ด่ามาด่ากลับ! 5 กุนซือฝีปากกล้าในวงการลูกหนัง

 

นอกจากลีลาการคุมทีมแล้ว วาทะศิลป์ในการพูดจากับนักเตะ, สื่อ หรือ คู่แข่ง ของผู้จัดการทีมคือเรื่องหนึ่งที่สร้างสีสันในวงการลูกหนัง

 

หลายคนมีคำพูดน่าฟังเป็นมิตรต่อทั้งสื่อที่มาสัมภาษณ์ หรือ เหล่าเพื่อนร่วมวงการด้วยกันเอง อย่างเช่น เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่, เจอร์เก้น คล็อปป์ หรือ เคลาดิโอ รานิเอรี่ ที่ภาพลักษณ์อบอุ่น น่าคบหา 

 

แต่ในขณะเดียวกันกุนซืออีกหลายคน ลีลาการพูดจาของพวกเขาก็น่าสนใจ ไม่แพ้กับฝีมือการคุมทีมข้างสนามเช่นกัน และพร้อมกับท่าชนท่าตีกับคู่แข่งทุกเมื่อ หรือแม้กระทั่งลูกทีมของตัวเอง หากแสดงพฤติกรรมที่ไม่เข้าท่า

 

และนี่คือ 5 กุนซือจุดเดือดต่ำฝีปากกล้าที่พร้อมด่าทุกคนในวงการแบบไม่เกรงกลัวใคร  

 

 

ไบรอัน คลัฟ

 

 

หนึ่งในผู้จัดการทีมเจ้าอารมณ์และโมโหร้ายที่สุดในวงการลูกหนัง และฉายา ‘กุนซือปากกรรไกร’ ของ ไบรอัน คลัฟ ไม่ได้มากเพราะโชคช่วยแน่นอน

 

นายใหญ่เลือดผู้ดีสร้างชื่อดัวยการพาดาร์บี้ ทีมระดับดีวิชั่น 2 กลายเป็นแชมป์ลีกสูงสุดในประเทศปี 1972 และยิ่งใหญ่สุดๆกับการพาน็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ คว้าแชมป์ลีกในปี 1978 กับแชป์ยูโรเปี้ยน คัพ 2 สมัยติดในปี 1979 และ 1980 

 

แต่ในช่วงหนึ่ง คลัฟ ต้องมาคุม ลีดส์ ยูไนเต็ด ทีมตัวเองเกลียดเข้าไส้ และเคยด่าออกสื่อมาแล้วไม่รู่กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เนื่องจากสไตล์การเล่นที่ดุดันและสกปรกเกินไป และที่นั่นเองที่เขาประสบความล้มเหลวในอาชีพกุนซือมากที่สุด เมื่อถูกปลดจากตำแหน่ง หลังคุมทีมได้ 44 วัน และพาทีมชนะเพียงนัดเดียวจาก 6 เกมเท่านั้น

 

 

“พวกแกเอาเหรียญแชมป์ที่เคยได้ เอาไปโยนทิ้งถังขยะได้เลยนะ เพราะแม่งได้มาจากการโกงโว้ย” คลัฟ กล่าวต่อหน้า บิลลี่ เบรมเนอร์ หรือ แอนดี้ เกรย์  2 ดาวเตะของลีดส์ หลังรับงานคุมทีมในถิ่น เอลแลนด์ โร้ด

 

แม้ คลัฟ จะยุติบทบาทกุนซือไปแล้ว แต่ฝีปากของเขายังรอบจัดไม่ต่างจากเดิม ทั้งการพูดว่า “ในที่สุด เราก็มีผู้จัดการทีมที่พูดภาษาอังกฤษได้ดีกว่านักเตะซักที” หลังทีมอังกฤษแต่งตั้งสเวน โกรัน อีริคเซ่น เป็นนายใหญ่ในปี 2001

 

“เมียของเขาร้องเพลงไม่ได้เรื่อง และช่างตัดผมของเขาก็ตัดผมไม่เป็น” คลัฟ กล่าวเมื่อถูกถามเกี่ยวกับเรื่องของ เดวิด เบ็คแฮม ปีกหน้าหยกชื่อดัง 

 

 

เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน

 

 

ไดร์เป่าผมอันลื่อลั่นของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน คือสิ่งที่นักเตะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทุกคนหวาดหวั่นและไม่อยากพบเจอที่สุดยามค้าแข้งในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด 

 

จริงอยู่ที่ เฟอร์กี้ ดูไม่ต่างอะไรกับคุณปู่ผู้ใจดี แต่มันก็แค่ภาพลักษณ์ภายนอก เพราะหากย้อนกลับไปสมัยคุมทีมลีลาด่ากราดลูกทีมที่เล่นไม่ได้ดั่งใจ หรือ คู่แข่ง ก็มีเห็นอยู่บ่อยครั้ง ยังไม่นับการขู่นักเตะในห้องแต่งตัว หรือด่าสื่อที่ทำตัวไม่เข้าท่าอีก

 

“ผมไม่พูดกับพวกแม่งแล้ว เขาเป็นผู้เล่นที่เก่งโคตรๆโว้ย พวกแกต่างหากที่งี่เง่า” เฟอร์กี้ จวกนักข่าว หลังถูกถามเรื่อง เซบาสเตียน เวรอน

 

“เขาเป็นนักเตะที่เกิดมาเพื่อล้ำหน้า”  เฟอร์กี้พูดถึง ฟิลิปโป้ อินซากี้ กองหน้าตำนานของเอซี มิลาน

 

 

“พวกเขาบอกว่า เขาเป็นคนที่ฉลาดมากใช่มั้ย? พูดได้ถึง 5 ภาษาเลย แต่ผมก็มีเด็กชาวไอวอรี่ โคสต์ อายุ 15 ปี ที่พูดได้ 5 ภาษาเหมือนกัน” เฟอร์กี้ กล่าวกึง อาร์เซน เวนเกอร์ 

 

อย่างไรก็ดี อดีตกุนซือชาวสก็อตได้ยืนยันว่าตนเคยใช้ไดร์เป่าผมพิฆาตใส่ผู้เล่นในทีมเพียง 6 ครั้งเท่านั้น ตลอด 27 ปีในการคุมปีศาจแดง แม้ว่า เวย์น รูนี่ย์ จะเผยว่าตนกับ ไรอัน กิ๊กส์ คือนักเตะที่โดน เฟอร์กี้ ตะโกนจนหน้าชามากที่สุดก็ตาม

 

 

โชเซ่ มูรินโญ่

 

 

แม้ฝีมือการคุมทีมของเขาจะตกลงจากเมื่อ 10 ปีก่อน แต่เรื่องฝีปากที่แสบสันและลีลาเหน็บแนมที่แยบยล หลายคนคงยกให้ โชเซ่ มูรินโญ่ เป็นเบอร์หนึ่งด้านนี้แน่นอนในฟุตบอลยุคปัจจุบัน

 

การสับลูกทีมออกสื่อคือภาพจำของ เดอะ สเปเชียล วัน ที่แฟนบอลเห็นจนชินตา ไม่ว่าจะเป็นแข้งดาวดังหรือดาวรุ่งก็ตาม และแอบลามไปแซะบอร์ดบริหารแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดอีกต่างหาก

 

“สิ่งที่เขาทำในครึ่งหลัง เพราะเขาทำตามที่ผมบอก ถ้าเขาเล่นให้อีกทีมนึง แน่นอนว่าเขาคงทำแบบนี้ไม่ได้แน่ๆ เพราะผมไม่ได้อยู่เพื่อคิดวิธีเล่นให้เขาไง” มูรินโญ่ พูดถึง ลุค ชอว์ สมัยคุมปีศาจแดง

 

“ในอนาคตผมจะพยายามจะหางานแบบที่ โอเล่ กำลังทำอยู่ในตอนนี้จัง ไอ้งานแบบที่คุณสามารถป่าวประกาศว่าทำทีมเพื่ออนาคตได้อยู่ตลอด ขณะที่ผลงานปัจจุบันจะเป็นยังไงก็ช่างมัน ผมคิดว่ามันเป็นสถานการณ์ที่ยอดเยี่ยมเลยนะ เขายังมีสัญญาอีก 3 ปี”  เดอะ สเปเชียล วัน กล่าวประชดทีมเก่า

 

https://www.youtube.com/watch?v=0jTQaRB6JRk

 

ขณะที่เหล่าผู้จัดการทีมร่วมอาชีพ กุนซือชาวโปรตุกีส ก็เปิดศึกปะทะคารมณ์แบบไม่สนผู้ใด ไม่ว่าจะเป็น ราฟาเอล เบนิเตซ, เป็ป กวาร์ดิโอล่า หรือ อาร์เซน เวนเกอร์ ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันสุดๆในช่วงคุมทีมในอังกฤษ 

 

“ผมกลัวความล้มเหลวเพราะผมไม่ได้ล้มเหลวบ่อยนัก บางทีเขาอาจพูดถูก ผมไม่คุ้นชินกับความล้มเหลว แต่ในความจริงเขาคือผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ เพราะการไม่มีแชมป์ติดมือนานถึง 8 ปี มันคือความล้มเหลว” มูรินโญ่ โจมตี เวนเกอร์เป็นจอมล้มเหวลในปี 2014

 

 

โจ คินเนียร์

 

 

ตั้งแต่งานแถลงข่าวรับตำแหน่งกุนซือนิวคาสเซิลของ โจ คินเนียร์ อย่างเป็นทางการในปี 2008 หลายคนก็รู้ดีแล้วว่าเขาปากจัดแค่ไหน เนื่องจากนายใหญ่ชาวอังกฤษใช้คำสบถต่อหน้าสื่อถึง 52 คำในครั้ง

 

ทั้งนี้ เนื้อหาหลักในงานวันนั้นไม่มีอะไรมากนอกจาการด่านักข่าวผู้ดีที่รุมวิจารณ์เขากรณีที่เข้ามารับงานในถิ่นเซนต์ เจมส์  ปาร์ค 

 

“สื่อ ? พวกคุณต้องการอะไร ทำให้ผมดูเป็นคนโง่ ที่เข้ามาทำงานที่นี่น่ะเหรอ เปล่าเลย ผมมาที่นี่เพื่อพิสูจน์ตัวเองว่าผมทำได้ ผมจะไม่ทนกับสื่อที่ไม่มีมารยาท ที่ออกมาวิจารณ์แบบมั่วๆ”

 

 

“คุณไม่มีทางขู่ผม หรือ ทำให้ผมกลัว ไม่ว่าคุณจะทำอะไร จะพาดหัวข่าวว่าอะไร ผมไม่อาย ผมไม่ทน เลิกตอแย ปล่อยให้ผมทำงานของผม อย่าจุ้นจ้านกันมากเกินไป” นายใหญ่ชาวไอรแลนด์กล่าว

 

ท้ายที่สุดแล้ว คินเนียร์ก็อยู่กับทีมไม่จบซีซั่นเพราะเขาดันป่วยเป็นโรคหัวใจจึงต้องออกไปรักษาตัวและยุติบทบาทลงทันที เท่านั้นยังไม่พอ สาลิกาดง ต้องมาตกชั้นในฤดูกาล 2008-09 อีกต่างหาก

 

 

นีล วอร์น็อค

 

 

นีล วอร์น็อค อาจไม่ใช่ผู้จัดการทีมที่คุมสโมสรยักษ์ใหญ่ที่มีลุ้นบอลถ้วย และคว้าแชมป์อะไรนัก แต่ถ้าเป็นเรื่องฝีปากและอารมณ์เดือดเลือดพล่าน กุนซือจากเชฟฟิลด์ไม่เป็นสองรองใครแน่นอน

 

อดีตกุนซือคาร์ดิฟฟ์ เคยด่ากองหน้าคู่แข่งว่าเป็นหนูสกปรก, เคยหวิดฟาดปากกับผู้เล่นที่ถ่มน้ำลายใส่, สร้างปัญหาจนถูกไล่ไปบนอัฒจรรย์, ด่าผู้ตัดสินจนถูกปรับ หรือปัดจับมือกับ นูโน เอสปิริโต้ ซานโต้ พร้อมแจกกล้วยเป็นของที่ระลึก

 

“พรีเมียร์ลีกเป็นลีกที่ดีที่สุดในโลกที่มีผู้ตัดสินห่วยแตกที่สุดในนาทีนี้” วอร์น็อค กล่าวหลังเกมที่แพ้ เชลซี 2-1 ในปี 2019

 

 

“ผมคิดว่ามันเป็นจุดโทษที่เบามาก เราอนุญาตให้ผู้ตัดสินให้โอกาสเป่าจุดโทษ มอร์ริสัน เอาแขนไปอยู่ที่ตัว ซาล่าห์ จริง แต่มันก็เป็นการพุ่งด้วยคะแนน 9.9 ของ ทอม เดลี่ย์ ผมไม่คิดว่าเขาจะโดดได้สูงกว่านี้ ถ้าไม่ได้อยู่บนสปริงบอร์ด” กุนซือวัย 72 ปี แซะ โมฮาเหม็ด ซาล่าห์ เป็นพวกชอบพุ่งล้มเอาจุดโทษ

 

เดลี่ เมล สื่อดังแดนผู้ดีถึงกับตั้งฉายาให้กับ วอร์น็อคว่าเป็น มิสเตอร์หัวร้อน (Mr. Angry) และนี่เป็นสาเหตุหลักๆที่ทำให้เขาพเนจรไปคุมสโมสรทั่วบ้านเกิดกว่า 16 ทีม ในรอบ 39 ปี