จากแบบไม่น่าจดจำ : รวม 9 แข้งดังอำลาทีมไม่สวย

 

กลายเป็นข่าวใหญ่ที่สื่อทั่วโลกประโคมไปทั่วหลังมีข่าว ลิโอเนล เมสซี่ ดาวเตะจากบาร์เซโลน่า พร้อมแยกทางกับสโมสรหลังโดน บาเยิร์น มิวนิค เขี่ยตกรอบแชมเปี้ยนส์ลีกแบบหมดสภาพ 8-2

 

จากรายงานของ มาร์เซโล่ เบคเลอร์ ผู้สื่อข่าว Esporte Interativo ระบุว่า ดาวเตะชาวอาร์เจนไตน์ รู้สึกผิดหวังกับแนวทางที่ อาซูลกราน่า กำลังดำเนินอยู่ และมีการวางแผนอนาคตที่ย่ำแย่ รวมไปถึงการโดนวิพากษ์วิจารณ์กับการทำหน้าที่กัปตันทีมด้วย

 

หากเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงๆ เมสซี่ คงมีสภาพไม่ต่างจาก ราชาที่ตกจากบัลลังก์ที่มีภาพจำจากลาไม่สวยงามสมกับฝีเท้าหรือสถานะที่มีในทีม ไม่ว่าจะโดนยำใหญ่ในนัดสุดท้ายกับต้นสังกัด แถมยังเป็นปีสุดท้ายที่ไม่สามารถคว้าแชมป์ใดๆมาครองได้เลย

 

อย่างไรก็ตาม เรื่องราวลักษณะนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในวงการฟุตบอลทั่วโลก UFA ARENA จึงขอพาไปดู 9 แข้งดังที่ปิดฉากอำลาทีมไปแบบไม่สวยและไร้ความสำเร็จ ผ่านบทความนี้

 

ซามีร์ นาสรี่

 

 

หลังฉายฟอร์มเด่นสุดๆกับ โอลิมปิก ลียง อาร์เซน เวนเกอร์ ที่ดำรงตำแหน่งนายใหญ่อาร์เซน่อล จึงลงทุนคว้า ซามีร์ นาสรี่ มาร่วมทีมในปี 2008 ซึ่งเขาถือเป็นหนึ่งในแข้งดาวรุ่งที่ได้รับการจับตามองมากที่สุดในยุโรป ณ เวลานั้น

 

ปีกชาวฝรั่งเศสค่อยพัฒนาฝีเท้าจนกลายเป็นตัวรุกที่อันตรายเบอร์ต้นๆของพรีเมียร์ลีก โดยเฉพาะฤดูกาล 2010-11 ที่เขายิงไปถึง 15 ประตูจาก 46 นัดในทุกรายการ มากที่สุดที่เคยยิงได้ในฤดูกาลเดียว อีกทั้งยังมีลุ้นคว้าแชมป์แรกกับสโมสรหลังเข้าไปเล้นถ้วย ลีกคัพ ในนัดชิง

 

ทว่า ปืนใหญ่ กลับพลิกล็อคพ่าย เบอร์มิงแฮม ไปแบบเจ็บปวด และกลายเป็นการไร้แชมป์ปีที่ 3 ติดต่อกัน ของนาสรี่ นั่นทำให้ฤดูกาลต่อมา เขายอมทำร้ายจิตใจเหล่ากูนเนอร์ส ด้วยการย้ายซบแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และคว้าแชมป์ลีกตั้งแต่ปีแรกในถิ่น เอติฮัด สเตเดี้ยม

 

 

หลุยส์ ซัวเรซ

 

 

ในฤดูกาล 2013-14 คืออีกปีที่ ลิเวอร์พูล เกือบคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก และนักเตะที่โดดเด่นที่สุดในตอนนั้นคงหนีไม่พ้น หลุยส์ ซัวเรซ ดาวยิงสัญชาติอุรกวัย ที่แม้จะสร้างปัญหาชวนปวดหัวให้ทีมไม่น้อย แต่ก็ไม่มีใครกล้าปฏิเสธฝีเท้าอันยอดเยี่ยมของเขา

 

 ซัวเรซ คว้าทั้งนักเตะยอดเยี่ยมจาก PFA และสมาคมนักข่าว, นักเตะยอดเยี่ยมประจำสโมสร, ดาวซัลโวลีกที่ 31 ประตู แต่ในฟุตบอลโลกปี 2014 เขากลับสร้างเรื่องอีกครั้งด้วยการกัดหัวไหล่ของ จอร์โจ้ คิเอลลินี่ กองหลังทีมชาติอิตาลี ทำให้ถูกฟีฟ่าสั่งแบนเกมทีม 8 นัด และห้ามยุ่งเกี่ยวกับ ฟุตบอลเป็นเวลา 4 เดือน (สิ้นสุดวันที่ 26 ตุลาคม)

 

ด้วยเหตุนี้ทำให้ หงส์แดง ตัดสินใจปล่อย ซัวเรซ ให้บาร์เซโลน่าด้วยค่าตัว 64.98 ล้านปอนด์ จากนั้น ศาลกีฬาก็ผ่อนปรนโทษของซัวเรซ ลงซ้อมกับเพื่อนๆและลงเล่นเกมกระชับมิตรกับ บาร์ซ่า ได้ในช่วงพรีซีซั่น ก่อนที่พาทีมคว้าทริปเบิ้ลแชมป์ได้ในฤดูกาล 2014-15

 

หลุยส์ ฟิโก้

 

 

ช่วงปลายยุค 90 หลุยส์ ฟิโก้ คือแข้งตัวหลักที่พาบาร์เซโลน่า คว้าแชมป์ลาลีก้า 2 สมัย, โคปา เดล เรย์ 2 สมัย, สแปนิช ซุปเปอร์ คัพ, ยูฟ่า วินเนอร์ส คัพ และ ยูฟ่า ซุปเปอร์ คัพ อย่างละสมัย ซึ่งมีเพียงฤดูกาล 1999-2000 ฤดูกาลเดียวเท่านั้นที่เขาไม่สามารถพาทีมคว้าแชมป์รายการใดๆได้เลย

 

แต่นั่นไม่แย่เท่าไหร่ เมื่อเทียบกับการย้ายทีมของฟิโก้ เมื่อดาวเตะแดนฝอยทองเลือกซบ เรอัล มาดริด ทีมอริตลอดกาลของ บาร์ซ่า ในปี 2000 ด้วยค่าฉีกสัญญา 62 ล้านยูโร ไม่แปลกที่ แฟนบอลอาซูลกราน่าจะรู้สึกเหมือนถูกหักหลัง และตามก่นด่าสาปแช่งอดีตขวัญใจของพวกเขาทันทีที่รู้ข่าว

 

อย่างไรก็ตาม เสียงเหล่านั้นก็ไม่สามารถหยุดความยอดเยี่ยมของ ฟิโก้ ในสีเสื้อราชันชุดขาวได้ เมื่อพาทีมคว้าแชมป์ลีกสเปนในปี 2000 ขณะที่ บาร์ซ่า จบเพียงอันดับ 4 และต้องใช้เวลา 4 ปีกว่าจะกลับมาทวงความยิ่งใหญ่ในลาลีก้าได้

 

 

โรมาริโอ้

 

 

ด้วยลีลาการถล่มประตู 165 ลูกจาก 167 นัด ภายใน 5 ฤดูกาลกับ พีเอสวี ไอนด์โฮเฟ่น ทำให้ บาร์เซโลน่า คว้า โรมาริโอ้ มาร่วมทีมในปี 1993 ซึ่งมี โยฮัน ครัฟฟ์ เป็นกุนซือในตอนนั้น

 

เมื่อประสานงานกับคู่หูในแดนหน้าอย่าง ฮริสโต้ สตอยช์คอฟ และมีเพื่อนร่วมทีมฝีเท้าเยี่ยมอย่าง เป็ป กวาร์ดิโอล่า, ไมเคิล เลาดรู๊ป หรือ โรนัลด์ คูมัน ทำให้เขาสามารถพา บาร์ซ่า คว้าแชมป์ลาลีก้าได้อย่างสบายๆในฤดูกาล 1993-94 พร้้อมรั้งดาวซัลโวลีกด้วยจำนวน 30 ประตู จาก 33 นัด

 

แต่หลังจากคว้าแชมป์โลกกับ บราซิลในปี 1994 ดาวยิงแดนแซมบ้า กลับมีอีโก้สูงยิ่งกว่าเดิม ได้รับอภิสิทธิ์เหนือใครๆในทีม จนสร้างความแตกแยกภายในทีม อีกทั้งยังทะเลาะกับ ครัฟฟ์ ผู้เป็นกุนซือ จนทำให้ถูกปล่อยออกจากทีมให้กับ ฟลาเมงโก้ ในเดือนมกราคมปี 1995 ซึ่งหลังจบฤดูกาลนั้น บาร์ซ่าคว้าอันดับ 4 ในลีก แถมตกรอบโคปา เดล เรย์ ไปตั้งแต่รอบ 16 ทีมสุดท้าย  

 

สตีเว่น เจอร์ราร์ด

 

 

แม้ เดอะ ค็อป หลายคนจะยกให้ สตีเว่น เจอร์ราร์ด เป็นหนึ่งในตำนานของลิเวอร์พูล แต่ในปีสุดท้ายของเขากับหงส์แดง กลับลาสโมสรได้แบบไม่สมกับคำว่าตำนานเท่าไหร่นัก

 

กองกลางชาวอังกฤษ ไม่ได้รับการขยายสัญญากับสโมสรทำให้เขาต้องลาทีมหลังจบฤดูกาล 2014-15, โดน แบรนแดน ร็อดเจอร์ส ลดบทบาทในทีม รวมถึงใบแดง 38 วินาทีในเกมแดงเดือดครั้งสุดท้ายกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด

 

การจบฤดูกาลแบบมือเปล่าว่าแย่แล้ว แต่ เจอร์ราร์ด กลับปิดฉากการค้าแข้งกับ ลิเวอร์พูล ได้แย่กว่าเขาควรจะได้รับเสียอีก เมื่อโดนทีมอย่าง สโต๊ค ซิตี้ ถล่มไป  6-1 ในเกมพรีเมียร์ลีกนัดปิดฤดูกาล ก่อนที่เขาจะย้ายไปแขวนสตั๊ดกับ แอลเอ กาแล็คซี่ ในเวลาต่อมา

 

อีเกร์ กาซิยาส

 

 

ต่อให้คุณเป็นนักเตะที่พาสโมสรประสบความสำเร็จมากแค่ไหน แต่ถ้า ฟลอเรนติโน่ เปเรซ มองว่าแก่เกินไปหรือไม่ดีพอสำหรับ เรอัล มาดริด แข้งคนนั้นก็ต้องเป็นฝ่ายเดินจากไป อย่างเช่น กรณีของ กาซิยาส ต้องพบเจอในปีสุดท้ายกับสโมสร

 

ตลอดเวลา 16 ปีในราชันชุดขาว นายทวารเลือดกระทิง คว้าแชมป์ลาลีก้า 5 สมัย, โคปา เดล เรย์ 2 สมัย พร้อมกับ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก อีก 3 สมัย แม้จะทวงมือหนึ่งในทีมกลับมาได้ แต่สุดท้ายเขาก็ต้องเก็บกระเป๋าออกถิ่น ซานติอาโก้ เบอร์นาเบว ในปี 2015 และย้ายไปเล่นกับ ปอร์โต้ ช่วยท้ายอาชีพค้าแข้งจนกระทั่งแขวนถุงมือในปี 2020

 

ณ เวลานั้น ทั้ง เปเรซ และ โลส บลังโกส ถูกแฟนบอลวิพากษ์วิจารณ์หนักมากที่ปฏิบัติกับ กาซิยาส ผู้รับสโมสรมาอย่างยาวนานแบบไม่ใยดี ขณะที่ พ่อแม่ของ กาซิยาส อ้างว่าลูกชายของเขาถูกประธานสโมสรบีบให้ออกจากทีม ทั้งๆที่ใจอยากอยู่กับสโมสรต่อไปด้วยซ้ำ

 

แฟรงค์ แลมพาร์ด

 

 

แฟรงค์ แลมพาร์ด ในฤดูกาลสุดท้ายกับ เชลซี ก็มีสภาพไม่ต่างจาก เจอร์ราร์ด ในลิเวอร์พูล เท่าไหร่ ทั้งๆที่เป็นตำนานสโมสรที่พาทีมประสบความสำเร็จมาแล้วทุกรายการที่ลงเล่น

 

โชเซ่ มูรินโญ่ เข้ามากุมบังเหียนใน แสตมฟอร์ด บริดจ์ เป็นคำรบที่ 2 ในปี 2013 แต่ แลมพ์ กลับไม่ใช่กองกลางเบอร์ต้นๆเหมือนสมัยแรกที่ น้ามู เคยเรียกใช้อีกต่อไป โดยฤดูกาลดังกล่าวทีมรั้งอันดับ 3 ในลีก และไม่มีแชมป์อะไรติดไม้ติดมือเลย

 

หลังเสร็จสิ้นศึกฟุตบอลโลกในปี 2014 เชลซี ก็ประกาศอย่างเป็นทางการว่า แลมพาร์ด จะลาทีมอย่างแน่นอน ก่อนจะย้ายไป นิวยอร์ค ซิตี้ ในเวลาต่อมา แต่เขาก็แวะเล่นในอังกฤษอีกฤดูกาลกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พร้อมยิงประตูใส่อดีตต้นสังกัดด้วย ค่อยย้ายไปแขวนสตั๊ดในอเมริกาในฤดูกาล 2015-16

 

 

กูตี

 

 

อีกแข้งระดับตำนานของ เรอัล มาดริด ที่แฟนบอลยังจดจำได้ดีที่เติบโตกับทีมเยาวชนสโมสรตั้งแต่ปี 1986 ก่อนที่จะได้โอกาสเลื่อนขึ้นมาเล่นชุดใหญ่ครั้งแรกในปี 1995

 

กูตี ยังถือเป็นเพื่อนร่วมรุ่นกับ อิเกร์ กาซิยาส และ ราอูล กอนซาเลซ ที่ถูกยกให้เป็นตำนานของราชันขาวเช่นกัน แต่จุดสิ้นสุดของเขากับสโมสรกลับจบลงแบบไม่สวยงามอย่างที่ควรจะเป็นแม้แต่น้อย

 

การเข้ามาของ กาก้า ในฤดูกาล 2009-10 ทำให้บทบาทของกองกลางชาวสแปนิชลดลงอย่างชัดเจน แถมมีปัญหากับ มานูเอล เปเยกรีนี่ จนโดนจับดองอยู่ระยะหนึ่ง แต่เนื่องจาก เพลย์เมกเกอร์ชาวบราซิลเลี่ยน มีอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่ ทำให้กูตีได้ลงเล่นกับทีมต่อไปจนจบฤดูกาลนั้นแบบไร้ความสำเร็จใด ก่อนที่เขาจะย้ายไปเล่นกับ เบซิคตัส และปิดฉากอาชีพค้าแข้งในอีก 2 ปีถัดมา

 

 

ราอูล กอนซาเลซ

 

 

อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า ราอูล เป็นอีกตำนานของ เรอัล มาดริด ที่ลาทีมไปแบบไม่สวยสมกับสถานะที่ควรได้รับ ทั้งๆที่ตลอดเวลา 16 ปี เขาพาทีมคว้าแชมป์ทั้งในสเปน, ระดับทวีป ยิงให้ทีมไป 323 ประตู และลงเล่นให้สโมสรมากสุดตลอดกาลที่ 741 นัด

 

ส่วนสาเหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะการมาของ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ดาวยิงชาวโปรตุเกส ส่งผลให้เจ้าของฉายา ‘เจ้าชายแห่งเรอัล มาดริด’ ไม่ใช่ตัวเลือกแรกๆในแนวรุกของ มานูเอล เปเยกรินี่ แถมมีอาการบาดเจ็บรบกวนตลอดปีนั้น แม้จะไม่เป็นอะไรมากถึงขั้นพักยาวก็ตาม

 

ในวันที่ 25 กรกฏาคมปี 2010 โลส บลังโกส ก็ยืนยันว่า ราอูล จะลาทีมอย่างแน่นอน ตามหลัง กูตี ที่เก็บข้าวของออกไปก่อนหน้านี้ แต่ถึงแม้จะย้ายไปเล่นให้ทีมที่เล็กกว่าอย่าง ชาลเก้ 04 ในปีเดียวกัน แต่เขาก็ได้รับสถานะตำนานจากแฟนบอลราชันสีน้ำเงินทันที หลังพาทีมคว้าแชมป์  เดเอฟเบ โพคาล ในปี 2011