามีต่อทีม นี่คือคืนวันศุกร์ที่โรงแรม (ก่อนเกมกับ นิวคาสเซิ่ล) อย่างที่พวกคุณรู้ เมื่อคุณกินอาหารเย็นเสร็จแล้ว และโดยปกติในคืนวันศุกร์ คุณจะแอบโกงเรื่องกินบ้าง คุณกินแอปเปิ้ลครัมเบิ้ลและคัสตาร์ด หรือคุณกินบราวนี่และครีมนิดหน่อย” ลี แกรนท์ นายทวารมือ 4 ของแมนฯ ยูไนเต็ด บอกกับ talkSPORT

“ผมบอกคุณได้เลยว่าไม่มีนักเตะคนไหนกล้าแตะแอปเปิ้ลครัมเบิ้ลและคัสตาร์ด , ไม่มีนักเตะคนไหนกล้าไปหยิบบราวนี่ ทุกคนนั่งลง เด็กคนหนึ่งพูดกับผมว่า อะไรอยู่ในจานของ คริสเตียโน่ บ้าง?’ ชัดเจนว่ามันเป็นอาหารที่คลีนที่สุด และดีต่อสุขภาพมากที่สุดเท่าที่คุณจะสามารถจินตนาการได้”

อย่างที่หลายคนรู้ เหตุผลสำคัญที่ทำให้ทั้ง โรนัลโด้ และ เบรดี้ ยืนระยะบนจุดสูงสุดได้นานเกินกว่ามาตรฐานของเพื่อนร่วมอาชีพ คือการดูแลตัวเองที่เพอร์เฟ็กต์ราวกับหลุดออกมาจากตำรา อย่างไรก็ตาม แม้ทั้งคู่จะรักษาร่างกายด้วยแนวทางที่ดีที่สุด แต่วิธีการของพวกเขาก็ค่อนข้างต่างกันพอสมควร เพื่อให้เหมาะสมกับกีฬาและสภาพวัยของตัวเอง

ในเรื่องการกินอาหาร โดยภาพรวมแล้วทั้งสองมีวิธีการกินที่ค่อนข้างคล้ายกัน สรุปแบบรวบรัดคืออาหารทุกอย่างที่เข้าปากจะต้องมีประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุด และกินตามโปรแกรมที่ตัวเองกำหนดไว้อย่างมีวินัย แต่ในรายของ เบรดี้ อาจจะเพิ่มรายละเอียดอีกหน่อย อย่างเช่นการพยายามเลี่ยงอาหารที่มีค่าความเป็นกรด หรืองดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน

สิ่งที่ต่างกันชัดเจนอยู่ที่วิธีการออกกำลังกาย โดย โรนัลโด้ จะโฟกัสไปที่การเล่นเวทเทรนนิ่งเพื่อสร้างกล้ามเนื้อ แน่นอนว่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณขา ขณะที่ เบรดี้ จะให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นของร่างกายมากกว่า และจะไม่ออกกำลังกายหนักเท่า CR7 ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะอายุของสตาร์ NFL ที่มากกว่าดาวยิงเร้ดเดวิลส์ถึง 8 ปี จึงจำเป็นต้องเน้นเรื่องการถนอมร่างกายมากกว่าการเสริมความแข็งแกร่ง

เอาล่ะ แม้จะดูแลตัวเองได้สมบูรณ์แบบขนาดไหน แต่การย้ายมาเล่นบนเวทีที่บ้าพลังที่สุดในโลกอย่างพรีเมียร์ลีก ในวัยที่นักเตะเอาท์ฟิลด์ส่วนใหญ่แขวนสตั๊ดหรือถอยไปเล่นเกมระดับรองแล้ว ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ โรนัลโด้ จะถูกตั้งคำถามว่าแก่เกินไปหรือเปล่า? และสิ่งที่กัปตันทีมชาติโปรตุเกสตอบกลับมา คือการซัดไปแล้ว 5 ประตู จากการออกสตาร์ทเป็นตัวจริง 5 นัด พร้อมคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของพรีเมียร์ลีกประจำเดือนกันยายนมาครอง

ส่วนจะสามารถยืนระยะได้นานขนาดไหนนั้น เรื่องฟอร์มคงไม่มีใครสามารถบอกได้ แต่ถ้าในเรื่องสภาพร่างกาย เราก็พอจะมีข้อมูลที่ช่วยให้แฟนผีสบายใจได้บ้าง นั่นคือครั้งสุดท้ายที่ โรนัลโด้ หายไปเกิน 2 สัปดาห์เพราะอาการบาดเจ็บ ก็ต้องย้อนกลับไปถึงตอนที่เจ้าตัวโดน ดิมิทรี ปาเยต อัดเข้าไปที่หัวเข่าในนัดชิงชนะเลิศยูโร 2016 นู่นเลย

“บางครั้งที่เรากลับมาจากเกมยุโรป มันประมาณตี 3 แล้ว แต่ โรนัลโด้ จะเป็นนักเตะที่ไม่ได้กลับบ้านทันที เขาจะไปที่สนามฝึกซ้อมเพื่อแช่ตัวในอ่างน้ำแข็ง เพื่อช่วยให้ร่างกายของเขาฟื้นฟูจากเกมการแข่งขัน” คาร์โล อันเชล็อตติ อดีตกุนซือเรอัล มาดริด เปิดเผยถึงหนึ่งในวิธีรักษาสภาพร่างกายของโรนัลโด้กับ Daily Mail

อย่างไรก็ตาม ต่อให้ท้ายที่สุด โรนัลโด้ จะยิงจนตาข่ายกระจุย มันก็คงไม่มีประโยชน์อะไรหากต้นสังกัดของเขาไร้ถ้วยแชมป์ และถ้าพูดถึงความสำเร็จของแมนฯ ยูไนเต็ด ขอแค่มีแชมป์คงยังไม่พอ แต่มันต้องเป็นถ้วยพรีเมียร์ลีกหรือยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีกเท่านั้น โดยแข้งฝอยทองจะมี 2 ฤดูกาลเป็นอย่างน้อยในการตามล่า 2 ถ้วยใหญ่ให้กับปีศาจแดง ตามระยะเวลาของสัญญาที่เซ็นไว้กับสโมสร (มีออปชั่นขยายสัญญาเพิ่ม 1 ปี)

ซึ่งจนถึงตอนนี้ ก็เป็นเวลา 8 ปีแล้วที่เร้ดเดวิลส์ห่างเหินจากแชมป์ลีก และเป็นเวลา 13 ปีแล้วที่พวกเขาไม่ได้สัมผัสถ้วยบิ๊กเอียร์

แต่ถ้ามองจากสภาพของ แมนฯ ยูไนเต็ด ในปัจจุบัน ที่เริ่มต้นซีซั่น 2021-22 ด้วยการคว้าชัยได้เพียง 5 จาก 10 นัดรวมทุกรายการ ทั้งที่โปรแกรมไม่ได้หนักหนาอะไรเลย รวมถึง 3 จาก 5 เกมที่ชนะ ก็ผ่านมาแบบทำสาวกอสูรเยี่ยวเหนียวกันทั้งโลก งานนี้แม้หนทางจะยังอีกยาวไกล แต่คงต้องยอมรับว่าภารกิจดังกล่าวใกล้เคียงกับคำว่า “มิสชั่น อิมพอสซิเบิ้ล”

หากเปรียบสถานการณ์ของปีศาจแดงเป็นรถยนต์สักคัน ที่ผ่านมามีหลายเหตุผลที่ถูกยกมาอธิบายว่าทำไมรถคันนี้ถึงแล่นไม่ฉิวอย่างที่ควรจะเป็น บ้างก็ว่าขาดชิ้นส่วนอย่างกลางรับ , บ้างก็ว่าชิ้นส่วนที่เพิ่งใส่เข้ามาอย่าง โรนัลโด้ ทำให้เครื่องยนต์ติดขัด , บ้างก็ว่าต้องใช้เวลาปรับจูนเครื่องสักระยะหลังจากใส่ชิ้นส่วนใหม่เข้ามา แต่เหตุผลที่ดูเหมือนจะมาเป็นอันดับหนึ่ง มันกลับไม่ได้เกี่ยวกับตัวรถ

บางทีคำถามที่ว่า โรนัลโด้ จะสามารถนำ แมนฯ ยูไนเต็ด ประสบความสำเร็จตามรอย เบรดี้ กับ แทมป้าเบย์ บัคคาเนียร์ส ได้ไหม? คำตอบอาจจะอยู่ที่ว่าคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยเป็นใคร ยังใช่คนที่ขับไปยิ้มไปหรือเปล่า…

 

บทความที่คุณอาจสนใจ : 36 ปีก็ไม่หวั่น : 7 สถิติโรนัลโด้หวังทำลายหลังรีเทิร์นปีศาจแดง

โรนัลโด้