ซุ้มมือปืน : 10 สุดยอดดาวยิงในถิ่นตราหมี

 

 

แอตเลติโก้ มาดริด คือหนึ่งในสโมสรฟุตบอลที่หลายทีมในยุโรปต่างพากันอิจฉา เพราะพวกเขาไม่เคยขาดแคลนกองหน้าระดับโลกเลย ไม่ว่าจะยุคไหนๆก็ตาม และแม้จะเสียดาวยิงตัวหลักคนไหนไปให้สโมสรอื่น ทีมตราหมีมักจะหาตัวตายตัวแทนได้อยู่เสมอ

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังปี 2000 เป็นต้นมา ยอดทีมแห่งกรุงมาดริดสามารถส่งตอความยอดเยี่ยมในแดนหน้าได้อย่างยอดเยี่ยมไม่มีขาดช่วง จนก้าวขึ้นมาเป็นชั้นนำในทวีปยุโรปได้อย่างเต็มภาคภูมิ

 

และนี่ 10 สุดยอดดาวยิงระดับโลกที่เคยค้าแข้งกับทีมตราหมีที่แฟนบอลทั่วโลกจดจำได้อย่างขึ้นใจ

 

 

คริสเตียน วิเอรี่ (1997-1998)

 

 

หนึ่งในกองหน้าที่ได้รับการยกย่องว่าดีที่สุดในยุคปลาย 90 ถึงช่วงต้นปี 2000, คริสเตียน วิเอรี่ ประสบความสำเร็จอย่างมากยามค้าแข้งกับแอตเลติโก้ มาดริด หลังจากมาจากยูเวนตุสมาค้าแข้งในสเปนด้วยค่าตัวถึง 10 ล้านยูโร น่าเสียดายที่เขาอยู่กับทีมแค่ปีเดียวเท่านั้น

 

อย่างไรก็ตาม หัวหอกชาวอิตาเลี่ยนสร้างปรากฏการณ์ได้ตั้งปีแรกที่แดนกระทิงหลังซัดไปถึง 24 ประตู จากการลงเล่น 24 นัดในลีก ทำให้เขาคว้ารางวัลปีปีชี่ไปครองแบบเหนือความคาดหมายของใครหลายคน

 

วิเอรี่ยังโชว์ฟอร์มอย่างร้อนแรงต่อเนื่องให้ทัพอัซซูรี่ในฟุตบอลโลกปี 1998 ทำให้ลาซิโอคว้าตัวเขาไปร่วมทีมด้วยค่า 25 ล้านยูโร ฟันกำไรเหนาะๆไปถึง 15 ล้านยูโร หากนับจากต้นทุนที่ซื้อมา

 

 

จิมมี่ ฟลอยด์ ฮัสเซลแบงค์ (1999-2000)

 

 

หลังจากหาตัวแทนของวิเอรี่อยู่ 1 ปีเต็มๆ ในที่สุดทีมตราหมีก็หาคนๆนั้นเจอ เมื่อพวกเขาได้คว้าตัว จิมมี่ ฟลอยด์ ฮัสเซลแบงค์ จากลีดส์ ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัว 10 ล้านยูโร แต่ทว่าสโมสรจากเมืองมาดริดดันออกสตาร์ทในฤดูกาลนั้นได้อย่างย่ำแย่ โดยพ่ายถึง 3 เกมแรกติดต่อกัน และฟอร์มการเล่นก็ทรุดลงเรื่อยๆมานับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

 

แต่ถึงกระนั้น นี่กลับทำให้แฟนบอลทั่วโลกเห็นถึงความยอดเยี่ยมของดาวยิงชาวดัชต์แบบเต็มตา โดยเขายิงประตูไป 24 ลูก จากการลงเล่น 34 นัดทุกรายการ และรั้งอันดับรองดาวซัลโวประจำลีกในปีนั้น แม้ว่าทีมตราหมีจะต้องตกชั้นไปเล่นในเซกุนก้า ลีกรองของสเปน เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรก็ตาม

 

ฮัสเซลแบงค์เป็นที่รักของแฟนตราหมีมากๆ หลังทำประตูสำคัญ 2 ลูกให้ทีมเอาชนะคู่อริร่วมเมืองอย่าง เรอัล มาดริด ได้ถึงถิ่นซานติอาโก้ เบอร์นาเบว เป็นครั้งแรกในรอบ 9 ปี รวมทั้งทำประตูที่คัมป์ นู ในเกมที่พบกับบาร์เซโลน่า ก็ทำให้เขาก้าวขึ้นไปเป็นหนึ่งในกองหน้าระดับท็อปของโลกอย่างเต็มตัว และกลายเป็นกองหน้าคนแรกที่ได้ค้าแข้งให้กับ แอตฯมาดริด และ เชลซี ด้วย

 

 

เฟร์นานโด ตอร์เรส (2001-2007, 2015-2018)

 

 

แม้ทีมจะตกชั้นแบบไม่มีใครคาดคิด แต่ว่ามันก็มีเรื่องดีๆอยู่เหมือนกัน เมื่อสโมสรได้ค้นพบดาวยิงดวงใหม่อย่าง เฟร์นานโด ตอร์เรส หนึ่งในลูกหม้อคนสำคัญของทีมที่ไต่เต้ามาตั้งแต่ทีมชุดเยาวชนจนไปถึงชุดใหญ่ได้สำเร็จ และที่สำคัญ เอล นิลโญ่ เป็นแฟนตัวยงของทีมตราหมีแบบเข้าเส้นด้วย ทำให้เขาทุ่มเทเกินร้อยยามลงเล่นในทีมรักเสมอ

 

แอตฯมาดริดเลื่อนชั้นขึ้นมาลาลีก้าอย่างรวดเร็ว หลังตกชั้นไปแค่ปีเดียว และแฟนบอลแดนกระทิงก็จับจ้องไปที่ดาวยิงดาวรุ่งทันที เมื่อเขาทำประตูได้ถึง 13 ลูกจากการลงเล่น 29 นัด และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในปีต่อมา ก่อนจะก้าวขึ้นไปเป็นกัปตันทีมในฤดูกาล 2003-04 ด้วยวัยเพียง 19 ปี ซึ่งเขาก็รักษามาตรฐานของตนเองได้อย่างยอดเยี่ยม จนได้ย้ายไปค้าแข้งกับลิเวอร์พูลในปี 2007 และกลายเป็นดาวยิงประดับโลกอยู่หลายปีหลังจากนั้น

 

หลังจากที่เขาลาเครื่องแบบหงส์แดง ฟอร์มการเล่นของเขาก็ไม่เคยกลับมาเหมือนเดิมอีกเลย แม้จะคว้าแชมป์ยุโรปกับเชลซีได้ก็ตาม ก่อนจะร่อนเร่พเนจรไปเรื่อย จนได้กลับมาเล่นในทีมในวัยเด็กอีกครั้งในปี 2015 ด้วยสัญญายืมตัวจากเอซี มิลาน ก่อนที่ตราหมีจะซื้อขาดในปีถัดมา

 

แม้สถานะของเขาจะไม่เหมือนเดิม แต่ตอร์เรสก็ยังเล่นให้ทีมแบบเต็มที่ไม่มีบ่น และกลายเป็นดาวยิงสูงสุดตลอดกาลอันดับ 5 ของตราหมีเป็นที่เรียบร้อย โดยยิงไปทั้งหมด 127 ประตูจากการลงเล่น 350 นัด ก่อนจะย้ายไปโชว์ฝีเท้าในแดนซามูไรกับ ซากัน โตซุ เมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา

 

 

เซร์กิโอ้ อเกวโร่ (2006-2011)

 

 

แฟนบอลทั่วโลกตกใจไม่น้อย เมื่อแอตเลติโก้ มาดริด ไปคว้าดาวรุ่งนามว่า เซร์กิโอ้ อเกวโร่ จาก อินดิเพนเดนเต้ ด้วยค้าตัว 23 ล้านยูโร ซึ่งถือว่ามากโขอยู่กับแข้งวัยแค่ 18 ปีเท่านั้น แต่ทว่านี่กลายเป็นหนึ่งในดีลที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสร เมื่อกุนได้ก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลักของทีมภายในเวลาในนานหลังย้ายมาจากอาร์เจนติน่า

 

หัวหอกเลือดฟ้าขาวโชว์ฟอร์มกระฉูดแตกในฤดูกาล 2009-10 ซึ่งเป็นผู้เล่นสำคัญในการพาทีมคว้าแชมป์ยูโรป้า ลีก และ เข้ารอบชิง โคปา เดล เรย์ แม้ว่าเขาจะตัวเล็กเกินไปในบทบาทกองหน้ายุคใหม่ แต่การประสานงานกับ ดีเอโก้ ฟอร์ลันก็ช่วยลบข้อด้อยของทั้งคู่ให้หายไป และผลที่ได้คือภาพการยิงประตูของคู่หัวหอกตราหมีที่เราเห็นจนชินตา

 

แต่ฤดูกาลที่ดีที่สุดของอเกวโร่คือ ปี 2010-11 หลังทำประตูไป 20 ลูกเป็นครั้งแรกในอาชีพค้าแข้ง ด้วยฟอร์มการเล่นแบบนี้ทำให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ คว้าตัวเขาไปร่วมทีมด้วยค่าตัว 45 ล้านยูโร ซึ่งตราหมีก็ไม่ได้เสียดายอะไร เพราะพวกเขาได้ตัวแทนคนใหม่อย่าง ราดาเมล ฟัลเกา มาเรียบร้อยแล้ว

 

 

ดีเอโก้ ฟอร์ลัน (2007-2011)

 

 

กองหน้าชาวอุรุกวัยเข้ามาในถิ่นบิเซนเต้ กัลเดร่อน เพื่อเป็นตัวแทนของ เฟอร์นานโด ตอร์เรส ที่ย้ายไปค้าแข้งในอังกฤษกับลิเวอร์พูล ซึ่งเขาก็ไม่ทำให้แฟนๆผิดหวัง เมื่อซัดประตูในฤดูกาลแรกกับตราหมีถึง 23 ลูก พร้อมกับเล่นกับ อเกวโร่ กองหน้าดาวรุ่งได้อย่างเข้าขารู้ใจ

 

ในฤดูกาลที่สองของฟอร์ลันก็ยังโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมหลังซัดไป 32 ประตูจาก 33 นัด คว้ารางวัลปีปีชี่ หรือ ดาวซัลโวของลาลีก้าไปครองในปีนั้น แม้จะมีบางช่วงที่ทีมทำผลงานได้ต่ำกว่ามาตรฐาน แต่เขาก็ยังยิงประตูได้เรื่อยๆ พร้อมกับพาทีมคว้าแชมป์ยูโรป้า ลีก ในปี 2010

 

ฟอร์ลันประสบความสำเร็จอย่างมากกับการค้าแข้งในทีมตราหมีนานกว่า 4 ปี และซัดไปถึง 96 ลูกจากการลงเล่น 198 นัดในทุกรายการก่อนจะย้ายไปค้าแข้งกับอินเตอร์ มิลาน ในปี 2011 หลังคว้าแชมป์ยูฟ่า ซุปเปอร์ คัพ เป็นโทรฟี่สุดท้ายกับแอตฯมาดริดเมื่อปี 2010

 

 

ราดาเมล ฟัลเกา (2011-2013)

 

 

เอล ติเกร้ ย้ายจากปอร์โต้มาเป็นความหวังใหม่ในแฟนบอลแอตมาดริด ด้วยค่าตัว 40 ล้านยูโร ซึ่งฟัลเกาก็แสดงให้เห็นชัดเจนว่า การขาดหายไปของคู่หูดาวยิงคนก่อนอย่าง อเกวโร่ และ ฟอรลัน ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวอย่างที่ใครๆเคยคิด

 

ดาวยิงชาวโคลอมเบียยังคงรักษาความเป็นเพชรฆาตในกรอบเขตโทษเช่นในสมัยที่ค้าแข้งกับปอร์โต้ได้อย่างยอดเยี่ยม อาจจะทำได้ดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ เมื่อพาทีมตราหมีคว้าแชมป์ยูโรป้า ลีก เป็นสมัยที่ 2 ในปีแรกที่เขาเข้ามาในทีม และกลายเป็นนักเตะคนเดียวที่คว้าแชมป์รายการนี้ได้ 2 ปีติดต่อกันจากการลงเล่นให้ 2 สโมสรที่แตกต่างกันในแต่ละปี

 

ฟัลเกามีสถิติการทำประตูที่สุดยอดมากในสีเสื้อแดง-ขาว โดยทำได้ถึง 70 ประตูจากการลงเล่น 91 นัดเท่านั้น แต่น่าเสียดายที่เขาอยู่ทีมแค่ 2 ปีกว่าเท่านั้น ตราหมีก็ตัดสินใจขายเขาให้กับโมนาโกด้วยค่าตัวมากถึง 60 ล้านยูโรในปี 2013

 

 

ดีเอโก้ คอสต้า (2010-2014, 2018-?)

 

 

กองหน้าจอมเถื่อนอยู่กับทีมตราหมีมาตั้งแต่สมัยที่ ฟอร์ลัน และ อเกวโร่ ยังค้าแข้งในสเปน เพียงแต่ตอนนั้นเขายังไม่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักในทีมได้เท่านั้นเอง แต่แล้วเวลาของเขาก็มาถึง เมื่อคอสต้าเป็นคนสำคัญในการช่วยให้ทีมเอาชนะเรอัล มาดริด ในศึกโคปา เดล เรย์ ในปี 2013

 

แต่นั่นยังไม่ใช่ช่วงพีกที่สุดของคอสต้ากับทีมตราหมี เพราะในฤดูกาลต่อมาต่างหากคือของจริง หลังเป็นแข้งคนสำคัญในการพาทีมคว้าแชมป์ลาลีก้าครั้งแรกในรอบ 18 ปี และพาทีมเข้ารอบชิงยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกด้วย ก่อนจะย้ายไปเชลซีหลังจบฤดูกาลนั้นด้วยค่าตัว 36 ล้านยูโร

 

หลังจากทีประสบความสำเร็จกับสิงห์บลูอยู่ 3 ปี เขาก็ตัดสินใจย้ายกลับทีมตราหมีอีกครั้ง เนื่องจากไม่อยู่ในแผนการทำทีมของอันโตนิโอ คอนเต้ กุนซือเชลซีในตอนนั้น แต่ทว่าคอสต้าก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะกลับมาเป็นคนเดิมได้หลังถูกปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนตั้งแต่กลับมาค้าแข้งในสเปนรอบสอง

 

 

ดาบิด บีย่า (2013-2014)

 

 

อีกหนึ่งกองหน้าระดับโลกที่มีโอกาสมาค้าแข้งกับทีมตราหมี, ดาบิด บีย่า ดาวยิงสูงสุดตลอดกาลในทีมชาติสเปน ได้ย้ายจากบาร์เซโลน่ามาเล่นอยู่กับสโมสรในกรุงมาดริด เมื่อปี 2013 ด้วยค่าตัวแค่ 5.1 ล้านยูโร

 

แต่ดีลนี้ต้องบอกว่าคุ้มซะยิ่งกว่าคุ้ม เมื่อ เอล กวาเฆ่ เข้ามาเป็นกองหน้าตัวหลักของทีมและประสานงานกับ ดีเอโก้ คอสต้า ได้อย่างลงตัว จนทำประตูสำคัญให้ทีมได้มากมายในปีนั้น ก่อนจะพาทีมล้มยักษ์ใหญ่ในลีกอย่าง บาร์เซโลน่ากับเรอัล มาดริด ที่ครองอำนาจในวงการลูกหนังสเปนมาอย่างยาวนานและคว้าแชมป์ลาลีก้าไปครองแบบเหนือความคาดหมาย ก่อนจะลาทีมไปอยู่กับ นิวยอร์ค ซิตี้ ที่อเมริกาหลังค้าแข้งกับทีมแค่ปีเดียวเท่านั้น

 

ปัจจบุัน บีย่า กำลังโกยเงินเยนกับ วิสเซล โกเบ ในเจลีก ประเทศญี่ปุ่น โดยลงเล่นร่วมกับอดีตเพื่อนร่วมทีมเก่าสมัยค้าแข้งในบาร์ซ่าอย่าง อันเดรส อิเนียสต้า ด้วย

 

 

มาริโอ มานด์ซูคิช (2014-2015)

 

 

ทันทีที่คอสต้าลาทีมไป แอตมาดริดก็ไม่รอช้ารีบคว้าตัว มานด์ซูคิช จากบาเยิร์น มิวนิค เข้ามาทดแทนส่วนที่ขาดหายอย่างรวดเร็ว ซึ่งตัวเขาเองก็ปรับตัวเข้ากับทีมใหม่ได้ในเวลาไม่นานนัก และด้วยรูปร่างที่สูงใหญ่ทำให้เหมาะกับสไตล์การทำทีมของดีเอโก้ ซิเมโอเน่เป็นอย่างดี

 

หัวหอกชาวโครเอเชีย ซัดไปถึง 20 ประตูจากการลงเล่น 43 นัดในทุกรายการ ซึ่งนี่สถิตินี้พิสูจน์ได้ดีว่าเขายอดเยี่ยมเพียงใดกับการค้าแข้งในแดนกระทิง ทั้งๆที่เล่นเป็นปีแรกเท่านั้น น่าเสียดายที่เขาไม่อยู่สร้างความสำเร็จต่อกับทีม เมื่อเขาย้ายไปยูเวนตุสด้วยค่าตัว 19 ล้านยูโรหลังจบฤดูกาลนั้น

 

อย่างไรก็ตาม แฟนบอลตราหมีคงจดจำชื่อของมานด์ซูคิชไปอีกนาน เมื่อเขาโชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยมในเกมที่แอตฯมาดริดเอาชนะเรอัล มาดริด คู่แค้นตลอดกาลไป 4-0 พร้อมกับคว้ารางวัลแมนออฟเดอะแมตช์ในนัดนั้นไปครอง

 

 

อองตวน กรีซมันน์ (2014- 2019)

 

 

สตาร์คนปัจจุบันของแอตเลติโก้ มาดริด แต่ในอันอนาคตอันใกล้นี้ อองตวน กรีซมันน์ จะกลายเป็นอดีตแข้งของทีมตราหมี เมื่อสโมสรได้ออกมายืนยันว่าเขาจะลาถิ่นว่านต๋า เมโทรโปลิตาโน่ ในซัมเมอร์นี้อย่างแน่นอน รวมถึงตัวเขาก็ออกมายืนยันด้วยตัวเองผ่านสื่อโซเชียลเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา โดนคาดว่าสถานีต่อไปของเขาคือบาร์เซโลน่า แชมป์ลีกในฤดูกาลนี้

 

แข้งชาวฝรั่งเศสกลายเป็นดาวยิงความหวังใหม่ของสโมสร นับตั้งแต่ ดีเอโก้ คอสต้า ย้ายทีมไป โดยก่อหน้านี้ เขาเล่นเป็นปีกและตัวริมเส้นกับเรอัล โซเซียดัด ก่อนจะถูกดีเอโก้ ซิเมโอเน่ ปรับแต่งพันธุกรรมจนกลายเป็นกองหน้าแบบเต็มตัว และยิงประตูให้ทีมมากมายตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

 

แม้กรีซมันน์จะไม่มีโอกาสคว้าแชมป์ลีกกับทีมตราหมี เหมือนคอสต้า แต่ว่าเขาก็เคยพาทีมคว้าโทรฟี่มาประดับสโมสรอยู่ 3 รายการ โดยแบ่งเป็น แชมป์ยูโรป้าลีกปี 2018, แชมป์ยูฟ่า ซุปเปอร์ คัพ ปี 2018 และ สแปนิช ซุปเปอร์ คัพ ในปี 2014