สเปอร์ส และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คือตัวแทนจากอังกฤษที่ต้องมาห่ำหั่นกันในศึกแชมเปี้ยนส์ลีกรอบ 8 ทีมสุดท้ายฤดูกาลนี้ แต่ว่าพวกเขาไม่ใช่ทีมจากแดนผู้ดีคู่แรกหรอกนะที่ได้โอกาสปะมือกันในเกมยุโรป
และทาง UFA ARENA จะพาแฟนบอลทุกท่านไประลึกความหลังกับ 6 แมตช์สุดมันส์ที่สโมสรจากลีกผู้ดีต้องมาปะทะกันเองในเกมยุโรปผ่านบทความนี้กัน
อาร์เซน่อล พบ เชลซี (แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้ายปี 2003-2004)
เมื่ออาร์เซน่อลที่กำลังก้าวขึ้นไปเป็นแชมป์ไร้พ่ายในพรีเมียร์ลีกต้องมาชนกับ เชลซียุคใหม่ของ เคลาดิโอ้ รานิเอรี่ ในแชมเปี้ยนส์ลีกรอบ 8 ทีมสุดท้าย แม้ฝ่ายเชลซีได้ประตูขึ้นนำไปก่อนจาก ไอเดอร์ กุ๊ดยอห์นเซ่น แต่ปืนใหญ่เป็นฝ่ายกุมความได้เปรียบไปก่อนในนัดแรก หลังโรแบร์ ปิแรส โหม่งประตูตีเสมอใน สแตมฟอร์ด บริดจ์ ซึ่งเป็นรังเหย้าของสิงห์บลู ทำให้พวกเขามีประตูทีมเยือนตุนอยู่
ในเกมนัดสองที่ไฮบิวรี่ แข้งกันเนอร์สบุกใส่เชลซีอย่างหนัก ก่อนจะได้ประตูขึ้นจาก โจเซ่ อันโตนิโอ เรเยส ในช่วงท้ายครึ่งแรก และในครึ่งหลังแม้เจ้าบ้านจะบุกโจมตีอย่างต่อเนี่อง แต่พวกเขาก็ค่อยหมดแรงไปทีละนิดจนเกมเริ่มตกเป็นรองเชลซีอย่างเห็นได้ชัด
ในที่สุดแข้งสิงห์บลูก็มาตามตีเสมอได้สำเร็จ เมื่อโคล้ด มาเกเลเล่ ซัดนอกกรอบ จนเยนส์ เลห์มันน์ ต้องปัดออกมา แต่ดันเซฟพลาดไหลมาเข้าทางแฟร้งค์ แลมพาร์ด ยิงเข้าไปนิ่มๆ ต่อมาในช่วงท้ายเกม เวย์น บริดจ์ แบ็คซ้ายของทีมได้ลากบอลและทำชิ่ง 1-2 ในกรอบเขตโทษและยิงประตูชัยให้เชลซีผ่านเข้ารอบตัดเชือกได้แบบช็อคแฟนบอลเจ้าบ้าน และหลังจากนั้นทีมจากเมืองลอนดอนเหนือก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปในยามที่เจอกับแข้งสิงห์บลูในยุคต่อๆมา
วูล์ฟแฮมป์ตัน พบ สเปอร์ส (ยูฟ่า คัพ นัดชิงฯ ปี 1972)
นี่คือนัดชิงชนะเลิศในยูฟ่า คัพ ครั้งแรกที่มีการแข่งขันกันถึง 2 นัด โดยเป็นการชิงชัยระหว่าง ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ และ วูล์ฟแฮมป์ตัน ซึ่งเป็นสโมสรยักษใหญ่จากเกาะอังกฤษทั้งคู่ในสมัยนั้น
ในเกมที่แรกที่โมลินิวซ์ สเตเดี้ยม เกมทำท่าว่าจะจบลงด้วยผลเสมอ 1-1 จนกระทั่งกองหน้าไก่เดือยทองอย่าง มาร์ติน ชิเวอร์ส ส่องไกลช่วยทีมจากลอนดอนคว้าชัยไปได้ก่อน
ต่อมาในนัดที่สอง แม้สเปอร์สจะทำได้แค่เสมอกับอคันตุกะไป 1-1 แต่เมื่อนำสกอร์ทั้ง 2 นัดรวมกัน ประตูเหล่านั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ลูกทีมของ บิล นิโคลสัน ได้ชูถ้วยต่อหน้าแฟนบอลกว่า 54,303 คนในสนาม ไวท์ ฮาร์ท เลน และคว้าแชมปฺยุโรปถ้วยเล็กสมัยแรกไปครองด้วยสกอร์รวม 3-2
น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ พบ ลิเวอร์พูล (ยูโรเปี้ยน คัพ รอบแรก ปี 1978-1979)
“ถ้าเราเอาชนะลิเวอร์พูลในบอลยุโรปได้ บางทีผู้คนคงจะหันมาสนใจเราแบบจริงจังซักที” กุนซือปากกรรไกรของฟอเรสต์อย่าง ไบรอัน คลัฟฟ์ เคยกล่าวไว้ในปีนั้น ซึ่งพวกเขาก็ทำได้อย่างที่คลัฟฟ์พูดจริงๆ
นายใหญ่ทีมเจ้าป่าเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าทีมของเขาที่คว้าแชมป์ลีกในปี 1978 ดีกว่าแชมป์ยุโรปทีมปัจจุบันอย่างหงส์แดงเป็นไหนๆ และในปีนั้นพวกเขาก็ทำให้ลิเวอร์พูลดูไม่ต่างจากทีมน้องใหม่ในยูโรเปี้ยน คัพ หลังเปิดซิตี้ กราวน์ ถล่มแชมป์เก่าไป 2-0 ในนัดแรกจากโคลิน บาร์เร็ตต์ และ แกรี่ เบอร์เทิล ก่อนจะออกไปเยือนถิ่นแอนฟิลด์ในนัดที่สอง
แม้ว่า ฟิล ธอมป์สัน กัปตันทีมหงส์แดงจะต้านเกมรุกของเจ้าป่าได้อยู่หมัดในนัดต่อมา แต่เกมรุกของพวกเขาเองก็ยิงไม่ผ่านมือของ ปีเตอร์ ชิลตัน ที่ถูกวิญญานปลาหมึกเข้าสิง แถมมีจอห์น แม็คโกเวิร์น คอยบัญชาการเกมรับของฟอเรสต์ได้อย่างแข็งแกร่ง ทำให้พวกเขาชนะไปด้วยสกอร์รวม 2-0 ก่อนจะก้าวขึ้นไปคว้าแชมป์ยุโรปในบั้นปลายของปีนั้น
ลิเวอร์พูล พบ เชลซี (แชมเปี้ยนส์ลีก รอบรองฯ ปี 2004-2005)
แม้ว่าเชลซีจะทำแต้มในพรีเมียร์ลีกนำห่างลิเวอร์พูลถึง 33 แต้ม แต่โชเซ่ มูรินโญ่ต้องเผชิญความกดดันอย่างหนักยามที่ลูกทีมของเขาต้องออกไปเยือนถิ่นแอนฟิลด์ ขณะที่ราฟาเอล เบนิเตซ ก็กำลังมุ่งมั่นพาหงส์แดงเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศในฟุตบอลยุโรปให้ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี
เมื่อสัปดาห์ก่อน เกมแรกในสแตมฟอร์ด บริดจ์จบลงอย่างจืดชืดด้วยสกอร์ 0-0 และในเกมต่อมา แข้งหงส์แดงต่างแสดงความมุ่งมั่นเกินร้อยเมื่อได้ยินเหล่า เดอะ ค็อป ร้องเพลง You’ll Never Walk Alone ดังก้องไปทั่วแอนฟิลด์ก่อนเกมเริ่ม ซึ่งพวกเขาใช้เวลาแค่ 4 นาทีเท่านั้นในการทำประตูขึ้นนำจากลูกยิงซ้ำของหลุยส์ การ์เซีย ซึ่งผู้เล่นสิงห์บลูต่างประท้วงอย่างหนักว่าลูกยังไม่ข้ามเส้นประตู แต่แข้งชาวสเปนก็ยืนยันในภายหลังว่าลูกนั้นผ่านเส้นประตูไปเต็มใบเรียบร้อยแล้ว
ในที่สุดลิเวอร์พูลก็เอาชนะเกมรับอันแข็งแกร่งของมูรินโญ่ไปได้ด้วยสกอร์ 1-0 และก้าวขึ้นไปสร้างปาฏิหารย์ที่อิสตันบลูในนัดชิงดำกับเอซี มิลาน ในอีก 3 อาทิตย์ต่อมา
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พบ เชลซี (แชมเปี้ยนส์ลีก รอบชิง ปี 2008)
นี่คือค่ำคืนสุดดราม่าที่แฟนบอลปีศาจแดงและสิงห์บลูไม่มีทางลืมได้เด็ดขาด ณ สนามลุซนิกิ สเตเดี้ยม ที่กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย
คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ทำประตูให้ยูไนเต็ดขึ้นไปก่อน แต่เชลซีก็ได้ประตูตีเสมอจากแฟร้งค์ แลมพาร์ด ในนาทีสุดท้ายของครึ่งแรก แต่หลังจากนั้น แม้จะมีโอกาสอยู่พอสมควร แต่ก็ไม่มีฝ่ายไหนทำประตูได้ ทำให้ต้องตัดสินชี้ขาดหาผู้ชนะด้วยการดวลจุดโทษ
เรื่องราวสุดดราม่าเกิดขึ้น เมื่อแข้งชาวโปรตุเกสที่เล่นได้อย่างโดดเด่นในเกมนั้นกลับยิงจุดโทษไม่เข้า ทำให้โอกาสชูถ้วยบิ๊กเอียร์ตกมาอยู่ที่สิงห์บลูเกือบร้อยเปอร์เซนต์ แต่ทว่า จอห์น เทอร์รี่ กัปตันทีมคนเก่งดันลื่นในจังหวะสืบเท้าเข้าไปยิงจุดโทษก่อนที่บอลจะพุ่งไปชนเสาออกไปอย่างน่าเสียดาย
https://www.youtube.com/watch?v=jh_kBDG3SGY&t=524s
จนมาถึงช่วงดวลจุดโทษแบบซัดเดน เดธ แต่ผู้เล่นปีศาจแดงอย่าง ไรอัน กิ๊กส์ และ แอนเดอร์สัน ยิงเข้าทั้ง 2 ลูก ทำให้ความกดดันทั้งหมดตกมาอยู่ที่ นิโคล่า อเนลก้า ซึ่งใบหน้าบ่งบอกถึงความไม่มั่นใจอย่างชัดเจน และลูกยิงของเขาก็ถูก เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ ปฏิเสธเอาไว้ได้ ทำให้ทีมสีแดงจากเมืองแมนเชสเตอร์คว้าแชมป์ยุโรปมาครองเป็นสมัยที่ 3 ได้สำเร็จ
ลิเวอร์พูล พบ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย ปี 2017-2018)
ทันทีที่การจับฉลากรอบ 8 ทีมสุดท้ายในฤดูกาลนั้นเสร็จสิ้นลง ปฏิเสธไม่ได้ว่าการพบกันระหว่าง ทีมที่เล่นเกมรุกได้ดุดันอย่างลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ว่าที่แชมป์พรีเมียร์ลีกในปีนั้น คือแมตช์ที่ใครหลายคนตั้งตารอชมมากที่สุดในรอบนั้นเลย
ทั้งคู่ต่างขึ้นชื่อเรื่องเกมบุกที่ไม่เป็นสองรองใคร แต่ในเกมแรกนั้นกลับเป็นฝั่งเดอะ ค็อป ที่มีโอกาสได้เริงร่าก่อน หลังทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์ เปิดแอนฟิลด์ถล่มเรือใบสีฟ้าไปแบบเละเทะ 3-0 โดยได้ประตูในครึ่งแรกทั้งหมดจาก โมฮาเหม็ด ซาลาห์, อเล็กซ์ อ็อกเล็ด แชมเบอร์เลน และ ซาดิโอ้ มาเน่
ในนัดที่สอง ณ เอติฮัด สเตี้ยม ทีมของเป็ปได้ประตูออกนำเร็วตั้งแต่ครึ่งแรก แต่หงส์แดงก็มารัว 2 ลูกรวดไปครึ่งหลัง จบเกมซิตี้พ่ายได้ด้วยสกอร์รวม 5-1 ทำให้ลิเวอร์พูลผ่านเข้ารอบตัดเชือกไปได้อย่างสง่างาม จนสื่อหลายๆเจ้าเริ่มยกให้พวกเขาเป็นม้ามืดที่มีโอกาสคว้าแชมป์ในปีนั้น ซึ่งพวกเขาก็สามารถผ่านเข้าสู่รอบชิงฯได้ในเวลาต่อมา แต่น่าเสียดายที่พวกเขาต้านความแข็งแกร่งของเรอัล มาดริด ไม่ไหว และแพ้ไปด้วยสกอร์ 3-1
https://www.youtube.com/watch?v=eBZItu85G80
ความพ่ายแพ้ครั้งนั้นส่งผลให้อดีตกุนซือบาร์เซโลน่าวางแผนให้รัดกุมมากขึ้นยามเจอกับ ลิเวอร์พูล และไม่เปิดหน้าแลกบุกใส่เช่นครั้งก่อนๆ ซึ่งบทเรียนในครั้งนั้นทำให้พวกเขากลับมาขับเคี่ยวลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกกับลิเวอร์พูลอยู่ในตอนนี้