และแล้ว มาสเคราโน่ ก็กลายเป็นนักเตะรายล่าสุดที่บอกลาสังเวียนฟลอร์หญ้า หลังประกาศเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพ ด้วยวัยอายุ 36 ปี เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
ดาวเตะสารพัดประโยชน์ชาวอาร์เจนไตน์ เคยค้าแข้งกับสโมสรดังมากมายทั้งในบ้านเกิด และ ยุโรป ไม่ว่าจะเป็น ริเวอร์ เพลท, โครินโธียนส์, เวสต์แฮม, ลิเวอร์พูล หรือ บาร์เซโลน่า ซึ่งประสบความสำเร็จมากมายตลอด 17 ปีในอาชีพค้าแข้ง อีกทั้งยังรับใช้ ทัพฟ้าขาวมากที่สุดตลอดกาลถึง 147 นัด ในระหว่างปี 2003-2018
อย่างไรก็ตาม มาสเคราโน่ ก็ประกาศแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการแล้วกับ เอสตูเดียนเตส พร้อมชี้ว่านี่เป็นเวลาเหมาะสม แม้คิดว่าตอนแรกตนเองยังไหวกับการเล่นฟุตบอลระดับสูงในลีกบ้านเกิด
ด้วยเหตุนี้ UFA ARENA จะพาไปพบกับช่วงเวลาที่น่าจดจำของ มาสเคราโน่ ในเส้นทางค้าแข้งตั้งแต่เล่นอาชีพนัดแรกจนถึงเกมสุดท้ายผ่านบทความชิ้นนี้กัน
ทีมแรกในอาชีพค้าแข้ง
มาสเคราโน่ เริ่มเล่นฟุตบอลกับ ริเวอร์ เพลท สโมสรยักษ์ในอาร์เจนติน่า ตั้งแต่ทีมเยาวชน และค่อย ๆ ไต่เต้าขึ้นจนได้เล่นชุดใหญ่ของสโมสรเป็นครั้งแรกในฤดูกาล 2003-04 แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ได้โอกาสเล่นทีมชาติชุดใหญ่ไปแล้ว 1 นัด ก่อนหน้านี้
กองกลางหนุ่มได้ลงเล่นในฤดูกาลนั้นพอสมควร และมีส่วนร่วมช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ลีกได้ในปีนั้น และถึงแม้ทีมจะไม่ประสบความสำเร็จในฤดูกาลต่อมา แต่ชื่อของ มาสเคราโน่ ก็ได้รับความสนใจจากสโมสรในยุโรปไม่น้อย ทั้ง เรอัล มาดริด หรือ เดปอร์ติโบ่ ลา กอรุนญ่า แต่ก็โดนริเวอร์ เพลท ตอบปัดไปทั้งหมด
ช่วงเวลาในบราซิล
ต่อมา มาสเคราโน่ ได้ย้ายมาค้าแข้งนอกบ้านเกิดเป็นครั้งแรกกับ โครินเธียนส์ ที่คว้าตัวไปร่วมทีมในปี 2005 แต่เนื่องจากมีอาการบาดเจ็บที่เท้าซ้ายทำให้เขาได้ลงเล่นเพียง 9 นัดเท่านั้น
อย่างไรก็ดี กองกลางชาวอาร์เจนไตน์ ก็ยังได้เหรียญแชมป์ลีก เซเรีย เอ ซึ่งมี คาร์ลอส เตเบซ เพื่อนร่วมชาติของเขาสวมปลอกแขนกัปตันทีมอยู่ด้วย
ในฤดูกาลต่อมา โครินเธียนส์ ย่ำแย่อย่างหนัก เนื่องจากต้องหล่นไปหนีตายในโซนตกชั้น แต่ มาสเคราโน่ ก็ประกาศขออยู่ช่วยให้ทีมปลอดภัยก่อน และปัดข้อเสนอในช่วงเวลานั้นออกไป ทั้ง ๆ ที่เขาได้รับความสนใจจากสโมสรในยุโรปไม่น้อยไปกว่าตอนอยู่กับ ริเวอร์ เพลท เลย
แชมป์โอลิมปิกทีมฟ้าขาว
ช่วงที่เป็นดาวรุ่งนี่เอง มาสเคราโน่ ถูกเรียกติดทีมชาติอาร์เจนติน่า ชุดลุยโอลิมปิกในปี 2004 ที่ประเทศกรีซ เป็นเจ้าภาพ พร้อมกับทีมชาติคว้าเหรียญทองครั้งแรก ด้วยการเอาชนะ ปารากวัย 1-0 โดยได้เล่นร่วมกับ เตเบซ, กาเบรียล ไฮน์เซ่, ฮาเวียร์ ซาบิโอล่า
อีก 4 ปีต่อมา มาสเค ที่เป็นตัวหลักในทีมชาติชุดใหญ่แล้ว ก็ถูกเรียกมาช่วยทีมลุยโอลิมปิกที่มี ลิโอเนล เมสซี่, อังเคล ดิ มาเรีย, อีแวร์ บาเนก้า ที่ยังเป็นดาวรุ่งอยู่ โดยเขาเป็น 1 ใน 3 นักเตะที่มีอายุเกิน 23 ปี ร่วมกับ ฮวน โรมัน ริเกลเม่ และ นิโคลาส เปเรฆ่า
ซึ่งสุดท้ายเขาก็พาทีมคว้าแชมป์โอลิมปิกได้เป็นสมัยที่ 2 หลังชนะ ไนเจีเรีย คู่ชิงด้วยสกอร์ 1-0 ซึ่งทำให้ มาสเคราโน่ กลายเป็นนักเตะชายคนแรกที่คว้า 2 เหรียญทองโอลิมปิก นับตั้งแต่ปี 1968
แต่นั่นก็ถือเป็นความสำเร็จเดียวในทีมชาติ เพราะ 5 ครั้งที่เขาพา อาร์เจนติน่าชุดใหญ่ เข้ารอบชิงดำ โดยแบ่งเป็น โคปา อเมริกา 4 ครั้ง (2004, 2007, 2015, 2016) และ ฟุตบอลโลกในปี 2014 อกหักคว้ารองแชมป์ทุกครั้งไป
ดีลช็อคโลกกับเวสต์แฮม
ด้วยฟอร์มที่โดดเด่น ไม่แปลกหาก มาสเคราโน่ จะย้ายไปอยู่กับสโมสรยักใหญ่ในยุโรป ตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ทว่าในช่วงท้าย ๆ ของตลาดซื้อขายช่วงซัมเมอร์ฤดูกาล 2006-07 เวสต์แฮม กลับกลายเป็นสโมสรม้ามืดคว้าตัวไปครอง พร้อมกับ เตเบซ เพื่อนร่วมชาติ
เบื้องหลังการย้ายทีมครั้งนี้เกิดขึ้นจาก เคีย ชูรับเชียน อดีตประธาน มีเดีย สปอร์ต อินเวสต์เมนท์ (MSI) ซึ่งยังเป็นเจ้าของสิทธิ์ในตัวเตเบซและมาสเคราโน่อยู่ต้องการจะเทคโอเวอร์ ขุนค้อน จึงได้นำสองคนนี้ที่ต้องการย้ายทีมมาไว้กับทีมก่อน แต่สุดท้ายการเทคโอเวอร์ก็ไม่เกิดขึ้น ทำให้ดีลดังกล่าวกลายเป็นการย้ายทีมอื้อฉาวที่สุดครั้งหนึ่ง จนมีการสั่งลงโทษสโมสรจาก ลอนดอน อย่างรุนแรง
ตัดภาพมาที่ผลงานในสนาม มาสเคราโน่ ต้องใช้เวลาปรับตัวอย่างหนักในลีกอังกฤษ แต่ทีมก็ปั้นไม่ไหวจนต้องปล่อยให้ ลิเวอร์พูล ยืมตัวในช่วงมกราคมปี 2007 ขณะที่ เตเบซ ค่อย ๆ ปรับตัวได้ และกลายเป็นฮีโร่ที่ช่วยให้ เวสต์แฮม รอดตกชั้นในฤดูกาลนั้น
โด่งดังกับหงส์แดง
ฟอร์มของ มาสเคราโน่ เริ่มกลับมาเชิดฉายอีกครั้งกับ ลิเวอร์พูล ในยุคของ ราฟาเอล เบนิเตซ ได้รับคำชมตั้งแต่เกมแรกที่พบ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเอาชนะไปได้ 4-0
อีกทั้งยังได้รับคำยกย่องจาก สตีเว่น เจอร์ราร์ด และ ชาบี อลอนโซ่ กองกลางตัวหลักของทีม ที่เล่นได้อย่างสุขุมเยือกเย็นเกินวัย พร้อมกับมีส่วนช่วยให้ หงส์แดง เข้าชิงศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในปีนั้นกับ เอซี มิลาน น่าเสียดายที่แม้จะจะจัดการกับ คลาเรนซ์ เซดอร์ฟ และ กาก้า ได้อยู่หมัด พวกเขาก็เป็นฝ่ายพ่ายไป 2-1
ไม่แปลกที่ ลิเวอร์พูล จะตัดสินใจซื้อขาด มาสเคราโน่ มาร่วมทีมในฤดูกาลต่อมา โดยมีรายงานงานว่าทีมจ่ายเพื่อยกเลิกสัญญาของเขากับ MSI ด้วยราคา 18.9 ล้านปอนด์ พร้อมสัญญาอีก 4 ปี และกลายเป็นตัวรับที่ทีมขาดไม่ได้ในเวลาต่อมา
แก้ตัวเกมแดงเดือด
https://www.youtube.com/watch?v=JZ3-d_nGuPY&t=357s
มาสเคราโน่ ได้สัมผัสเกมแดงเดือดกับ แมนชสเตอร์ ยูไนเต็ด ครั้งแรกในเดือนธันวาคมปี 2007 แต่เขามีส่วนสำคัญที่ทำ ลิเวอร์พูล พ่ายแบบหมดรูป ณ สนาม โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด 3-0 ในเดือนมีนาคมปี 2008 หลังโดนใบเหลืองที่ 2 จากจังหวะเข้าบอลช้าใส่ พอล สโคลส์ และ ประท้วง สตีฟ เบนเน็ตต์ เชิ้ตดำที่แจกใบเหลือให้ เฟร์นานโด ตอร์เรส
แต่ มิดฟิลด์เลือดฟ้าขาวยังไม่ยอมออกจากสนาม จน เจอร์ราร์ด และ อลอนโซ่ ต้องมาช่วยกันพอเขาออกไป รวมถึง เบนิเตซ กุนซือของหงส์แดงด้วย ก่อนที่ ปีเตอร์ เคร้าช์ จะพาเข้าไปสงบสติอารมณ์ในห้องแต่งตัว และด้วยพฤติกรรมเหล่านั้นทำให้ เขาถูก เอฟเอ เพิ่มโทษแบนเป็น 3 นัด พร้อมกับถูกปรับเงินอีก 15,000 ปอนด์ หลังทีมแพ้การยื่นอุทธรณ์
ต่อมา เมื่อทีมเปิดแอนฟิลด์ พบปีศาจแดง ในฤดูกาลต่อมา มาสเคราโน่ ก็ทำพลาดประกบ เตเบซ ไม่ดีจนทำให้เสียประตูตั้งแต่ 3 นาทีแรก แต่เขาก็แก้ตัวได้ด้วยการเป็นจุดเริ่มต้นทำให้ ไรอัน บาเบล ยิงประตูชัยในครึ่งหลัง และเอาชนะ 2-1 พร้อมกับถูกโหวตให้เป็น แมน ออฟ เดอะ แมตช์ จาก เดอะ ค็อป อีกด้วย
กองหลังเต็มตัวกับ บาร์ซ่า
หลังเสร็จภารกิจฟุตบอลโลกปี 2010 มาสเคราโน่ แจ้งกับ ลิเวอร์พูล ต้นสังกัดว่าขอขึ้นบัญชีย้ายทีม ก่อนจะปล่อยให้ บาร์เซโลน่า ด้วยค่าตัว 24 ล้านยูโร พร้อมด้วยสัญญา 4 ปี แต่ก็ลงเล่นในฐานะผู้เล่นสำรองเป็นหลัก รวมถึงถูกโยกไปเล่นเป็น กองหลังคู่กับ เคราร์ด ปิเก้ บ่อยๆ ยามที่ การ์เลส ปูโยล ไม่พร้อม แต่ก็มีส่วนกับดับเบิ้ลแชมป์ในฤดูกาลนั้น
อย่างไรก็ตาม มาสเคราโน่ ถูก เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กุนซือของทีม ปรับจากกองกลางตัวรับ ขยับมาเล่นเป็นกองหลังแบบเต็มตัวในฤดูกาลต่อมา พร้อมกับยกสถานะเป็นตัวหลักให้กับทีมได้ แม้จะไม่สามารถป้องกันแชมป์ลีกได้ก็ตาม
ดาวเตะสารพัดประโยชน์ ก็ยังได้รับความไว้วางใจให้เป็นหัวใจในแผงหลังในยุคหลังจาก กวาร์ดิโอล่า ทั้ง ตีโต้ บีลาโนบา, เคร์ราโด้ มาร์ติโน่ และ หลุยส์ เอ็นริเก้ ซึ่งกับ เอ็นริเก้ นี่เองที่ เขาได้โอกาสชูถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีกเป็นครั้งที่ 2 ในฤดูกาล 2014-15 อีกทั้งยังเป็นทริปเบิ้ลแชมป์หนแรกในอาชีพค้าแข้งของเขาด้วย
ทว่าในยุคของ เอร์เนสโต้ บัลเบร์เด้ เขาเสียตำแหน่งตัวจริงให้กับ ซามูเอล อุมติตี้ กองหลังชาวฝรั่งเศส ก่อนจะตัดสินใจย้ายไปค้าแข้งกับ เหอเป่ย ไชน่า ฟอร์จูน ในช่วงต้นปี 2018
ช่วงบั้นปลายที่ถูกลืม
ทันทีที่ มาสเคราโน่ ย้ายมาค้าแข้งในแดนมังกร ชื่อของเขาก็ค่อย ๆ ถูกลืมจากแฟนบอล อีกทั้งผลงานโดยรวมก็ไม่ได้โดดเด่นถึงขั้นเปลี่ยนให้ทีมกลายเป็นผู้ท้าชิงลุ้นแชมป์ได้
แข้งชาวอาร์เจนไตน์ ลงเล่นให้กับ เหอเป่ย ไชน่า ฟอร์จูน ทั้งหมด 54 นัดในช่วงปีเศษๆ และพาทีมจบอันดับที่ 6 และ 11 ตามลำดับในไชนีช ซุปเปอร์ ลีกฤดูกาล 2018 และ 2019
ต่อมา มาสเคราโน่ ตัดสินใจย้ายกลับไปเล่นในบ้านเกิดกับ เอสตูเดียนเตส ช่วงเดือนพฤศจิกายน ปี 2019 โดยเขาเพิ่งประเดิมสนามกับที่นั่นไปเมื่อวันที่ 25 มกราคม ที่ผ่านมา แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจอำลาสนาม หลังไม่รู้สึกว่ากระปรี้กระเปร่าดั่งเดิม
“มันถึงเวลาที่ผมต้องยุติอาชีพการเล่นของตัวเองแล้ว จากการที่มันเกิดเรื่องต่อหลายเรื่องกับผมในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของผม และหลังจากพิจารณาเกี่ยวกับมันมาพักหนึ่งแล้วนั้น สิ่งที่เหมาะสมที่สุดคือการยุติอาชีพการเล่นในวันนี้” แข้งวัย 36 ปีกล่าว
“ผมทุ่มเทให้กับอาชีพของตัวเองแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ ตลอดช่วงที่ผ่านมาผมทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ผมก็เจอกับความยากลำบากมาพักหนึ่งแล้ว และผมก็ไม่อยากทำอะไรที่เป็นการลบหลู่ เอสตูเดียนเตส ซึ่งเป็นทีมที่เชื่อมั่นในตัวผมจนดึงผมกลับมาเล่นใน อาร์เจนติน่า รวมถึงไม่อยากลบหลู่เพื่อนร่วมทีมของผมหรืออาชีพนี้ด้วย”