ชาบี ไม่ขอตามรอย : ยอดแข้งหวนคุมทีมรักแต่ผลงานไม่เป็นดั่งฝัน 

 

 

 

 

ในที่สุดวันที่แฟนบอล “อาซูลกราน่า” รอคอยก็มาถึง เมื่อ ชาบี เอร์นานเดซ อดีตกองกลางตัวกลั่นระดับตำนานของสโมสร หวนกลับมาสู่ บาร์เซโลน่า ถิ่นเก่าอีกครั้งในฐานะผู้จัดการทีมคนใหม่

 

 

แน่นอนว่าการเข้ามาทำหน้าที่กุนซือในช่วงกลางฤดูกาลเช่นนี้ของ ชาบี ไม่ใช่งานง่าย กับการที่ต้องเข้ามากู้วิกฤติจากสิ่งที่บอร์ดบริหารชุดเก่า รวมทั้ง โรนัลด์ คูมัน อดีตกุนซือชาวดัตช์ทำเอาไว้ เมื่อสถานการณ์ของทีมในเวลานี้ต้องร่วงไปอยู่อันดับ 9 ของลาลีกา สเปน รวมทั้งในถ้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ที่ต้องลุ้นตัวโก่งกับการมีเพียง 6 คะแนนจาก 4 นัด  

 

ที่สำคัญแล้วคือในตลาดซื้อขายนักเตะรอบ 2 อดีตกุนซือ อัลซาดด์ คาดว่าจะมีงบประมาณเสริมทัพที่ได้จาก บอร์ดบริหารเพียงราว 10 ล้านยูโรเท่านั้น จากสภาวะการเงินที่ยังคงระส่ำจากสภาวะโควิด-19 ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ 

 

 

โดยส่วนตัวผู้เขียนเอาใจช่วยให้ ชาบี นั้นประสบความสำเร็จเหมือนกับอดีตลูกหม้อของหลายสโมสรที่กลับเข้ามาทำหน้าที่กุนซืออาทิ ซีเนอดีน ซีดาน ที่ทำกับ เรอัล มาดริด ,เป๊ป กวาดิโอล่า ที่คุม บาร์ซ่า หรือแม้กระทั่ง คาร์โล อันเชล็อตติ ที่คุมทัพ เอซี มิลาน แต่ภาพแห่งความฝัน นั้นก็อาจไม่เป็นดั่งความจริงเสมอไป 

 

 

และนี่คือ 5 อดีตนักเตะที่กลับมาทำหน้าที่กุนซือกับสโมสรอันเป็นที่รักแล้วไปไม่รอด จะมีใครบ้างลองไปดูกัน 

 

อลัน เชียเรอร์ : นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด  (2009-2009)

เชียเรอร์ ยอดดาวยิงกัปตันทีมชาติอังกฤษ  คือหนึ่งในกองหน้าที่ได้รับการยกย่องว่า เก่งกาจและยิ่งใหญ่ที่สุดของในประวัติศาสตร์ของสโมสร “สาลิกาดง”  เขาคือหนึ่งในแข้งที่เหล่าแฟนบอล “ทูนอาร์มี่” รักและเทิดทูนมากที่สุดตลอดกาล 

 

แต่แล้วหลังจากที่เขาแขวนสตั๊ดไป ในเดือนเมษายนปี 2009 ช่วงที่สโมสรกำลังต้องลุ้นที่จะต้องร่วงตกชั้น ก็เป็น เชียร์เรอร์ ที่อาสาเข้ามารับหน้าที่พาทีมฝ่าวิกฤติในช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาล 8 นัดสุดท้าย ปรากฏว่า “ฮอตช็อต” กลับพาทีมเก็บชัยชนะไปได้เพียงเกมเดียว พร้อมเสมออีก 2 นัด ส่วนที่เหลือแพ้หมด ทำให้สุดท้ายทัพ “สาลิกาดง” มีอันต้องร่วงตกชั้นไปเล่นในลีก เดอะแชมเปี้ยนชิพไปในที่สุด 

 

และก็ทำให้ เชียเรอร์ ตัดสินใจรับผิดชอบผลงานของเขาด้วยการลาออกจากตำแหน่งทันที พร้อมกับทำให้นั่นกลายเป็นครั้งเดียวในชีวิตของ ยอดดาวยิงรายนี้ในการทำหน้าที่กุนซือ เพราะนี่อาจเป็นฝันร้ายที่ติดตัวเขาไปตลอดกาล 

คลาเรนซ์ เซดอร์ฟ : เอซี มิลาน (2014-2014)

เซดอร์ฟ คือหนึ่งในสุดยอดกองกลางของทัพ “ปีศาจแดงดำ” มาอย่างยาวนานตลอดระยะเวลากว่า 11 ปี ลงสนามให้กับทีมไปกว่า 300 นัด พร้อมกับเป็นคีย์แมนของทีมชุดคว้าแชมป์  กัลโช่ เซเรียอา และ  ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อย่างละสองสมัย

 

แต่แล้วในเดือนมกราคม ปี 2014 ยอดมิดฟิลด์ชาวดัตช์ ก็ได้รับงานชิ้นสำคัญในฐานะผู้จัดการทีมหน้าใหม่ไฟแรง เมื่อเข้ามารับคุมทัพ “ปีศาจแดงดำ” แทนที่ มัสซิมิเลียโน อัลเลกรี ท่ามกลางความคาดหวังว่าจะสามารถพาทีมกลับมาอยู่ในจุดลุ้นแชมป์ได้อีกครั้งเหมือนสมัยที่เขาค้าแข้ง 

 

แต่แล้วทุกอย่างกลับย่ำแย่ลงกว่าเดิม เมื่อเขาได้คุมทีมไปจนจบฤดูกาลด้วยอันดับ 8 ชวดไปเตะถ้วยยุโรปในฤดูกาลถัดมา พร้อมกันนี้ก็โดนปลดจากตำแหน่งกุนซือทันที หลังคุมทีมไปเพียงครึ่งฤดูกาลเท่านั้น  ซึ่งหลังจากนั้น ซีดอร์ฟ ก็รับงานคุมทัพ เซินเจิ้นเอฟซี ในศึก ไชนีส ซูเปอร์ลีก  ,เดปอร์ติโบ ลา คอรุนญ่า ทีมในลีกลาลีกา สเปน  และ ทีมชาติแคเมอรูน แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร 

 

แฟรงค์ แลมพาร์ด : เชลซี (2019-2021)

แลมพาร์ด คือหนึ่งในตำนานของสโมสรแห่งนี้อย่างไม่ต้องสงสัย หลังเล่นให้กับทัพ “สิงห์บูลส์” อย่างยาวนานกว่า 13 ปีเต็ม เป็นแข้งที่ยิงประตูมากสุดตลอดกาล 211 ลูกจากการเล่น 648 นัด   พร้อมเป็นคีย์แมนที่ช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก มาครองถึง 4 สมัย รวมทั้ง แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในปี 2012 ด้วย

 

แต่แล้ววงการลูกหนังก็ได้เปิดเผยความจริงนั้นโหดร้ายกว่าที่คิดเมื่อ แลมพาร์ด ได้หวนกลับคืนสู่สโมสรของเขาอีกครั้ง เมื่อปี 2019 ซึ่งในช่วงแรกที่เข้ามาคุม เชลซี นั้นกำลังโดนบทลงโทษจากฟีฟ่า ที่ห้ามซื้อนักเตะทั้งสองรอบตลาดอยู่ด้วย อย่างไรก็ตามเจ้าตัวก็ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมเกินคาดเมื่อพาทีมจบท็อปโฟร์ พร้อมเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ได้สำเร็จ

 

จนกระทั่งในฤดูกาลต่อมา เมื่อตลาดนักเตะของ เชลซี พ้นโทษแบนกลับมา โรมัน อบราโมวิช ก็ได้เนรมิตงบเสริมทัพกว่า 220 ล้านปอนด์ให้ แลมพาร์ด ได้เสริมทัพ ด้วยการคว้าแข้งอย่าง ไค ฮาแวร์ตซ์ หรือ ติโม แวร์เนอร์ เข้ามา แต่สุดท้ายหลังผ่านไปเพียงครึ่งฤดูกาลทุกอย่างกลับดูแย่ลงไปแบบถนัดตา ไม่เป็นไปอย่างที่คิด ก่อนที่เดือน ม.ค. ปี 2020 เขาจะโดน อบราโมวิช ออกแถลงการณ์ประกาศปลดจากตำแหน่งด้วยตัวเอง หลังพาทีมร่วงไปอยู่อันดับ 9 ในพรีเมียร์ลีก ที่แย่ไปกว่านั้นคือการที่ โธมัส ทูเคิล กุนซือคนใหม่ได้เข้ามาทำทีมที่มีนักเตะเดิมๆต่อจากเขา กลับพาทีมก้าวไปถึงแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก หลังจบฤดูกาลได้แบบเกินคาด

 

อันเดรีย ปีร์โล่ : ยูเวนตุส  (2020-2021)

 

หนึ่งในมิดฟิลด์เชิงสูงระดับตำนานของสโมสร หลังประสบความสำเร็จอย่างยิ่งกับทัพ “เบียงโคเนรี่” ในการค้าแข้งช่วงปี 2011 – 2015 ด้วยการคว้าแชมป์ สคูเด็ตโต้ 4 สมัยติดต่อกัน รวมทั้ง โคปปา อิตาเลีย อีกหนึ่งรายการด้วย  ก่อนที่จากนั้นเขาจะย้ายไปเล่นให้กับ นิวยอร์ก ซิตี้ ที่เมเจอร์ลีก ซ็อคเกอร์ ก่อนจะได้หวนคืนถิ่น ตูริน อีกครั้งหลังจากนั้นเพียง 2 ปี 

 

ยูเวนตุส ได้ตัดสินใจให้ ปีร์โล่ เข้ามาทำหน้าผู้จัดการทีมที่ตอนแรกจะเข้ามาเป็นกุนซือทีมชุดสำรองก่อน อย่างไรก็ตามเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อสโมสรตัดสินใจแยกทางกับ เมาริซิโอ ซาร์รี่ กลางคัน นั่นทำให้บอร์ดบริหารเดิมพันดัน ปีร์โล่ ให้ขึ้นมารับงานกุนซือในทีมชุดใหญ่ทันที ทั้งที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์คุมสโมสรไหนมาก่อนด้วยซ้ำ 

 

ปีร์โล่ นั้นเคยให้คำนิยามปรัชญาการทำทีมของตัวเองว่าเน้นไปที่การเล่นแบบครองบอล และใช้ประโยชน์จากพื้นที่กว้างในสนามให้มากที่สุด พร้อมกับต้องการเวลาซักนิดเพื่อให้ตัวนักเตะในทีมเข้าใจในแท็กติกของเขา และทุกอย่างก็เหมือนจะไปได้สวยงาม  เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ปีร์โล่ สามารถพาทีมคว้าแชมป์ ซูเปอร์ โคปปา อิตาเลีย มาครองได้สำเร็จด้วยการเอาชนะ นาโปลี 2-0 แต่แล้วหลังจากนั้นฝันร้ายก็เริ่มมาเยือน เมื่อทัพ ม้าลาย ต้องตกรอบ 16 ทีม ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ถ้วยที่พวกเขาต้องการมากที่สุดให้กับ เอฟซี ปอร์โต้ 

 

ก่อนที่จากนั้น ปีร์โล่ ยังได้รับโอกาสทำหน้าที่จนจบฤดูกาล และก็มาได้แชมป์ โคปปา อิตาเลีย มาครองเป็นแชมป์รายการที่ 2 ของเขา แต่กับการที่ทีมต้องจบเป็นอันดับ 4 ในเกมสุดท้ายของฤดูกาลเรียกว่าลุ้นแบบเส้นยาแดงผ่าแปด ทั้งที่ก่อนหน้านี้เป็นแชมป์กัลโช่ มาถึง 9 สมัยติดต่อกัน นั่นทำให้ 5 วันหลังจากนั้น บอร์ดบริหารตัดสินใจปลดเขาจากตำแหน่งทันที ก่อนจะว่างงานมาจนถึงปัจจุบัน 

 

      

โอเล่ กุนนาร์ โซลชา : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (2018- ???)

 

สุดยอดซูเปอร์ซับระดับตำนานของทัพ “ปีศาจแดง” ชุดคว้าทริบเปิ้ลแชมป์ เมื่อปี 1999 หลังเป็นผู้ยิงประตูชัยในช่วงทดเจ็บช่วยให้ ยูไนเต็ด เอาชนะ บาเยิร์น มิวนิค 2-1 คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก มาครองได้สำเร็จ มาวันนี้เจ้าของฉายา “เพชฌฆาตหน้าทารก” ที่ซัดให้สโมสรไปกว่า 126 ประตูจากการลงสนาม 366 นัด กำลังสร้างฝันร้ายให้กับแฟนบอล เร้ด เดวิลส์ ทุกหมู่เหล่าอย่างที่ไม่คาดคิดมาก่อน

 

ไม่ต้องย้อนกลับไปไหนไกลเอาแค่ในช่วง 12 นัดหลังฤดูกาล โซลชา พาทีมพ่ายไปถึง 6 เกม ซ้ำร้ายที่ทำให้แฟนบอลต้องจดจำไปอีกนานแสนนานก็คือการแพ้คารัง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ให้กับคู่แค้นตลอดกาลอย่าง ลิเวอร์พูล ถึง 0-5 รวมไปถึงแพ้คู่อริร่วมเมืองอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อีก 0-2 ในแบบที่เรียกว่าบอลคนละคลาส

 

ตลอด 3 ปีที่ โซลชา เข้ามาคุมทีม กุนซือชาวนอร์วีเจี้ยน ยังไม่เคยพาทีมชูถ้วยแชมป์ได้ซักรายการ แม้จะมีเฉียดเข้าใกล้ในถ้วย ยูโรป้า ลีก เมื่อฤดูกาลก่อนแต่สุดท้ายก็ต้องมาพ่ายการดวลจุดโทษให้กับ บีญาร์เรอัล ไปแบบเจ็บปวด และมาถึงเวลานี้แม้เขาจะได้รับความไว้วางใจจากบอร์ดบริหารให้ทำหน้าที่ต่อไป แต่กับแฟนบอลความเชื่อมั่นในตัวของ โซลชา นั้นมลายสิ้นไปหมดแล้ว 

 

 

DaboyG

 

บทความที่เกี่ยวข้อง :  ความหวังใหม่ : ชาบีกับภารกิจชุบชีวิตบาร์ซ่า