ดูไว้บรูซซี่: 9 กุนซือที่ใช้ผลงานตอกกลับเสียงวิจารณ์จนเงียบสนิท

 

แม้เพิ่งจะได้รับแต่งตั้งเป็นกุนซือใหม่ของนิวคาสเซิลอย่างเป็นทางการเมื่อวานที่ผ่านมา แต่ดูเหมือนว่า สตีฟ บรูซ ต้องเจอกับงานที่ยากที่สุดในเส้นทางคุมทีมของเขาอย่างแน่นอน

 

เพราะนอกจากจะทำทีมที่มีงบจำกัดแล้ว ซ้ำร้ายตัวเขายังต้องต่อสู้กับ เหล่า ทูน อาร์มี่ ที่ต่อต้านและไม่เห็นด้วยที่สโมสรแต่งตั้งอดีตกองหลังแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ ต่อจาก ราฟาเอล เบนิเตซ ที่ลาทีมไป จนถึงขั้นไปประท้วงขับไล่ บรูซ หน้าสนามเซนต์ เจมส์ ปาร์ค ตั้งแต่ยังไม่เริ่มฤดูกาลใหม่เลย

 

ดังนั้น ทางเดียวที่บรูซซี่จะซื้อใจแฟนบอลสาลิกาดงได้คือการใช้ผลงานในทีมและอันดันในตารางโต้ตอบเสียงวิจารณ์อื้ออึงเหล่านั้นให้เงียบหายไปกับสายลมให้ได้ ซึ่งกุนซือที่ประสบความสำเร็จหลายคนก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่ตั้งแต่เริ่มงานนี้เช่นเดียวกับที่บรูซเจอ

 

และนี่คือ 9 กุนซือที่ใช้ผลงานตอกกลับเสียงวิจารณ์จนเงียบสนิท และ สตีฟ บรูซ ควรดูไว้เป็นตัวอย่าง หากไม่อยากเป็นกุนซือว่างงานเหมือนใครๆหลายคน 

 

 

เคลาดิโอ รานิเอรี่ (เลสเตอร์ ซิตี้)

 

 

เคลาดิโอ รานิเอรี่!? เอาจริงดิ?” นั่นคือปฏิกริยาแรกของแกรี่ ลินิเกอร์ หลังทราบข่าวเลสเตอร์ ประกาศแต่งตั้งกุนซือชาวอิตาเลี่ยนเป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ในซัมเมอร์ปี 2015 และไม่ใช่แค่ มิสเตอร์ไนซ์กาย คนเดียวเท่านั้น ที่แสดงความคิดเห็นในลักษณะที่ไม่เห็นด้วยกับสโมสรเท่าไหร่

 

มันเป็นการแต่งตั้งที่ประหลาดมากๆ” กองหน้าของจิ้งจอกสีน้ำเงิน โทนี่ ค็อตตี้กล่าว “พวกเขาเสี่ยงมากเลยนะที่ปลด ไนเจล เพียซ์สันออกไป

 

แม้แต่ ดิทมาร์ ฮารมันน์ อดีตกองกลางทีมชาติเยอรมันยังไม่อยากจะเชื่อกับการแต่งตั้งครั้งนี้ แม้เขาจะปล่อยไก่คิดว่าเอ็มเค ดอนส์ อยู่ในพรีเมียร์ลีกก็ตาม

 

เหตุผลที่หลายคนไม่โอเคกับเขาซักเท่าไหร่ เนื่องจากหลายเดือนก่อนหน้านั้น ทิงเกอร์แมน คุมทีมชาติกรีซ แต่ดันไปพ่ายให้กับทีมที่เป็นสมันน้อยในทวีปอย่าง หมู่เกาะแฟร์โร คาบ้าน “หลังจากเกิดเรื่องนั้น ผมประหลาดใจมากที่เขากลับมาในพรีเมียร์ลีกได้” แฮร์รี่ เร้ดแนปป์กล่าว

 

อย่างไรก็ตามในฤดูกาลดังกล่าว รานิเอรี่พาเลสเตอร์กลายเป็นม้ามืด คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกไปครองแบบเหนือความคาดหมาย และน่าจะอยู่ในทรงจำของแฟนบอลทั่วโลกตลอดไป 

 

 

เมาริซิโอ้ โปเช็ตติโน่ (เซาธ์แฮมป์ตัน)

 

 

เซาธ์แฮมป์ตันสร้างความประหลาดใจให้แฟนบอลของเขาเอง หลังปลด ไนเจล แอดกิ้นส์ กุนซือที่พาทีมเลื่อนชั้นขึ้นมาบนลีกสูงสุดแดนผู้ดี และเลือกแต่งตั้ง เมาริซิโอ้ โปเช็ตติโน่ มาเป็นผู้จัดการคนใหม่ในปี 2013 จนหลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า นายใหญ่ชาวอาร์เจนติน่าจะเข้ามาสานงานที่ค้างคาในถิ่น เซนต์ แมร์รี่ส์ สเตเดี้ยม มากน้อยแค่ไหน

 

ในสายตาแฟนบอลอังกฤษ พอชถูกจดจำได้แค่เป็นไอหนุ่มผมยาวที่ดึง ไมเคิ่ล โอเว่น ล้มลงในกรอบเขตโทษของบอลโลกปี 2002 เท่านั้น ต่างจาก แอดกิ้นส์ที่พาทีมนักบุญที่อยู่แค่ลีกวันเลื่อนชั้นมาสู่พรีเมียร์ลีกได้ภายในเวลาแค่ 2 ปี และเขาอุตส่าห์พาทีมเสมอกับเชลซีได้ 2 วัน ก่อนที่จะโดนปลดแบบฟ้าผ่า โดยที่ตอนนั้นทีมรั้งอันดับ 15 ในตาราง

 

ผมตกใจมาก” อดีตกุนซือเซาธ์แฮมป์ตัน ลอว์ลี่ย์ แม็คเมเนมี่ “พาทีมจบอันดับ 4 จากท้ายตารางในปีแรกของพรีเมียร์ลีกก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว ด้วยความเคารพแก่โปเซ็ตติโน่นะ แต่เขารู้อะไรเกี่ยวกับเราบ้าง? เขารู้อะไรเกี่ยวกับพรีเมียร์ลีกบ้าง? เขารู้มั้ยว่าห้องแต่งตัวเป็นยังไง? เขาพูดอังกฤษได้หรือเปล่า?

 

ใช่ โปเช็ตติโน่ ไม่พูดภาษาอังกฤษอย่างที่แม็คเมเนมี่กลัว ไม่เลยจนกระทั่งเขารับงานเป็นกุนซือสเปอร์สได้ 1 ปีเต็ม ถึงพูดอังกฤษในงานแถลงข่าวได้โดยไม่ใช้ล่ามแปล อย่างไรก็ตาม เขาก็ทำผลงานคุมทีมนักบุญได้อย่างยอดเยี่ยม จนทำให้ได้โอกาสคุมทีมในถิ่นไวท์ ฮาร์ท เลน ต่อจากนั้น

 

แฟนนักบุญต่างไม่พอใจกับการแต่งตั้งครั้งนั้น โดยมองว่าสโมสรแก้ไขสิ่งที่ยังไม่ควรแก้ไข, ไม่ให้เวลาแอดกิ้นส์มากพอ และเสี่ยงเกินไปที่จะใช้กุนซือต่างชาติ แต่ว่าในระยะยาว ผลลัพธ์กลับออกมาดีเกินคาด ดีจนแฟนบอลเองก็ยังตกใจไม่น้อยเลยล่ะ

 

 

เจอร์เก้น คลินส์มันน์ (ทีมชาติเยอรมัน)

 

 

ทีมอินทรีเหล็กถูกหลายคนมองว่าถึงความตกต่ำจริงๆซะแล้ว เมื่อ คลินส์มันน์ ได้เข้ามาเป็นเฮ้ดโค้ชคนใหม่ในปี 2004 หลังจากที่เยอรมันเก็บกระเป๋ากลับบ้านในยูโรตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม ซึ่งในตอนแรกก็ไม่มีใครอยากรับงานที่ใหญ่เกินตัวนี้หรอก

 

อดีตกองหน้าฉายา ‘ฉลามขาว’ ไม่มีประสบการณ์ในการคุมทีมมาก่อนเลย และรูปแบบการทำทีมของเขาก็ทำให้นักเตะในทีมไม่พอใจอย่างรวดเร็ว มิชาเอล บัลลัค จอมทัพของทีมยอมรับว่าเคยสงสัยแคลงใจเกี่ยวกับวิธีการซ้อมของเขา ขณะที่ตำแหน่งมือหนึ่งในทีมชาติ เขาก็ไม่ได้การันตีให้ใครทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น โอลิเวอร์ คาห์น ที่ครองตำแหน่งนี้มาอย่างยาวนาน หรือ เยนส์ เลห์มันน์ มือสองของทีม แต่ว่า เซ็ปป์ ไมเออร์ อดีตนายทวารระดับตำนานและโค้ชผู้รักษาประตูในทีมชาติ กลับแสดงความคิดเห็นแบบชัดเจนว่า คาห์น เป็นผู้เล่นที่ดีกว่า เลห์มันน์

 

ผลลัพธ์ที่ตามมา ไมเออร์ ถูกปลดออกจากการทำหน้าที่ทัพอินทรีเหล็กอย่างรวดเร็ว จนโลธาร์ มัทเธอุส ตราหน้า คลินส์มันน์ ว่าเป็นดั่งฆาตรกรเลือดเย็น ไม่แคร์ทั้งนั้น 

 

  เยอรมันแพ้ให้กับอิตาลีถึง 4-1 ในเกมอุ่นเครื่อง ก่อนฟุตบอลโลกแค่ 1 เดือนเท่านั้น ทำให้หลายคนหวั่นใจไม่น้อยว่าพวกเขาจะอับอายกว่าเดิมหลายเท่าตัวในฐานะเจ้าภาพ หากไม่สามารถทำผลงานให้ดีอย่างหวังได้ แต่ดูเหมือนว่าแฟนอินทรีเหล็กจะวิตกกังวลเกินเหตุ เพราะคลินส์มันน์ได้กอบกู้ศักดิ์ศรีของทีมชาติ และพาทีมทะลุถึงรอบตัดเชือกอย่างสวยงาม ด้วยสไตล์เกมรุกที่ดุดันถึงใจแบบที่แฟนบอลเมืองเบียร์ไม่ได้เห็นมานานหลายปีแล้ว

 

 อดีตกองหน้าสเปอร์สละหน้าที่นี้หลังจากจบทัวร์นาเม้นต์ และส่งต่อให้กับ โยอาคิม เลิฟ ผู้ช่วยของเขา ผู้ที่พาทีมชาติเยอรมันคว้าแชมป์โลกได้อย่างยิ่งใหญ่ในปี 2014 ที่บราซิล

 

 

มาร์ค ฮิวจ์ส (สโต๊ค)

 

 

กรณีของ สตีซ บรูซ น่าจะคล้ายกับ กรณีของ มาร์ค ฮิวจ์ส ไม่น้อย หลังตัวกุนซือชาวเวลส์ถูกแฟนบอลช่างปั้นหม้อขี่รถตู้สีเหลืองวนไปรอบ บริทราเนีย สเตเดี้ยม พร้อมกับ ป้ายขนาดใหญ่ที่มีคำว่า ‘Hughes Out’ อยู่ หรือแปลเป็นไทยง่ายว่า ‘ออกไปซะฮิวจ์’

 

 ณ ตอนนั้น สปาร์กี้ ยังไม่แต่งตั้งเป็นกุนซือใหม่ของสโต๊คอย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ “ไม่ใช่แค่ผมนะ แต่เป็นความคิดของแฟนบอลสโต๊คอีก 90 เปอร์เซนต์ด้วย” แฟนบอลช่างปั้นหม้อรายหนึ่งที่ไม่เปิดเผยชื่อกล่าว แต่เขาไม่ใช่ โทนี่ พูลิส กุนซือคนเก่าแอบแฝงมาแซะทีมเก่าแน่นอน “เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยบอกให้ผมออกจากบริทาเนีย ดังนั้นผมจึงขับรถไปรอบๆ ผมจอดรถใต้สะพานมอเตอร์เวย์ และผู้คนก็บีบแตรให้กำลังใจผม และร่วมถ่ายรูปด้วย

 

ฮิวจ์สทำผลงานได้อย่างน่าผิดหวังกับ คิวพีอาร์ ก็จริง แต่กับสโต๊ค เขากับพาทีมจบอันดับ 9 ถึง 3 ฤดูกาลติด ซึ่งเป็นอันดับที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ปี 1975 ก่อนที่ทุกอย่างจะค่อยๆดึงลงเรื่อยๆ 

 

 

อาร์เซน เวนเกอร์ (อาร์เซน่อล)

 

 

แม้หลายคนมองว่า โยฮัน ครัฟฟ์ จะเป็นเต็งหนึ่งในถิ่นไฮบิวรี่ แต่ก็เป็นกุนซือ นาโกย่า แกรมปัส เอต คนนี้ที่ได้รับตำแหน่งที่ว่างอยู่ในทีมอาร์เซน่อล เมื่อปี 1996 จนสื่ออย่าง อีฟเว่นนิ่ง สแตนดาร์ด ยังสงสัยและถามว่า ‘อาร์เซนคือใคร’

 

 “ผมจำได้เมื่อบรูซ ริออช ถูกปลด กระดาษใบนั้นมีตัวเลือกอยู่ 3 หรือ 4 คน” แฟนกันเนอร์สตัวยงและนักเขียนชื่อดัง นิค ฮอร์นบี้ กล่าว “มีชื่อ เทอร์รี่ เวนาเบิ้ลส์, โยฮัน ครัฟฟ์ และจากนั้น อาร์เซน เวนเกอร์เป็นคนสุดท้าย ผมคิดในฐานะแฟนคนหนึ่งว่าแม่งต้องเป็น อาร์เซน เวนเกอร์ แน่ๆ เพราะผมไม่เคยได้ยื่นชื่อเขาเลย เคยได้ยินแค่ 2 คนก่อนหน้านี้ อาร์เซน่อลจะต้องแต่งตั้งคนน่าเบื่อที่คุณไม่ได้ยินชื่อแน่ๆ

 

ในตอนแรก ผมคิดนะว่า คนฝรั่งเศสแบบนี้จะรู้อะไรเกี่ยวกับฟุตบอลแค่ไหนกัน?” โทนี่ อดัมส์ กัปตันทีมปืนใหญ่ยอมรับ “เขาสวมแว่นและดูเหมือนพวกครูสอนในโรงเรียนมากกว่า

 

แต่หลังจากนั้นไม่นาน ชื่อของกุนซือชาวฝรั่งเศสก็ถูกแฟนบอลในอังกฤษยอมรับอย่างกว้างขวาง หลังพาทีมคว้าแชมป์ลีกได้ 3 สมัย, แชมเอฟเอ คัพ 7 สมัย  และเป็นหนึ่งในผู้ที่เชี่ยวชาญศาสตร์ลูกหนังมากที่สุดคนหนึ่งในยุคปัจจุบัน

 

 

คริส โคลแมน (ทีมชาติเวลส์)

 

 

ไม่ใช่ทุกคนที่มั่นใจว่า คริส โคลแมน คือผู้ถูกเลือกในตำแหน่งนายใหญ่ของทีมชาติเวลส์อย่างแท้จริง หลังการจากไปของ แกรี่ สปีด เฮ้ดโค้ชคนเก่า

 

เขาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมกับฟูแล่ม” อดีตกองหน้าทีมมังกรแดง อิวาน โรเบิร์ต กล่าว “ทว่านับตั้งแต่นั้น ทุกอย่างก็ถอยหลังลงไปสำหรับคริส เขาทำได้ไม่ดีเลยกับโคเวนทรี่ เขาไปคุมทีมชาติกรีซด้วย และเราก็รู้ดีว่าเขาลาออกมาจากที่นั้น ผมไม่แน่ใจหรอกนะว่า คริสจะเป็นคำตอบที่ใช่จริงๆ

 

แต่การล้มเหลวกับทีมชาติกรีซ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะล้มเหลวกับทีมอื่นๆเสมอไปอย่างที่ รานิเอรี่เคยพิสูจน์มาแล้ว จริงอยู่ที่ตอนแรก โคลแมนต้องลำบากพอสมควรในช่วงฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกปี 2014 หลังพ่ายให้กับเซอร์เบียไป 6-1 ในนัดแรกของเขา และไม่สามารถผ่านไปเล่นรอบสุดท้ายได้ แต่หลังจากนั้นอีก 2 ปี เบลและพ้องเพื่อนก็พาทีมมังกรแดงทะลุไปถึงรอบรองชนะเลิศได้อย่างยอดเยี่ยมในยูโร 2016 ที่ประเทศฝรั่งเศส

 

 

ฮาร์เวิร์ด เคนดัลล์ (เอฟเวอร์ตัน)

 

 

เคนดัลล์ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในกุนซือที่ดีที่สุดในประวัติศาตร์ของเอฟเวอร์ตัน แต่ช่วงเวลาของเขาในกูดิสัน ปาร์ค เกือบมาถึงจุดจบเร็วกว่าที่ควรจะเป็นแล้ว

 

อดีตนายใหญ่แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส เข้ามารับงานกับท็อฟฟี่ในปี 1981 แต่ 2 ปีต่อมา เขาพาทีมหล่นไปอยู่อันดับที่ 16 ของตาราง ไม่แปลกที่แฟนบอลจะไม่โอเคกับเรื่องนี้ หลังมาชมเกมในบ้านแค่ 13,659 คนเท่านั้น ณ เกมที่พบกับโคเวนทรี่ และได้มีการเรียกร้องให้ปลดทั้งผู้จัดการและประธานออกจากทีมที่สีน้ำเงินจากเมอร์ซี่ย์ไซด์นี้ซะ

 

อย่างไรก็ตาม เอฟเวอร์ตันผ่านเข้าไปเล่นถึงรอบชิงลีกคัพ และคว้าแชมป์เอฟเอ คัพมาครองได้ พร้อมกับคว้าแชมป์ลีกได้อีก 2 สมัย และแชมป์ยูโรเปี้ยน วินเนอร์ส คัพ อีกสมัย ทำให้เหล่าเอฟเวอร์โตเนี่ยนต่างสรรเสริญ เคนดัลล์ยกใหญ่ จนได้กลับมาคุมเอฟเวอร์ตันใหม่ถึง 2 ครั้งด้วยกัน

 

 

เซอร์ บ็อบบี้ ร็อบสัน (ทีมชาติอังกฤษ)

 

 

แม้แต่พวกอาหรับยังบอกว่า ‘ไปซะ ด้วยนามของพระอัลเลาะห์ จงไปซะ’ ” นั่นคือพาดหัวที่ เดอะ มิร์เรอร์ สื่อดังจากอังกฤษ พาดหัวไว้ หลังทัพสิงโตคำรามทำได้แค่เสมอกับ ซาอุดิอาราเบีย ในเกมอุ่นเครื่องปี 1988 “ร็อบโบ้ควรไปเป็นคนขับรถไฟแทน” นั่นก็คำโปรยสั้นต่อจากพาดหัวที่ดูเจ็บแสบไม่แพ้กัน

 

จากนั้นก็มีบทความตามออกมา โดยใช้ชื่อว่า “20 สถิติที่บอกว่าร็อบโบ้ต้องไปซักที” ซึ่งจริงๆมันมีกว่านั้นอีกนะ เพียงแต่มันจะยาวเกินความจำเป็น

 

ร็อบสันตกอยู่ในความกดดันมหาศาลหลังพาทีมชาติอังกฤษตกรอบแรกในยูโร 1988 ซึ่งดูดีกว่าเมื่อ 4 ปีที่แล้วอยู่หน่อยที่ไม่ผ่านแม้แต่รอบคัดเลือก จนทำให้ เดอะ ซัน สื่อจอมเสี้ยมของแดนผู้ดีเรียกร้องให้มีการปลดเข้าออกจากตำแหน่งไปเสียที

 

แต่ตัวของกุนซือชาวอังกฤษก็ยังอยู่ทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป ก่อนจะกลายเป็นฮีโร่ของคนทั้งชาติ จนได้รับยศอัศวินแห่งเกาะอังกฤษ หลังพาทัพสิงโตคำรามผ่านเข้าถึงรอบตัดเชือกในฟุตบอลโลกปี 1990 

 

 

เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด)

 

 

เคนดัลล์ต่อยอดความสำเร็จกับเอฟเวอร์ตันด้วยถ้วยเอฟเอ คัพ และตัวของอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็ทำแบบนั้นได้ใน 6 ปีต่อมาที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

 

การถูกแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถล่มด้วยสกอร์ 5-1 ในเกมดาร์บี้ ปี 1989 ถือเป็นช่วงเวลาที่ตกต่ำสุดขีดของเฟอร์กี้ ทำให้แฟนปีศาจแดงต่างตะโกนก้องไปทั่วสนาม เมนโร้ด ว่า “ออกไปซะ เฟอร์กี้” ซึ่งตัวของเขาเองได้เปิดเผยเกี่ยวกับเรื่องนี้ภายหลังว่า เขาอยากจะเอาหัวซุกไปใต้หมอนและหวังว่าจะไม่ตื่นขึ้นมาอีกเลย

 

เขาไม่ใช่คนที่ใช่สำหรับยูไนเต็ด” อดีตกองหน้าอเบอร์ดีน โจ ฮาร์เปอร์ กล่าว ณ ตอนนั้น “สโมสรและงานนั้นมันใหญ่เกินไปสำหรับเขา” 

 

อดีตกองหลังลิเวอร์พูลในยุด 70 เอ็มรีน ฮิวจ์ ได้เขียนคอลัมน์ลงบนหนังสือพิมพ์โดยใช้ชื่อว่า เฟอร์กี้ OBE (Out Before Easter หรือ เด้งก่อนวันอีสเตอร์) แต่ทุกอย่างกลับตาลปัตร เมื่อประตูของมาร์ค โรบินส์ ในเกมพบน็อตติ่งแฮม ฟอเรสต์ ได้ต่อชีวิตให้กุนซือเลือดสก็อต ก่อนจะพาทีมคว้าแชมป์เอฟเอ คัพได้อย่างสวยงามในฤดูกาลนั้น และเปลี่ยนโฉมให้ปีศาจแดงกลายเป็นทีมมหาอำนาจในเกาะอังกฤษนานกว่า 20 ปี