ดีพอหรือยัง : แรชฟอร์ด-มาร์กซิยาล-กรีนวู้ด กับภารกิจล่าตาข่ายให้ผีซีซั่นหน้า

 

ทุกคนทราบกันดีว่าสามประสานของ ลิเวอร์พูล อย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ , โรแบร์โต้ เฟอร์มิโน่ และ ซาดิโอ มาเน่ โหดสลัดขนาดไหน แต่รู้หรือไม่ว่าในฤดูกาลนี้ สามแนวรุกของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยิงประตูรวมกันได้มากกว่าเด็กๆของ เจอร์เก้น คล็อปป์ เสียอีก

 

หลังฟุตบอลพรีเมียร์ลีกกลับมาเปิดศึกกันอีกครั้ง โอเล่ กุนนาร์ โซลชา สามารถนำกองทัพอสูรคว้าชัยได้ถึง 4 จาก 5 เกม พร้อมทะลวงประตูคู่แข่งไปถึง 14 ลูก และที่สำคัญ กุนซือหน้าทารกได้ค้นพบทีมชุดที่ดีที่สุดของตัวเองเรียบร้อยแล้ว โดยมี มาร์คัส แรชฟอร์ด , อองโตนี่ มาร์กซิยาล และ เมสัน กรีนวู้ด เป็นหน่วยล่าสังหารในแดนหน้า

 

แน่นอน ในเวลานี้คงไม่มีใครสงสัยในศักยภาพของทั้งสาม ทว่าคำถามที่ตามมาก็คือ พวกเขาดีพอที่จะเป็นความหวังของ ยูไนเต็ด ในฤดูกาลหน้าได้หรือยัง? ซึ่งในวันนี้เราจะพามาเจาะแต่ละประเด็นกัน

 

สถิติไม่ธรรมดา

 

อย่างที่เกริ่นไปข้างต้น แม้ แมนฯ ยูไนเต็ด จะล้มลุกคลุกคลานมาตลอดครึ่งฤดูกาลแรก แต่ แรชฟอร์ด-มาร์กซิยาล-กรีนวู้ด กลับซัดประตูรวมกันได้มากกว่า ซาลาห์-เฟอร์มิโน่-มาเน่ ซะอย่างนั้น โดยสามแนวรุกปีศาจแดงทำไปได้ทั้งหมด 55 ประตู ขณะที่สามประสานทีมแชมป์พรีเมียร์ลีกทำไปได้ทั้งหมด 54 ประตู

 

และหากมาเทียบกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่นำมาโดย เซร์คิโอ อเกวโร่ , ราฮีม สเตอร์ลิ่ง และ กาเบรียล เฆซุส กุมารทองของ โซลชา ยังเป็นรองลูกทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า อยู่ 10 ลูก แต่ถึงกระนั้น ต้องไม่ลืมว่าซีซั่นนี้ แรชฟอร์ด หายไปเพราะอาการบาดเจ็บ 12 นัด ส่วน มาร์กซิยาล โดนอาการเดี้ยงพรากไป 10 นัด

 

 

การยืนระยะ

 

เชื่อว่าวินาทีนี้แฟนผีทุกหมู่เหล่าไม่ได้กลัวว่าจะมีใครฟอร์มออกทะเล แต่กลัวว่าอาการบาดเจ็บจะไปเคาะประตูบ้านใครต่างหาก และถ้า แรชฟอร์ด-มาร์กซิยาล-กรีนวู้ด ต้องกรำศึกหนักตลอดทั้งฤดูกาลหน้า ก็น่าคิดว่าทั้งสามจะสามารถยืนระยะได้นานขนาดไหน

 

ใช่, เราคงไม่สามารถคาดเดาอนาคตได้ แต่สิ่งที่พอจะช่วยให้เห็นภาพลางๆคือประวัติอาการบาดเจ็บ และต่อไปนี้คือประวัติอาการบาดเจ็บที่ต้องใช้เวลาพักรักษาตัวนานเกิน 10 วันของทั้งสาม

 

แรชฟอร์ด : หลัง (42 วัน)

มาร์กซิยาล : ข้อเท้า (35 วัน) , ต้นขา (14 วัน) , กล้ามเนื้อ (10 วัน) , หน้าขา (25 วัน) , แฮมสตริง (56 วัน)

กรีนวู้ด : ไม่มี

 

จากลิสต์ดังกล่าว จะเห็นได้ว่าคนที่น่ากังวลที่สุดคือหัวหอกเฟรนช์แมน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับปัญหาอาการบาดเจ็บที่แฮมสตริง เพราะมีโอกาสเกิดซ้ำได้อีก ขณะที่ในรายของดาวเตะทีมชาติอังกฤษ อาการบาดเจ็บที่หลังเกิดขึ้นจากการโดนเข้าปะทะ ทั้งยังไม่ใช่จุดที่มีโอกาสเจ็บซ้ำได้ง่ายเหมือนกับแฮมสตริง

 

 

บรูโน่ แฟร์นานเดส

 

ปฏิเสธไม่ได้ว่ากุญแจสำคัญที่ทำให้เกมรุกของ แมนฯ ยูไนเต็ด ผงาดง้ำค้ำโลกอย่างทุกวันนี้คือการมาของชายที่ชื่อ บรูโน่ แฟร์นานเดส

 

ทีมของโซลชาสะกด “แพ , แพ่ , แพ๋” มาตลอดนับตั้งแต่ที่ได้ บรูโน่ มาร่วมทีมเมื่อเดือนมกราคม ซึ่งจนถึงตอนนี้ก็ปาเข้าไป 14 นัดแล้ว พร้อมรัวคู่แข่งไปถึง 36 ลูก นั่นแปลว่าความเป็นอยู่ของเพลย์เมคเกอร์ฝอยทอง จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ตัดสินว่า แรชฟอร์ด-มาร์กซิยาล-กรีนวู้ด จะยังเฉิดฉายได้ไหมในซีซั่นหน้า

 

 

ตลาดซื้อขายช่วงซัมเมอร์

 

แทบทุกคนรู้ว่าจุดที่เป็นปัญหาสำคัญของ แมนฯ ยูไนเต็ด ในฤดูกาลนี้คือตำแหน่งหน้าขวา และ จาดอน ซานโช่ คือจิ๊กซอว์ที่ปีศาจแดงกำลังตามล่าอยู่ แต่การพุ่งขึ้นมาของ กรีนวู้ด อาจทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไปไม่มากก็น้อย

 

อย่าเพิ่งเข้าใจผิด การได้โคตรวอนเดอร์คิดอย่าง ซานโช่ มาย่อมเป็นอะไรที่ดีกว่าอยู่แล้ว และตัวนักเตะเองก็มีใจให้กับ ยูไนเต็ด ด้วย แต่ปัญหาอยู่ที่ต้นสังกัดอย่าง โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ที่สวมบทเป็นพ่อค้าหน้าเลือดโก่งราคาดาวรุ่งรายนี้ขึ้นไปถึง 100 ล้านยูโร มิหนำซ้ำ ด้วยสถานการณ์ที่ทุกสโมสรเงินหดหายเพราะวิกฤตไวรัสโควิด-19 ปีศาจแดงจึงจำเป็นต้องใช้จ่ายอย่างมีสติมากขึ้นในช่วงหน้าร้อนนี้

 

การแจ้งเกิดขึ้นมาของเจ้าหนูไม้เขียว อาจทำให้ตำแหน่งหน้าขวาไม่ใช่ปัญหาเร่งด่วนของพลพรรคอสูรอีกแล้ว โดยพวกเขาสามารถนำงบไปต่อเติมจุดอื่นๆอย่างเซนเตอร์แบ็ค , กองหน้าตัวเป้าสไตล์พักบอล หรือกองกลางตัวรับก่อน แล้วค่อยไปหาอดีตเด็กปั้นเรือใบสีฟ้าในช่วงเวลาที่เหมาะสมกว่านี้ (เงินพร้อม , ตัวนักเตะงอแง , สัญญาเหลือน้อยลง)

 

 

สรุปแล้วทั้งสามจะเป็นความหวังของปีศาจแดงได้ไหม ?

 

ท้ายที่สุด เราจะวนกลับเข้ามาสู่คำถามที่ว่า “แฟนผีสามารถฝากความหวังเอาไว้กับ แรชฟอร์ด-มาร์กซิยาล-กรีนวู้ด ได้ไหมในฤดูกาลหน้า?”

 

หากดูจากสถิติการยิงประตูและผลงานของ แมนฯ ยูไนเต็ด ในเวลานี้ แน่นอนว่าทั้งสามจะสามารถแบกเกมรุกของปีศาจแดงได้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝันกับ บรูโน่ ที่เปรียบเสมือนขุมพลังของพวกเขาล่ะ? หรือจากประวัติอาการบาดเจ็บที่ยกมาให้ดู ก็มีความเป็นไปได้เหมือนกันที่ มาร์กซิยาล จะโดนโรคเดี้ยงลักพาตัวไปอีก

 

นอกจากนี้ อย่าลืมว่า กรีนวู้ด เพิ่งอายุแค่ 18 ปีเท่านั้น คุณจะคาดหวังความสม่ำเสมอได้ขนาดไหนจากเด็กวัยที่ยังเข้าผับไม่ได้

 

ถึงตรงนี้ หลังจากเทส่วนผสมทุกอย่างลงในแก้วกาแฟ , ใช้ช้อนคนให้เข้าที่ และลองชิมดู รสชาติที่ออกมาน่าจะยังห่างไกลจากคำว่ากลมกล่อม และการเติมน้ำตาลที่ชื่อว่า ซานโช่ หรือคอฟฟี่เมตที่ชื่อว่า ราอูล ฆิเมเนซ ก็อาจเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับโอกาสเข้าใกล้แชมป์พรีเมียร์ลีกในซีซั่น 2020-21