เบรนแดน ร็อดเจอร์ส จะต้องกลับไปเผชิญหน้ากับทีมเก่าอย่าง ลิเวอร์พูล ในถิ่นแอนด์ฟิลด์ เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ถูกไล่ออกไปในปี 2015
ภายใต้การดูแลของบีร็อด ในยุคนั้นหงส์แดงเกือบคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกที่ เดอะ ค็อป รอคอยมานานกว่า 24 ปี ได้สำเร็จ แต่ความหวังก็ต้องพังทลายลงในพริบตา หลังพาทีมพลาดท่าเสมอกับ คริสตัล พาเลซ 3-3 ในช่วงท้ายฤดูกาล 2013-14
อย่างไรก็ตาม กุนซือชาวไอร์แลนด์เหนือก็สามารถกอบกู้ชื่อเสียงของตนเองด้วยการพา กลาสโกว์ เซลติก คว้าแชมป์สก็อตติช พรีเมียร์ลีก ได้ถึง 2 สมัย และในตอนนี้เขาได้กลับมารับงานในลีกสูงสุดแดนผู้ดีอีกครั้งกับ เลสเตอร์ ซิตี้ แถมทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในฤดูกาลนี้ จนมีโอกาสไม่น้อยที่เขาจะหยุดสถิติออกสตาร์ทที่สวยหรูของลิเวอร์พูลลงได้ในวันเสาร์นี้
และก่อนเกมที่ แอนฟิลด์ ตัวของร็อดเจอร์ พาจิ้งจอกสีน้ำเงินรั้งอันดับ 3 ในตารางตอนนี้ มี 14 แต้ม และไม่น่าเชื่อว่าเขาจะทีมแพ้แค่นัดเดียวเท่านั้น
นับตั้งแต่ เขาได้มาแทนที่ โคล้ด ปูแอล ที่ถูกปลดในเดือนกุมภาพันธ์ ทีมฉายา ‘เดอะ ฟ็อกซ์’ ก็มีสไตล์การเล่นโดดเด่นเกินทีมระดับเดียวกัน แต่ว่า อดีตกุนซือลิเวอร์พูลทำแบบนี้ได้อย่างไรในถิ่น คิง พาวเวอร์ สเตเดี้ยม ทาง UFA ARENA จะพาทุกท่านไปหาคำตอบผ่านบทความนี้กันครับ
จากเชื่องช้าป็นดุดัน
หนึ่งในจุดที่แฟนๆบอลเลสเตอร์หงุดหงิดและไม่ค่อยพอใจในยุคของ โคล้ด ปูแอล ก็คือ การขาดความสมดุลระหว่างเกมรุกและเกมรับ เช่นเดียวกับการใช้งานแข้งเยาวชนในทีมที่ทำได้ไม่ดีนัก
นายใหญ่ชาวฝรั่งเศสได้เปลี่ยนโฉม จิ้งจอกตัวนี้ที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในปี 2016 ด้วยแผนการโต้กลับ มาเน้นการครองเกมมากขึ้น และใช้ผู้เล่นดาวรุ่งในอคาเดมี่ ซึ่งก็พูดได้ไม่เต็มปากนักว่าเขาล้มเหลวในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เนื่องจาก เลสเตอร์ กลายเป็นทีมที่ครองบอลได้เป็นส่วนใหญ่ยามลงเล่น และเป็น 1 ใน 3 สโมสรที่ผู้เล่นเยาวชนลงเล่นมากที่สุดในฤดูกาลที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม แม้ปูแอล จะจัดการตรงจุดๆนั้นได้เป็นอย่างดี แต่เขาก็ล้มเหลวในการพัฒนาทีมให้ดีกว่าเดิม เนื่องจาก วิธีการเล่นที่คู่แข่งสามารถคาดเดาได้และขาดมิติกับความหลากหลายในการเข้าทำ ขณะเดียวกันเขาก็ไม่สามารถผสมผสานบรรดาแข้งหนุ่มกับผู้เล่นขาประจำให้ลงตัวได้
ทว่าเรื่องราวเหล่านั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว ภายใต้การดูแลของ บีร็อด เลสเตอร์ทำเกมได้อย่างดุดันและเฉียบขาดมากขึ้น และไม่ใช่แค่การเน้นครองบอลเท่านั้นที่เขาสามารถรักษาไว้ได้ แต่บอลจากเท้าสู่เท้าของนักเตะก็มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย
ถ้าการเล่นแบบไร้มิติเกิดขึ้นในยุคปูแอล สไตล์การเล่นที่ร้อนแรงก็เกิดขึ้นในยุดร็อดเจอร์ส เพราะค่าเฉลี่ยในการจ่ายบอลต่อ 90 นาทีก็มากว่าปูแอล (520.3 ครั้ง กับ 420.7 ครั้ง), การจ่ายบอลเฉลี่ยที่แม่นยำกว่า (82.34% to 76.55%) และครองบอลเฉลี่ยต่อเกมก็ทำได้มากกว่า (55.51% to 49.46%)
แต่การครองบอลมากๆคงจะไม่มีประโยชน์อะไร หากไม่สามารถพาบอลขึ้นไปทำเกมบุกในแดนคู่แข่งได้ แต่ เดอะ ฟ็อกซ์ ของบีร็อด ก็จ่ายบอลเฉลี่ยในแดนสุดท้ายต่อ 90 นาทีมากกว่า โค้ชคนเก่าอย่างชัดเจน (137.4 ครั้ง กับ 126.2 ครั้ง), สัมผัสบอลในกรอบเขตโทษคู่แข่งมากกว่า (24.8 ครั้ง กับ 20.8 ครั้ง) และทำการโต้กลับเร็วมากกว่า (0.76 ครั้ง กับ 0.73 ครั้ง)
และควรสังเกตุให้ดีกว่า ก่อนที่ร็อดเจอร์สจะเข้ามาคุมทีมนัดแรกในเดือนมีนาคม เลสเตอร์ จ่ายบอลมากที่สุดเป็นอันดับ 12 ในลีก (12,062 ครั้ง) แต่ในฤดูกาลนี้ พวกเขารั้งอันดับ 5 (3,688 ครั้ง) มากกว่า อาร์เซน่อล และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พอสมควรเลย
มากไปกว่านั้น เลสเตอร์ ยังเป็นสโมสรที่มีค่าเฉลี่ยอายุของนักเตะในทีมน้อยที่สุดเป็นอันดับ 8 ในพรีเมียร์ลีก ซึ่งชัดเจนว่า ร็อดเจอร์ส สามารถใช้งานดาวรุ่งและแข้งตัวหลักของทีมได้อย่างเข้าขาลงตัวเป็นที่สุด
ผลลัพธ์ที่มาพร้อมกับความสนุก
เป็นที่ถกเถียงกันว่า การเล่นฟุตบอลแบบเอนเตอร์เทนผู้ชมย่อมมีราคาที่ทีมต้องจ่าย และอาจไม่ได้ประสิทธิผลอย่างที่ต้องการ ทว่าแนวคิดแบบนั้นดูไม่เกิดขึ้นกับทีมของร็อดเจอร์สในตอนนี้เลย
เลสเตอร์ไม่ได้เล่นบอลได้อย่างสวยงามเพียงอย่างเดียว ภายใต้แทคติกที่กุนซือวัย 46 ปีได้วางไว้ แต่พวกเขาสามารถเก็บแต้มได้สม่ำเสมอและก้าวเข้ามาอยู่ในท็อปซิกซ์อย่างมั่นคง
สิ่งที่จะเป็นชี้วัดเรื่องนี้ได้อย่างเป็นรูปธรรมมากที่สุดก็คือ เลสเตอร์ เก็บคะแนนในถิ่น คิง พาวเวอร์ สเตเดี้ยม ได้มากน้อยแค่ไหน นับตั้งแต่ที่บีร็อดเข้ามา ผลปรากฏว่า เลสเตอร์กวาดไปทั้งหมด 31 แต้มในรังเหย้าของตนเองตั้งแต่เดือนมีนาคม ซึ่งมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ในลีก
มีเพียงจ่าฝูงในตอนนี้อย่าง ลิเวอร์พูล (49 แต้ม) และ แชมป์เก่าอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (43 แต้ม) ที่เก็บแต้มในบ้านได้มากว่าเลสเตอร์จากตลอด 8 เดือนที่ผ่านมา
และในตอนนี้ เดอะ ฟ็อกซ์ มีผลลูกได้เสียดีที่สุดเป็นอันดับ 3 ในลีก (+8) และเสียประตูแค่ 5 ลูก เท่ากับ หงส์แดง และมากกว่าเรือใบสีฟ้าอีก (7 ลูก)
ความสำเร็จในครั้งนี้ได้รับการเน้นย้ำมากขึ้น หากพิจารณาเรื่องที่เลสเตอร์ เสีย แฮร์รี่ แม็คไกวร์ ปราการหลังตัวหลัก ให้กับปีศาจแดงในซัมเมอร์นี้ด้วยค่าตัวที่เป็นสถิติโลก 80 ล้านปอนด์
การสูญเสียครั้งนั้นกลับทำให้ จอนนี่ อีแวนส์ และ คักลาร์ โซยุนคู ประสานงานกันเข้าขาจนกลายเป็นคู่หูปราการหลังจอมแกร่งประจำทีมได้โดยปริยาย ขณะที่คู่หูแบ็คจอมบุกทั้ง 2 ฝั่ง อย่าง เบน ชีเวลล์ และ ริคาร์โด้ เปรย์ร่า ก็ทำผลงานได้อย่างโดดเด่นแบบไม่มีใครน้อยหน้าใคร
ดังนั้น ร็อดเจอร์ส จึงไม่ควรได้รับการยกย่องแค่ในเรื่องการปรับปรุงและพัฒนาเกมบุกของเลสเตอร์เท่านั้น แต่การจัดระเบียบเกมรับในแผงแบ็คโฟร์ให้แกร่งขึ้นได้ แม้จะเสียหัวใจสำคัญในแนวรับของทีมไปก็ควรได้รับการชื่นชมเช่นเดียวกัน
ทีมที่อาจหยุดหงส์แดง?
ลิเวอร์พูลในตอนนี้เป็นสโมสรที่ 2 ในประวัติศาสตร์ของพรีเมียร์ลีกที่สามารถชนะได้ 7 นัดแรกในลีกได้ เทียบเท่ากับ เชลซี ที่เคยทำได้ในฤดูกาล 2005-06 แต่ทว่ามีแนวโน้มไม่น้อยที่พวกเขาอาจจะไม่สามารถทำสถิติแซงหน้าทีมสิงห์บลูได้ในเกมวันนี้
หากจะพูดถึงจุดอ่อนในทีมของ ร็อดเจอร์ ก็คงจะเป็น นายทวาร แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล กับแนวรับที่ยังดูติดขัดไม่ลงตัวเล็กน้อย, กองหน้าที่ผสมผงานทั้งความอันตรายและความนิ่งในการเล่นงานคู่แข่ง และ เกมรับที่ยังไม่แน่นอนนัก
ในตำแหน่งกองกลางที่มี 3 ประสานอย่าง วิลเฟร็ด เอ็นดิดี้, ยูริ เตเลมันส์ และ เจมส์ แม็ดดิสัน ลงเล่นร่วมกัน ช่วยให้ทีมมีความสร้างสรรค์ในการเข้าทำ, การวางบอลจากหลายระยะ และ ตัวรับที่คอยตัดเกมรุกของคู่แข่งได้อย่างเด็ดขาด
ส่วนในแนวรุก ร็อดเจอร์ส มี กองหน้าที่ยิงประตู 20 ลูกต่อฤดูกาลอย่าง เจมี่ วาร์ดี้ ยืนค้ำในกรอบเขตโทษ และมีความสามารถในการหาช่องว่างได้ไม่แพ้ใคร ขณะที่ ฮาร์วีย์ บาร์นส และ อโยเซ่ เปเรซ ก็เป็นปีกที่มากความสามารถทั้งคู่ ซึ่งไม่กลัวที่เผชิญหน้ากับฟูลแบ็คทีมคู่แข่งเพื่อทำประตูหรือสร้างโอกาสให้ทีม
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นบททดสอบที่สำคัญสำหรับ เจอร์เก้น คล็อปป์ เพราะกุนซือชาวเยอรมันไม่ได้เจอทีมที่เน้นเกมรุกแบบเต็มสูบแบบ นอริช ซิตี้ หรือ เน้นเกมรับและระวังตัวแบบสุดๆอย่าง เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด อย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น แต่เป็นการเผชิญหน้ากับทีมที่มีแนวคิด 2 อย่างนี้ในทีมเดียวกัน
ด้วยความแข็งแกร่งในแผงเกมรับของจิ้งจอกสีน้ำเงิน อาจบังคับให้ลิเวอร์พูลจำเป็นต้องเติมเกมรุกมากขึ้นกว่าปกติ ซึ่งอาจส่งผลให้แผงหลังของหงส์แดงลอยสูงและโดนเล่นงานโต้กลับแบบฉับพลันได้
เพราะฉะนั้น ถ้าคล็อปอยากจะรักษาระยะห่างระหว่าง ทีมของเขากับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ให้ได้อย่างน้อย 5 คะแนน เขาจำเป็นจะต้องวางแผนและเลือกแท็คติกที่ดีที่สุดให้ถี่ถ้วน ก่อนจะทำศึกกับ เลสเตอร์ ในค่ำคืนวันเสาร์นี้