ซาร์รี่กับ 4 ความผิดพลาดครั้งใหญ่ในการคุมสิงห์บลู

 

ทุกอย่างในสแตมฟอร์ด บริดจ์ดูจะหม่นหม่องไปหมด ทั้งที่เริ่มต้นมาได้สวยงาม แต่เมาริซิโอ ซาร์รี่ กุนซือคนปัจจุบันของเชลซี กลับเปลี่ยนมันจากหน้ามือเป็นหลังมือ

 

สิงห์บลูแพ้ถึง 4 จาก 9 เกมนับตั้งแต่ปี 2019 หนึ่งในนั้นคือเกมที่พวกเขาแพ้แมนเชสเตอร์ ซิตี้แบบเละเทะ 6-0 ถือเป็นความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เปลี่ยนจากดิวิชั่น 1 มาเป็นพรีเมียร์ลีกในปี 1992

 

โดยในเกมที่ผ่านๆมา นักเตะหลายๆคนต่างทำผลงานได้ต่ำกว่ามาตรฐานมากๆ ซึ่งซาร์รี่ก็ออกมาตำหนิในงานแถลงข่าวหลังเกมอยู่บ่อยครั้งอยู่เช่นกัน แต่แน่นอนคนที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดก็หนีไม่พ้นนายใหญ่ชาวอิตาลีอยู่ดีที่วางแผนต่างๆผิดพลาด จนทำให้พวกเขาหล่นไปอยู่อันดับ 6 ในพรีเมียร์ลีก

 

ดังนั้นอะไรคือความผิดพลาดเหล่านั้นล่ะ? และความผิดเหล่านั้นมันมากมายแค่ไหน ลองอ่านบทความนี้ของ UFA ARENA และทำความเข้าใจกับสถานการณ์ในรั้วสแตมฟอร์ด บริดจ์ไปพร้อมๆกัน

 

 

ไม่มีแผนสำรอง

เมื่อซาร์รี่ได้เข้ามารับงานในซัมเมอร์ที่ผ่านมา แฟนๆต่างตื่นเต้นที่จะได้เห็นการเล่นบอลสไตล์อิตาลีในสแตมฟอร์ด บริดจ์

 

ซาริสโม่ คือสไตล์การเล่นเฉพาะตัวที่ซาร์รี่สร้างขึ้นในสมัยเป็นกุนซือนาโปลีอยู่ และกลายเป็นหนึ่งในทีมที่เล่นฟุตบอลได้สนุกที่สุดทีมหนึ่งในยุโรปเลย นั่นทำให้แฟนๆหวังว่าจะได้เห็นการเล่นแบบนั้นบ้างในเชลซี แม้จะต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนแปลงซักหน่อยก็ตาม

 

 

แต่เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ทิศทางของทีมกลับค่อยๆมีปัญหาติดขัดด้วยเหลายเหตุผล

 

ด้วยสไตล์การเล่นแบบนี้จะมี จอร์จินโญ่เป็นผู้เล่นสำคัญหลักๆในแผนนี้ คอยวางบอลขึ้นไปในแดนหน้า  แต่เมื่อไหร่ที่เจอคู่แข่งที่แพ็คเกมตรงกลางแน่นๆ พวกเขาก็ไม่สามารถเจาะเกมรับเข้าไปได้เลย

 

ผู้จัดการทีมที่ดีนั้นควรจะมีแผนสำรองเผื่อไว้ยามที่ทีมเกิดปัญหาในการใช้งานแผนหลัก แต่ทว่าซาร์รี่ไม่มีแผนสำรองที่ว่านั้น รวมไปถึงยังยืนยันว่าจะใช้แผนเดิมต่อไปด้วย

 

“ทำไมละ? ผมยังอยากเล่นนแผน A อยู่ ผมไม่อยากเปลี่ยนแผนแม้มันจะทำได้ไม่ดีเท่าไหร่ เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ทุกคนรู้ดีว่าบาร์เซโลน่าคว้าแชมป์มาได้ทุกรายการ เพราะพวกเขาเล่นฟุตบอลในแบบของพวกเขาได้ดีมากๆ ดังนั้นอันดับแรกผมจึงอยากให้ทีมเล่นฟุตบอลในแบบของผมให้ดีก่อน” ซาร์รี่กล่าวไว้ในเกมที่พ่ายบอร์มัธ 4-0 เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน

 

แม้จะมั่นใจและยึดมั่นในแผนการเล่นแบบนี้มากแค่ไหน แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาน่าจะทำให้ใครหลายคนเสื่อมศรัทธาในตัวกุนซือชาวอิตาเลี่ยนไม่น้อยเช่นกัน เพราะพวกเขาเสียประตูไป 12 ลูกในเกมเยือน 3 นัดหลังสุด แถมยังยิงใครไม่ได้เลยนับตั้งแต่ปีใหม่เป็นต้นมา

 

 

ไม่มีการโรเตชั่นที่เพียงพอ

เป็นเรื่องธรรมดาปกติที่นักฟุตบอลทุกคนย่อมอยากลงเล่นเป็นตัวจริง ซึ่งปัจจัยเหล่านั้นก็ขึ้นอยู่ฟอร์มและความเหมาะสมต่อแผนการเล่นด้วย

 

แต่การโรเตชั่นนักเตะในทีมจะช่วยให้ทุกคนในทีมแฮปปี้ที่ได้มีโอกาสลงไปโชว์ฝีเท้าบ้าง รวมไปถึงนักเตะคนอื่นๆได้พักมากขึ้น หลังจากลงเล่นมานานหลายนัด

 

ในยูโรป้า ลีก แฟนๆหลายคนคาดหวังว่าจะได้เห็นแข้งดาวรุ่งในเชลซีมีโอกาสแสดงผลงานบ้าง และพักนักเตะตัวหลักบางคนเพื่อเอาไปใช้ในเกมสำคัญต่อไป

 

 

อย่างไรก็ตาม ซาร์รี่ไม่ได้มองแบบนั้น เขาส่งผู้เล่นชุดใหญ่ลงเล่นในฟุตบอลยุโรปถ้วยเล็กแทบทุกนัด ส่วนพวกดาวรุ่งอย่าง คัลลัม ฮัดสัน โอดอย และ อีธาน เอ็มปาดู ได้เล่นก็ต่อเมื่อทีมผ่านเข้าน็อคเอ้าท์ไปแล้วเท่านั้น ขณะที่ถ้วยคาราบาว คัพ ก็ไม่ได้ต่างจากยูโรป้า ลีก มากนัก

 

ตลอด 40 เกมที่เชลซีลงเล่นทึกรายการในปีนี้ ซาร์รี่ใช้นักเตะไป 27 คน แต่มีแค่ 15 คนเท่านั้นที่ได้ลงเล่นมากกว่าครึ่งของ 40 นัด ซึ่งนักเตะอย่างวิลเลี่ยนพลาดไปแค่ 3 เกมเท่านั้น

 

บวกกับสไตล์การเล่นแบบ ซาริสโม่ มีเน้นบีบพื้นที่สูง และใช้พลังงานเยอะมากๆตลอด 90 นาที ไม่แปลกใจที่นักเตะในทีมจะดูเหนื่อยล้าในช่วงที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นเชลซีควรให้โอกาสดาวรุ่งอย่าง โอดอย หรือคนอื่นๆลงเล่นดูน่าจะเป็นทางออกที่ดีกว่า

 

 

การจับอาซาร์เป็นหน้าเป้า

 

ในช่วงแรกที่เชลซีกำลังโชว์ผลงานแจ่มในฤดูกาลนี้ เอเด็น อาซาร์คือนักเตะที่โชว์ฟอร์มได้โดดเด่นสุดๆ โดยยิงไปถึง 6 ลูก และแอสซิสต์อีก 2 ลูก ในช่วงสิ้นเดือนกันยายน

 

แต่ทันทีที่ซาร์รี่จับดาวเตะชาวเบลเยี่ยมมาเล่นเป็นกองหน้า เพื่อแก้ปัญหาแนวรุกที่ฝืดเคือง แฟนสิงห์บลูก็แทบไม่เห็นอาซาร์ยิงประตูเหมือนเมื่อก่อนเลย

 

 

ชัดเจนว่าบทบาทหัวหอกกับอาซาร์เป็นอะไรที่ไม่เข้ากันแม้แต่น้อย แม้เขาจะมีความสามารถมากแค่ไหนก็ตาม และไม่ได้ยิงประตูเป็นกอบเป็นกำแบบที่ซาร์รี่เคยปั้น ดรีส์ เมอร์เทนส์ ้เหมือนสมัยคุมทีมนาโปลีได้เลย

 

แต่ปัญหาที่เด่นชัดกว่านั้น ในทีมไม่มีผู้เล่นสามารถมาแทนที่อาซาร์ในตำแหน่งตัวริมเส้นฝั่งซ้ายได้เลย ถ้าหากเขาต้องขยับไปเล่นเป็นกองหน้าจริงๆ

 

ณ ปัจจุบัน อาซาร์ก็ยังเป็นหนึ่งในปีกซ้ายที่ดีที่สุดในพรีเมียร์ ณ ตอนนี้ และมีไม่กี่คนหรอกที่ทำผลงานได้โดดเด่นกว่าเขา และนักเตะในทีมอย่าง วิลเลี่ยน หรือ เปโดร ก็ไม่สามารถฝากความหวังได้มากเหมือนแข้งวัย 28 ปีรายนี้

 

อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เชื่อว่าเราคงไม่เห็นอาซาร์ไปเล่นเป็นกองหน้าแล้วล่ะ หลังการมาของกอนซาโล่ อิกวาอิน กองหน้าที่ซาร์รี่เคยร่วมงานสมัยอยู่นาโปลี

 

 

ดันทุรังใช้มาร์กอส อลอนโซ่

 

 

มาร์กอส อลอนโซ่ เปิดตัวกับเชลซีในปีแรกได้อย่างสวยงามกับตำแหน่งวิงแบ็คฝั่งซ้าย และช่วยให้สิงห์บลูคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2016-17 ได้ ภายใต้การดูแลของอันโตนิโอ้ คอนเต้ ในตอนนั้น

 

แข้งชาวสเปนสามารถเติมเกมรุกได้เพลินตา แม้เขาจะมีข้อเสียในเกมรับอยู่บ้าง แต่คอนเต้ก็ใช้ปราการหลังอีก 3 คน คอยปกปิดช่องว่างตรงนั้นอยู่

 

แต่หลังจากที่คอนเต้ได้ลาทีมไป และซาร์รี่เข้ามาแทนที่ในซัมเมอร์ที่ผ่านมา หลายคนมองว่าอลอนโซ่ไม่ดีพอกับตำแหน่งฟูลแบ็ค รวมไปถึงการเล่นแบบ ซาริสโม่ ด้วย

 

แต่ที่น่าแปลกใจคือช่วงแรกในฤดูกาลนี้ เขายังผลงานได้ดีหลังแอสซิสต์ไป 2 ลูกจาก 4 เกมแรก จนนายใหญ่ชาวอิตาลีออกมายกย่องว่าอลอนโซ่คือหนึ่งในแบ็คซ้ายที่ดีที่สุดในยุโรป จนได้รับการต่อสัญญาระยะยาวจากสโมสรในเดือนตุลาคมปีที่แล้ว

 

หลังจากนั้นทุกอย่างกลับตาลปัตรหมด บ่อยครั่งที่อลอนโซ่เติมเกมขึ้นไปสูงจนเปิดช่องว่างให้คู่แข่งเข้าทำ ในเกมพ่ายแมนซิตี้ 6-0 ประตูแรกที่เสียไปก็มาจากความผิดพลาดของเขาเต็มๆ

 

ตลอดหลายอาทิตย์ที่ผ่านมา แฟนเชลซีพยายามเรียกร้องให้ซาร์รี่ใช้ เอเมอร์สัน แบ็คซ้ายอีกคนมาเล่นเป็นตัวจริงแทนอลอนโซ่บ้าง แต่ตัวเขาก็ยืนยันว่าจะใช้อลอนโซ่ต่อไป เนื่องจากแข้งชาวสเปนมีความแข็งแกร่งด้านกายภาพมากกว่าเอเมอร์สัน

 

แต่ตอนนี้ดูเหมือนซาร์รี่จะตาสว่างมากขึ้น หลังรายชื่อผู้เล่นที่ออกไปเยือนมัลโม่ในเกมยูโรป้า ลีกวันนี้ ไม่มีชื่อของอลอนโซ่อยู่ และน่าจะทำให้แฟนเชลซีมองเขาดีขึ้นมาหน่อย แม้จะเป็นเพียงแค่เล็กน้อยก็ตาม