ชมรมคนเหล็ก : 5 แข้งเอาท์ฟิลด์ที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกโดยลงเล่นทุกวินาที

 

“รวดเร็วกว่าลีกอื่น , หนักหน่วงกว่าลีกอื่น , เตะถี่กว่าลีกอื่น” ทั้งหมดคือคำนิยามของพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ซึ่งการที่นักฟุตบอลสักคนจะสามารถยืนอยู่ในสนามได้ครบทุกวินาทีตลอดทั้งฤดูกาล คุณจะต้องมีร่างกายที่ถึกทนราวกับหลุดมาจากวิดีโอเกมเลยทีเดียว

 

หากนับเฉพาะแค่นักเตะเอาท์ฟิลด์ (ตำแหน่งที่ไม่ใช่ผู้รักษาประตู) จริงอยู่ที่มีนักเตะจำนวนไม่น้อยที่สามารถทำเช่นนั้นได้ แต่ในประวัติศาสตร์ของพรีเมียร์ลีก มีผู้เล่นเพียง 5 รายเท่านั้นที่อยู่ยงคงกระพันเล่นครบทุกวินาทีทั้งยังช่วยให้ต้นสังกัดคว้าแชมป์ได้อีก และในวันนี้เราจะพาไปดูกันว่ายอดมนุษย์ทั้ง 5 คนนั้นมีใครบ้าง

 

แกรี่ พัลลิสเตอร์ (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด) – 1992/93

 

 

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เริ่มต้น 3 เกมแรกของฤดูกาลโดยไม่ชนะใครเลย โดยเป็นการแพ้ไป 2 นัด และเสมอ 1 นัด ขณะที่หลังจากผ่านไป 15 เกม พวกเขาอยู่ไกลถึงอันดับที่ 10 ของตาราง และมีแต้มตามหลังทีมจ่าฝูงอย่าง นอริช ซิตี้ อยู่ 9 คะแนน

 

ทว่าการเข้ามาของ เอริค คันโตน่า ในเดือนพฤศจิกายนปี 1992 ได้เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่าง ปีศาจแดงคว้าชัยชนะได้ถึง 18 จาก 26 นัดนับตั้งแต่ที่กองหน้าเฟรนช์แมนเข้ามา พร้อมก้าวขึ้นไปคว้าแชมป์ได้สำเร็จในบั้นปลาย สิ้นสุดการรอคอยแชมป์ลีกสูงสุดที่ยาวนานถึง 25 ปี และได้รับการจารึกว่าเป็นสโมสรแรกที่ได้ชูถ้วยพรีเมียร์ลีก

 

ความสำเร็จในครั้งนี้ นอกจาก พัลลิสเตอร์ จะลงสนามให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ครบทุกวินาทีแล้ว เขากับคู่หูอย่าง สตีฟ บรูซ ยังเป็นคนสนับสนุน อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่ในเวลานั้นยังไม่มีเซอร์นำหน้า ให้เซ็นสัญญากับ คันโตน่า ด้วย หลังจากพวกเขาทั้งสองได้รู้ถึงพิษสงของ ก็องโต้ แล้วเมื่อครั้งที่เผชิญหน้ากับ ลีดส์ ยูไนเต็ด ก่อนหน้านี้

 

จอห์น เทอร์รี่ (เชลซี) – 2014/15

 

 

มันเป็นเวลานานสองทศวรรษกว่าที่จะมีนักเตะเอาท์ฟิลด์อีกคนที่ทำได้อย่าง พัลลิสเตอร์ ปรากฏตัวขึ้นมา จริงอยู่ที่ก่อนหน้านั้นเคยมี ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล (1993) , เยนส์ เลห์มันน์ (2004) และ โจ ฮาร์ท (2012) ที่ลงเล่นครบทุกวินาทีพร้อมพาต้นสังกัดคว้าแชมป์ได้ แต่ทั้ง 3 ก็ล้วนแล้วแต่เป็นนายทวาร

 

โชเซ่ มูรินโญ่ และ เทอร์รี่ ควงคู่กันนำ เชลซี ครองบัลลังก์พรีเมียร์ลีกได้อย่างสวยงาม ด้วยการแพ้ไปเพียง 3 นัดเท่านั้นตลอดทั้งฤดูกาล และเก็บคลีนชีตไปได้ถึง 17 เกม พร้อมทำสถิติเป็นทีมที่ครองตำแหน่งจ่าฝูงยาวนานที่สุดในพรีเมียร์ลีกด้วยจำนวน 274 วัน

 

อันที่จริง บรานิสลาฟ อิวาโนวิช ก็เกือบที่จะได้เข้ามาอยู่ในลิสต์นี้พร้อมกับกัปตันของเขาแล้ว แม้แนวรับชาวเซิร์บจะลงเล่นครบ 90 นาทีทุกนัดก็จริง แต่ความซวยอยู่ที่เจ้าตัวดันไปโดนไล่ออกในนาทีที่ 90+3 ในเกมที่ดวลกับ แมนฯ ยูไนเต็ด บนสังเวียนโอลด์ แทรฟฟอร์ด

 

เวส มอร์แกน (เลสเตอร์ ซิตี้) – 2015/16

 

 

ในฟุตบอลพรีเมียร์ลีกยุคโมเดิร์นที่การขับเคี่ยวแย่งความสำเร็จอยู่ในกลุ่มบิ๊ก 6 ใครจะไปคิดว่าทีมอย่าง เลสเตอร์ ซิตี้ จะพุ่งพรวดขึ้นมาคว้าแชมป์ไปได้แบบเหนือความคาดหมาย อย่างไรก็ตาม เทพนิยายเรื่องนี้คงจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไม่มีชายคนหนึ่งที่สวมปลอกแขนกัปตันยืนอยู่ในสนามตั้งแต่เสียงนกหวีดแรกของนัดที่ 1 จนถึงเสียงนกหวีดสุดท้ายของนัดที่ 38

 

มอร์แกน จับคู่กับ โรเบิร์ต ฮูธ ได้อย่างแข็งแกร่งในฤดูกาล 2015-16 โดยจิ้งจอกสยามพ่ายไปเพียง 3 นัดเท่านั้นตลอดทั้งซีซั่น และเสียประตูน้อยที่สุดเป็นอันดับ 2 ของลีกร่วมกับรองแชมป์อย่าง อาร์เซน่อล รวมถึงมีช่วงเวลาที่ไม่แพ้ใครติดต่อกันยาวนานถึง 12 เกม นับตั้งแต่ปลายเดือนกุมภาพันธ์จนถึงสิ้นสุดฤดูกาล

 

การปรากฏตัว 100% ของเซนเตอร์แบ็คชาวจาไมก้า เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนสำหรับแนวทางการทำทีมของ เคลาดิโอ รานิเอรี่ ในฤดูกาลดังกล่าว โดย เลสเตอร์ ทำสถิติเป็นทีมแชมป์ที่เปลี่ยนแปลง 11 ผู้เล่นตัวจริงน้อยที่สุดเป็นอันดับ 2 ของพรีเมียร์ลีก รองจาก แมนฯ ยูไนเต็ด ที่ทำไว้ในซีซั่น 1992-93

 

เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า (เชลซี) – 2016/17

 

 

หลังจากจบที่อันดับ 10 ในฤดูกาลก่อนหน้า เชลซี ภายใต้การนำของกุนซือคนใหม่อย่าง อันโตนิโอ คอนเต้ ดีดตัวกลับมาคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกด้วยการเก็บไปได้ 93 คะแนน และเป็นทีมแรกของพรีเมียร์ลีกที่เก็บชัยชนะได้ถึง 30 นัดต่อซีซั่น (หลังจากเปลี่ยนมาเป็น 20 ทีม) ทั้งยังทำการชุบชีวิตระบบ 3 เซนเตอร์แบ็คให้กลับมามีชีวิตอีกครั้งในฟุตบอลอังกฤษด้วย

 

เทรนเนอร์ชาวอิตาเลี่ยนเริ่มต้นฤดูกาลด้วยระบบ 4-3-3 ก่อนที่จะปรับมาเล่นเป็น 3-4-3 หลังจากเห็นแล้วว่าการฝืนใช้ระบบแบ็คโฟร์นั้นไม่เวิร์ค และ อัซปิลิกวยต้า ที่เปิดฉากซีซั่นในฐานะแบ็คซ้าย ก็ถูกปรับมาเล่นเป็นเซนเตอร์แบ็คตัวขวาในระบบหลังสาม

 

ขณะที่อีก 3 ฤดูกาลต่อมาจนถึงปัจจุบัน ฟูลแบ็คเลือดกระทิงมีสถิติการลงสนามในพรีเมียร์ลีกอยู่ที่ 37 , 38 และ 36 เกม เรียกได้ว่านอกจากความถึกจะเป็นเลิศแล้ว เจ้าตัวยังสามารถรักษาฟอร์มการเล่นให้คงเส้นคงวาได้ด้วย

 

เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค (ลิเวอร์พูล) – 2019/20

 

 

หลังจากรอคอยมาเนิ่นนานถึง 30 ปี ในที่สุด ลิเวอร์พูล ก็สามารถกลับมาคว้าแชมป์ลีกสูงสุดของอังกฤษได้สักทีในฤดูกาลล่าสุด ทั้งยังเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรกของสโมสรด้วย และแน่นอนว่าจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้หงส์แดงผงาดง้ำค้ำโลกอย่างทุกวันนี้คือการมาของ ฟาน ไดจ์ค ในเดือนมกราคมปี 2018

 

แม้ทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์จะการันตีแชมป์ก่อนที่ซีซั่นจะจบลงถึง 7 นัด แต่ปราการหลังดัตช์แมนก็ไม่พลาดการลงเล่นเลยสักวินาทีเดียว พร้อมช่วยให้หงส์แดงสร้างสถิติที่น่าทึ่งขึ้นมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการคว้าชัยได้ถึง 26 จาก 27 เกมแรก , เก็บชัยชนะได้ 18 นัดติดต่อกัน , ไม่แพ้ใครในแอนฟิลด์ , เสียประตูน้อยที่สุดในลีก และคว้าแชมป์ได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก

 

ไม่เพียงเท่านั้น แนวรับทีมชาติเนเธอร์แลนด์ยังกลายเป็นนักเตะ ลิเวอร์พูล คนแรกในรอบ 31 ปีด้วย ที่ลงเล่นให้กับหงส์แดงครบทุกนัดติดต่อกัน 2 ฤดูกาล ซึ่งคนสุดท้ายที่ทำได้คือ สตีฟ นิโคล ในฤดูกาล 1987-88 และ 1988-89