ซักครั้งก็ไม่เคย : 9 แข้งดังฝีเท้าดีแต่ไม่โอกาสรับใช้ทีมชาติ

 

การเป็นตัวแทนในทีมชาติถือเป็นความฝันอันสูงสุดของนักเตะฟุตบอลทุกคนบนโลกใบนี้ ซึ่งมีกี่คนหรอกที่ทำแบบนั้นได้

 

ซึ่งการที่นักเตะแต่ละคนไม่ว่าจะเป็นเพศหญิงหรือชายจะได้ติดทีมชาติบ้านเกิดนั้น มักจะมาจากการที่พวกเขาเหล่านั้นโชว์ฟอร์มการเล่นได้ดีกับต้นสังกัดจนไปเข้าตาผู้จัดการทีมหรือเหล่าสต็าฟโค้ชในชาตินั้นๆ

 

หลายคนโชคดีที่คว้าโอกาสนั้นมาได้ แม้จะเป็นแค่นัดเดียวก็ตาม ทว่าก็นักเตะมีไม่น้อยที่กลับไม่มีโอกาสนั้นจนกระทั่งแขวนสตั๊ดไป ทั้งๆที่พวกเขาก็ทำผลงานกับสโมสรได้อย่างยอดเยี่ยม แถมยังการันตีฝีเท้าด้วยการคว้าแชมป์ระดับเมเจอร์กับทีมมาอีกด้วย

 

และนี่คือ 9 นักเตะฝีเท้าดีแต่ดันไม่มีโอกาสติดทีมชาติแม้แต่นัดเดียว แม้ว่าบางคนจะเคยคว้าแชมป์ระดับทวีปกับสโมสรมาแล้วก็ตาม

 

 

มิเกล อาร์เตต้า (สเปน)

 

 

อาร์เตต้าถือเป็นนักเตะที่มีฝีเท้าเจนจัดไม่เป็นรองใคร  ทั้งในตอนที่เขาค้าแข้งในสเปนกับ เรอัล โซเซียดัด หรือ ในอังกฤษกับเอฟเวอร์ตัน และ อาร์เซน่อล รวมไปถึงมันสมองในเกมลูกหนัง ซึ่งการเข้าได้เข้ามาเป็นหนึ่งในทีมงานสต๊าฟโค้ชของ เป็ป กวาร์ดิโอล่า ที่แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยืนยันถึงเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี

 

 นอกจากนี้ อดีตมิดฟิลด์วัย 37 ปียังตกเป็นข่าวว่าอาร์เซน่อลเตรียมวางตัวเขาเป็นกุนซือของสโมสรในอนาคตด้วย อย่างไรก็ดี ถึงแม้เส้นทางโค้ชหรือตอนค้าแข้งในสโมสรจะไปได้สวย แต่ในทีมชาตินั้น อาร์เตต้ากลับไม่เคยลงเล่นให้กับทัพกระทิงดุชุดใหญ่แม้แต่หนเดียว

 

แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าแผงกองกลางทีมชาติสเปนในตอนนั้นเต็มไปด้วยดาวเตะระดับโลกทั้ง ชาบี เอร์นานเดซ, อันเดรส อิเนี่ยสต้า, เซร์คิโอ บุสเก็ตส์, เชส ฟาเบรกาส, ดาบิด ซิลบา และอีกมากมายหลายคน ส่งผลให้ อาร์เตต้าหมดโอกาสรับใช้ชาติไปโดยปริยาย

 

 

เปาโล ดิ คานิโอ (อิตาลี)

 

 

ไม่มีใครปฏิเสธเรื่องลีลาลากเลื้อยและการยิงประตูของ เปาโล ดิ คานิโอ อยู่แล้วในสมัยที่เขาค้าแข้งอยู่ทั้งในอิตาลีหรืออังกฤษ แต่น่าแปลกใจไม่น้อยที่นักเตะระดับเขาไม่เคยได้สวมเสื้อทีมชาติอิตาลีลงสนามให้แฟนได้เห็นซักครั้ง

 

บางที 2 อย่างนี้อาจจะทำให้อดีตแข้งเวสต์แฮมไม่มีชื่อติดทัพอัซซูรี่ นั่นก็คือ 1.บรรดาแนวรุกสุดแจ่มในยุค 90 ที่มากมายกายกองให้เลือกใช้งานไม่หวั่นไม่ไหว และ 2. เป็นนักเตะที่ควบคุมอารมณ์ไม่ค่อยได้และมีจุดเดือดต่ำกว่าแข้งทั่วไปหลายเท่าตัวนั่นเอง

 

 

 สตีฟ บรูซ (อังกฤษ)

 

 

มากกว่า 400 นัดที่ลงเล่นให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สตีฟ บรูซคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 3 สมัย, แชมป์เอฟเอ คัพ 3 สมัย, แชมป์วินเนอร์า คัพ 1 สมัย และ แชมป์ยูโรเปี้ยน ซุปเปอร์ คัพ อีกสมัย ไม่แปลกใจที่แฟนๆปีศาจแดงจะยกย่องให้เขาเป็นตำนานของสโมสร

 

แต่จุดด่างพร้อยที่สุดในอาชีพค้าแข้งของบรูซซี่คงหนีไม่พ้น การที่เขาไม่เคยติดทีมชาติอังกฤษแม้แต่นัดเดียว ไม่ว่าจะเป็นช่วงที่ฟอร์มพีคสุดๆหรือช่วงบั้นปลายอาชีพก็ตาม

 

 

จอห์น แม็คโกเวิร์น (สก็อตแลนด์)

 

 

ยุค 70 ถึง 80 เป็นช่วงเวลาที่วงการฟุตบอลของสก็อตแลนด์แข็งแกร่งอย่างแท้จริง แต่น่าประหลาดไม่น้อยที่นักเตะอย่าง จอห์น แม็คโกเวิร์น ซึ่งเป็นกัปตันทีมน็อตติ้งแฮมป์ ฟอเรสต์ และคว้าแชมป์ยุโรป 2 สมัย จะไม่เคยรับใช้ทีมแดนวิสกี้เลย

 

ที่น่าแปลกไปกว่าเดิม อดีตกองกลางดาร์บี้ เคาท์ตี้ ซึ่งไม่ลงเล่นให้ทีมบ้านเกิดเลย กลับได้รับการเสนอชื่อเข้าหอเกียรติยศฟุตบอลของสก็อตแลนด์เมื่อปีที่ผ่านมาซะอย่างนั้น

 

 

คาร์โล คูดิชินี่ (อิตาลี)

 

 

คาร์โล คูดิชินี่ เป็นหนึ่งในผู้รักษาประตูชาวอิตาเลียนหลายคนที่มีฝีมือดี แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะขึ้นไปเบียดแย่งตำแหน่งมือหนึ่งในทีมชาติจาก จิอันลุยจิ บุฟฟ่อน ได้

 

ครั้งหนึ่ง คูดิชินี่ได้รับการยกย่องเป็นหนึ่งในนายทวารเบอร์ต้นๆของพรีเมียร์ลีกในช่วงที่เขาเป็นมือหนึ่งกับเชลซี ยุค 2000 ต้นๆ แต่ก็ทำเต็มที่แค่มีชื่อติดตอนประกาศ 23 ขุนพลในทัพอัซซูรี่เท่านั้น ซึ่งไม่ต่างจากที่ โจ เลวิส มีชื่อติดชาติอังกฤษแค่ครั้งเดียวในปี 2008 เท่าไหร่นัก

 

 

สเตฟาน คลอส (เยอรมัน)

 

 

เช่นเดียวกับ อิตาลี ทีมชาติเยอรมันก็เต็มไปด้วยนายทวารชั้นยอดอยู่หลายคน และโชคร้ายที่  สเตฟาน คลอส ดันแจ้งเกิดมาในช่วงนั้นพอดี

 

มือกาวเมืองเบียร์อยู่เฝ้าเสาให้กับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ นานกว่า 8 ปี ก่อนจะย้ายไปค้าแข้งกับเรนเจอร์สในช่วงบั้นปลายอาชีพ ซึ่งคลอสคว้าแชมป์ระดับเมเจอร์ถึง 13 รายการ รวมไปถึงถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีกกับเสือเหลืองในปี 1997 ด้วย 

 

ส่วนในทีมชาติ เขาเคยลงเล่นให้อินทรีเหล็กแค่ชุดยู 21 และ 23 แต่สถิติก็หยุดอยู่แค่ชุดเล็กเท่านั้น เนื่องจากในชุดใหญ่มี โอลิเวอร์ คาห์น และ อันเดรียส ค็อปเคอร์ ขวางทางอยู่

 

 

สตีด มัลบร็องก์ (ฝรั่งเศส)

 

 

ในพรีเมียร์ลีกช่วงยุค 2000 สตีด มัลบร็องก์ กลายเป็นขวัญใจของแฟนบอลทั่วอังกฤษ ในระหว่างอยู่ค้าแข้งให้กับ ฟูแล่ม, สเปอร์ส และ ซันเดอร์แลนด์ ซึ่งแม้แต่ โทนี่ แบลร์ อดีตนายกรัฐมนตรีของแดนผู้ดียังชื่นชอบในตัวเขาเลย

 

อดีตกองกลางร่างเล็กเคยถูกเรียกติดทีมชาติฝรั่งเศสอยู่ 2 ครั้งด้วยกัน ซึ่งมีระยะเวลาห่างกันถึง 8 ปี แต่ก็ไม่มีครั้งไหนที่เขาจะลงไปสัมผัสฟลอร์หญ้าเลย และถึงแม้ มัลบร็องก์ จะหาทางกลับไปเล่นให้ทีมชาติเบลเยี่ยม ประเทศเกิดของเขาแทน แต่โอกาสที่ได้ก็ไม่ได้มีมากกว่าทีม เลอ เบลอส์ ซักเท่าไหร่

 

 

มาริโอ เดอ คาสโตร (บราซิล)

 

 

นี่น่าจะเป็นยอดนักเตะที่แฟนบอลในยุคนี้ส่วนใหญ่คงไม่คุ้นหูเป็นอย่างมาก เพราะ เดอ คาสโตร ลงเล่นในฟุตบอลอาชีพแค่ 5 ปีเท่านั้น แต่ก็ซัดไปถึง 195 ประตูจากการลงสนามแค่ 100 นัดให้ แอตเลติโก มิเนโร่

 

กองหน้าจอมถล่มประตูมีชื่อติดทีมชาติบราซิลอยู่หนึ่งครั้ง แต่เขาก็ปฏิเสธโอกาสทองนั้นไป เนื่องจากไม่อยากเป็นแค่อะไหล่สำรองให้กับ คาร์วัลโญ่ เลติ หัวหอกตัวเก่งจาก โบตาโฟโก

 

เดอ คาสโตร แขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการในปี 1931 ด้วยวัยเพียง 26 ปีเท่านั้น หลังจากคว้าแชมป์คัมปิโอนาโต้ มิเนโร่ ได้ในปีนั้น ด้วยพลิกแซง บิลล่า โนว่า 4-3 แต่แฟนบอลทีมตรงข้ามถูกผู้บริหารของมิเนโร่ยิงจนเสียชีวิต จึงทำให้เขาตัดสินใจเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

 

 

ดาริโอ ฮุบเนอร์ (อิตาลี)

 

 

ดาริโอ ฮุบเนอร์มีพ่อเป็นชาวเยอรมัน ทำให้เขาสามารถเลือกเล่นให้ทีมอินทรีเหล็กได้ แต่กองหน้าผู้นี้มีเจตจำนงค์ที่แน่วแน่ว่าต้องการเล่นให้ทีมชาติอิตาลี ซึ่งเป็นประเทศที่เขาเกิดและเติบโตมาเท่านั้น

 

แม้ว่าจะยิงไปมากกว่า 250 ลูกในลีก แต่ทัศนคติและการทำงานของเขามีปัญหาจนถูกตั้งคำถาม บวกกับการแข่งขันของแนวรุกที่เข้มข้นในทัพอัซซูร่า โดยมีตัวหลักเป็น อเลซซานโดร เดล ปิเอโร่, ฟรานเชสโก้ ต็อตติ และ คริสเตียน วิเอรี่ ทำให้เขาไม่มีโอกาสได้โชว์ฝีเท้าในทีมชาติตามที่หวังไว้เลย

 

อดีตหัวหอกของปิอาเชนซ่าทำสถิติเป็นดาวซัลโวที่มีอายุมากที่สุดในเซเรียอา ด้วยวัย 35 ปี ณ ตอนนั้น หลังซัดไป 24 ประตูในฤดูกาล 2001-02 ร่วมกับ ดาวิด เทรเซเก้ต์ กองหน้าของยูเวนตุส และสถิตินี้ยืนยาวมา 13 ปี จนกระทั่งถูก ลูก้า โทนี่ ดาวยิงร่วมชาติทำลายได้ในฤดูกาล 2015 ด้วยวัย 38 ปี (คว้าดาวซัลโวร่วมกับ เมาโร อิคาร์ดี้ ที่ 22 ประตู)