ผ่านหรือไม่! ตัดเกรดย้อนหลัง 4 ปี “บิ๊กอ๊อด” ประมุขบอลไทย

 

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาทางสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย เพิ่งมีการจัดการเรื่องตั้งนายกสมาคมสำหรับวาระใหม่ที่จะเริ่มต้นตั้งแต่ในปีนี้เป็นต้นไป ซึ่งผลปรากฏว่า พล.ต.อ.ดร.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ได้รับเสียงโหวตเอาชนะคู่แข่งอย่าง ดร. ภิญโญ นิโรจน์ ไปด้วยคะแนน 51 – 17 คว้าตำแหน่งประมุขบอลไทย เป็นสมัยที่ 2 ติดต่อกัน

 

โดยหากย้อนกลับไปตลอด 4 ปี ที่ผ่านมา ภายใต้การบริหารสมาคมในยุคของ “บิ๊กอ๊อด” วงการฟุตบอลไทย ถือว่ามีการพัฒนาไปมากไม่ว่าจะเป็นในระดับสโมสรหรือทีมชาติ ถึงแม้ผลงานจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักก็ตาม ส่วนในเรื่องของการพัฒนาเยาวชนยังเป็นอีกหนึ่งจุดเด่นของสมาคมชุดนี้ด้วย

 

นอกจากนั้นยังมีอีกรายเรื่องที่สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ภายใต้การทำงานของ พล.ต.อ.ดร.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ได้ดำเนินงานมาตลอดวาระ 4 ปี ที่ผ่านมา ซึ่งคงต้องมาย้อยดูกันว่าผลงานโดยรวมของสมาคมชุดนี้น่าพอใจหรือไม่

 

 

พัฒนาฟุตบอลลีก 

 

เริ่มต้นกันที่ผลงานในการจัดการระบบฟุตบอลลีกของเมืองไทย ซึ่งต้องยอมรับเลยว่า 4 ปี ที่ผ่านมา พล.ต.อ.ดร.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ทำงานได้ถือว่าค่อนข้างน่าพอใจเลยทีเดียว กับการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการแข่งขันฟุตบอลลีก รวมไปถึงการนำเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่าง VAR เข้ามาใช้ในการตัดสินเกม

 

เริ่มต้นกับการเปลี่ยนโครงสร้างฟุตบอลีกจากเดิมซึ่งจะมีแค่ 3 ดิวิชั่น คือ ดิวิชั่น 1, ดิวิชั่น 2 และ ลีกภูมิภาค เป็น 4 ดิวิชั่น ประกอบด้วย โตโยต้า ไทยลีก (ไทยลีก 1), เอ็ม 150 แชมป์เปี้ยนชิพ (ไทยลีก 2), ออมสิน ลีก โปร (ไทยลีก 3) และ ออมสิน ลีก (ไทยลีก 4) พร้อมกับปรับลดขนาดทีมใน ไทยลีก 1 และ ไทยลีก 2 จาก 18 ทีม เป็น 16 ทีม เพื่อไม่ให้มีจำนวนการแข่งขันที่มากเกินไปในแต่ละซีซั่น ซึ่งนอกจะเป็นประโยชน์กับแต่ละสโมสรที่ไม่ต้องแบกรับภาระมากเกินไปแล้ว ยังเป็นการช่วยให้ทีมชาติไทย มีเวลาสำหรับเตรียมทีมเพื่อที่จะลงเล่นในรายการต่างๆด้วย

 

ส่วนผลงานโดดเด่นล่าสุด คือการนำเอาเทคโนโลยีช่วยตัดสินอย่าง VAR เข้ามาใช้ในศึก โตโยต้า ไทยลีก อย่างเป็นทางการ ซึ่งจะเริ่มต้นในฤดูกาล 2020 เป็นต้นไป เชื่อว่านี่จะเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของสมาคมชุดนี้สำหรับการบริหารงานในส่วนของการพัฒนาฟุตบอลลีกไทย แน่นอน

 

 

ต่อต้านการล็อกผลและล้มบอล 

 

นี่ถือเป็นหนึ่งในผลงานเด่นของสมาคมฟุตบอลฯ ยุค พล.ต.อ.ดร.สมยศ เลยก็ว่าได้ กับการเดินหน้าปราบปรามการล็อกผลการแข่งขันและการล้มบอล ซึ่งเป็นสิ่งที่สมาคมหลายๆชุดที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ไม่เคยจัดการเรื่องนี้อย่างจริงจังเลย

 

โดยนับตั้งแต่อดีตนายตำรวจใหญ่อย่าง “บิ๊กอ๊อด” เข้ามารับตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลฯ เขาพยายามกวาดล้างตั้งแต่บรรดาผู้ตัดสิน, นักเตะ, ผู้บริหารสโมสร และบุคคลที่มีส่วนกับการล็อคผลและล้มบอลแบบสิ้นซาก ซึ่งปัจจุบันหลายคนกำลังอยู่ในขั้นตอนดำเนินคดีตามกฏหมาย

 

แน่นอนว่านับจากนี้ต่อไป การต่อต้านปราบปรามการล็อกผลและล้มบอลในวงการฟุตบอลไทย จะยังคงเป็นหน้าที่หลักของสมาคมภายใต้การบริหารงานของ พล.ต.อ.ดร.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ต่อไป

 

 

ผลงานทีมชาติ 

 

หากจะให้พูดถึงผลงานของทีมชาติไทย ภายใต้การบริหารสมาคมในยุค พล.ต.อ.ดร.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ต้องบอกเลยว่ายังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร เพราะตลอด 4 ปี ที่ผ่านมา ฟอร์มของทัพ “ช้างศึก” เกือบทุกชุดโชว์ฟอร์มได้อย่างน่าผิดหวัง

 

โดยภายหลังจากที่ “บิ๊กอ๊อด” เข้ามารับตำแหน่งเมื่อปี 2016 ต่อมาอีกไม่นานทีมชาติไทย ต้องพลาดท่ากระเด็นตกรอบฟุตบอลโลก 2018 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบที่ 3 ไปแบบน่าผิดหวังสุดๆ ด้วยการลงเล่นทั้งหมด 10 นัด แพ้ถึง 8 เกม และเสมอแค่ 2 แมตช์เท่านั้น ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงตัวกุนซือจาก “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เป็น มิโลวาน ราเยวัช เทรนเนอร์ชาวเซอร์เบีย

 

หลังจากนั้นในปี 2018 แฟนบอลไทย ต้องช็อคกันอีกครั้ง หลังทีมชาติไทย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี โดนเขี่ยตกรอบแรกในศึก เอเชียนเกมส์  ที่กรุงจาการ์ตา และเมืองปาเล็มบัง ประเทศอินโดนีเซีย ด้วยการเก็บชัยชนะไม่ได้เลยแม้แต่นัดเดียว กับการทีมอย่าง อุสเบกิสทาน, กาตาร์ และ บังคลาเทศ

 

ขณะที่ในปี 2019 ผลงานโดยรวมก็ถือว่ายังไม่น่าพอใจนัก เริ่มด้วยการออกสตาร์ทในศึก เอเอฟซี เอเชียน คัพ 2019 ด้วยการพ่ายแพ้ให้กับ อินเดีย 4 – 1 ในเกมแรก ซึ่งเป็นผลให้ มิโลวาน ราเยวัช ถูกปลดออกจากตำแหน่งกุนซือทันที ก่อนที่ “โค้ชโต่ย” ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย ได้โอกาสคุมทีมขัดตาทัพและสามารถพา “ช้างศึก” ทะลุเข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ

 

ผลงานที่ไม่ค่อยน่าจดจำสำหรับปีที่ผ่านมา เริ่มตั้งแต่การพลาดแชมป์ถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ ครั้งที่ 47 ด้วยการคว้าอันดับสุดท้ายในทัวร์นาเมตน์ ก่อนที่จะมีการแต่งตั้ง อากิระ นิชิโนะ เฮดโค้ชชาวญี่ปุ่น เข้ามารับงานคุมทีมทั้งชุดใหญ่ และชุด U23 ซึ่งเจ้าตัวพาทีมตกรอบแรก ซีเกมส์ 2019 ที่ประเทศฟิลิปปินส์ ทว่าเขากลับมาแก้ตัวได้สำเร็จในศึกชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ซึ่งกุนซือจากแดนปลาดิบ สามารถพาทีมทะลุเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ ในฐานะเจ้าภาพ แต่ยังไม่ดีพอที่จะคว้าตั๋วไปเล่นในฟุตบอล โอลิมปิก เกมส์ 2020 ที่กรุงโตเกียว ได้ในท้ายที่สุด

 

ส่วนฟอร์มในศึกฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก 2022 รอบที่สอง ต้องยอมรับเลยยังทำได้ไม่ค่อยดีนัก และสถานการณ์ในตอนนี้ค่อนข้างยากลำบากมากๆ สำหรับการจะผ่านเข้าไปเล่นในรอบต่อไป

อย่างไรก็ตามหากย้อนกลับไปในปี 2018 พล.ต.อ.ดร.สมยศ ได้ให้คำมั่นกับแฟนบอลชาวไทย เขาจะพยายามพาทีมชาติไทย ผ่านเข้าไปเล่นในศึกฟุตบอลโลก รอบสุดท้ายให้ได้ในอีก 8 ปี ข้างหน้า หรือฟุตบอลโลก ปี 2026 นั่นเอง

 

 

พัฒนาเยาวชน

 

สำหรับในเรื่องของการพัฒนาเยาชนของสมาคมชุดนี้ ถือว่าทำได้ดีเช่นกัน เริ่มตั้งแต่การตัดสินใจดึง เอคโคโน เมธอด ซอคเกอร์ เซอร์วิส มาดูแลวางรากฐานฟุตบอลตั้งแต่ในระดับเยาวชนอายุ 14 ปี จนถึง 23 ปี โดย เอคโคโน เป็นบริษัทที่เคยร่วมงานออกแบบการซ้อมให้กับสโมสรระดับโลกอย่าง บาร์เซโลน่า และ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง มาแล้ว

 

นอกจากนี้ทาวสมาคมยังได้มีการส่งนักเตะเยาวชนไปฝึกฟุตบอลในต่างแดนมากขึ้น พร้อมกับส่งทีมชุดเยาวชนไปลงเล่นในรายการต่างๆมากขึ้นกว่าเดิมด้วย เพื่อเป็นการเพิ่มประสบการณ์และพัฒนาศักยภาพของตัวนักเตะเอง

 

ส่วนล่าสุดทางสมาคมฟุตบอลฯ ภายใต้การทำงานของ พล.ต.อ.ดร.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เพิ่งได้เซ็นสัญญา MOU กับทางฝั่งกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ซึ่งจะเข้ามาสนับสนุนการสร้างศูนย์ฝึกฟุตบอลแห่งชาติ ที่ อำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี ซึ่งนี่คือหนึ่งในอีกผลงานเด่นที่สมาคมชุดนี้ได้ทำไว้ในส่วนของการพัฒนาเยาวชน

 

 

พร้อมสนับสนุนเรื่องเงิน

 

นับตั้งแต่ที่ พล.ต.อ.ดร.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เข้ามารับตำแหน่งนายกสมาคมฟุตบอลอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2016 หลายสโมสรในวงการฟุตบอลไทย ต่างได้รับเงินสนับสนุนทีมกันถ้วยหน้า และตรงตามเวลา แทบไม่มีปัญหาความล่าช้าเกิดขึ้นเลย

 

โดยในปี 2019 ที่ผ่านมา สมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ได้ใช้งบประมาณราว 112,750,000 บาท เป็นเงินสนับสนุนให้กับบรรดาสโมสรตั้งแต่ในศึก ไทยลีก 1 – ไทยลีก 4 ตามนโยบายของสมาคมที่ต้องการพัฒนาและช่วยสร้างรายได้ให้กับแจ่ละสโมสร ซึ่งหากแต่ละสโมสรมีความแข็งแกร่งขึ้น นี่ก็ถือเป็นอีกหนึ่งหนทางในการช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศด้วย

 

ส่วนในเรื่งอัดฉีดต้องบอกเลยว่า สมาคมชุดนี้บริหารจัดการได้อย่างยอดเยี่ยม เพราะตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยตกเป็นข่าวเกี่ยวกับความล่าช้าในการเงินอัดฉีดเลยแม้แต่ครั้งเดียว แตกต่างกับสมาคมยุคที่ผ่านมาซึ่งเคยมีการจ่ายเงินอันฉีดให้กับนักเตะล่าช้า จนเกิดเป็นประเด็นใหญ่โตมาแล้ว

 

 

บริหารสมาคมโปร่งใส

 

คงต้องยอมรับกันตามตรงว่า ตลอด 4 ปี ที่ผ่านมา สมาคมฟุตบอลฯ ภายใต้การทำงานของ พล.ต.อ.ดร.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง บริหารงานได้อย่างโปร่งใส พร้อมให้มีการตรวจสอบได้อยู่เสมอจากทุกหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นการทำบัญชีรายรับรายจ่ายอย่างชัดเจน, ระบุที่มาของรายได้, เงินสนับสนุน และผลประกอบการต่างๆของสมาคมและบริษัทไทยลีก พร้อมให้มีการตรวจสอบได้อยู่ตลอดเวลา เพื่อเป็นการแสดงความบริสุทธิ์โปรางใสสำหรับกานบริหารงานสมาคม

 

โดยเฉพาะในกรณีที่ “บิ๊กเจี๊ยบ” พล.ต.ท.พิสัณห์ จุลดิลก อดีตเลขาธิการสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ได้ยื่นเรื่องให้กับการกีฬาแห่งประเทศไทย ตรวจสอบการบริหารงานของสมาคมบอลชุดนี้ ซึ่งทางฝั่ง “บิ๊กอ๊อด” ก็ได้ออกมาแจกแจ้งไว้อย่างชัดเจนทุกข้อกล่าวหา