ตัวเทพทั้งนั้น! 7 สุดยอดแข้งผีที่เคยใส่เบอร์ 6

 

เจ้าของเสื้อเบอร์ 6 คนปัจจุบันอย่าง พอล ป็อกบา อาจจะย้ายออกแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในช่วงซัมเมอร์นี้ นั่นจะทำให้หมายเลขนี้ว่างลงทันที

 

กองกลางชาวฝรั่งเศส ของปีศาจแดงที่สวมเสื้อหมายเลขดังกล่าว ยังไม่สามารถทำให้เบอร์นี้มีมนต์ขลังขึ้นมาได้เลย

 

ดาวเตะผู้ได้แชมป์โลกกับทัพตราไก่ ทำผลงานให้กับยูไนเต็ดไม่ค่อยท็อปฟอร์มสักเท่าไหร่นับตั้งแต่ย้ายมาจากยูเวนตุสเมื่อปี 2016 และถ้าหากข่าวเรื่องการย้ายทีมเป็นจริง นั่นอาจจะทำให้เราไม่ได้เห็นแข้งวัย 27 ปี ในสีเสื้อแมนฯยูไนเต็ดอีกแล้ว

 

ซึ่งคาดว่าเจ้าตัวน่าจะเลือกกลับไปค้าแข้งกับม้าลายอีกครั้งก็เป็นได้ ส่วนเบอร์เสื้อที่ว่างลงนั้นต้องรอนักเตะรายใหม่มาสืบทอดต่อไป

 

ป็อกบาไม่ใช่นักเตะระดับพรีเมี่ยมที่เคยได้ใส่เบอร์ 6 แต่ยังมีนักเตะอีกหลายคนที่เคยผ่านหมายเลขนี้มาแล้วและก็ประสบความสำเร็จในถิ่นโอลด์แทรฟฟอร์ดอย่างมากมาย

 

ดังนั้นวันนี้ทีมงาน UFA Arena.com จะพาไปดู 7 สุดยอดแข้งผีที่เคยใส่เบอร์ 6 ในอดีตว่ามีใครกันบ้าง

 

อังเดร แคนเชลสกี้ 

 

 

แคนเชลสกี้ เคยใส่เบอร์ 6 ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ในฤดูกาล 1991/92 ก่อนที่จะเปลี่ยนไปใส่เบอร์อื่น แต่ปีกจรวดทางเรียบก็ยังคงทำผลงานในสีเสื้อยูไนเต็ดได้อย่างยอดเยี่ยม

 

ดาวเตะชาวรัสเซียเป็นนักเตะต่างชาติรายแรกที่ย้ายมาเล่นในอังกฤษ โดยเขาถูกดึงตัวมาจาก ชัคเตอร์ โดเนตสค์ในปี 1991 แข้งปีกขวารายนี้กลายเป็นฝันร้ายของคู่แข่งทันทีโดยเฉพาะในตำแหน่งฟูลแบ็ค

 

เขาเป็นตัวริมเส้นที่หาตัวจับยากแถมยังเป็นกำลังสำคัญของกุนซืออย่างอเล็กซ์ เฟอร์กูสันในปี 1993/94 ในการพาทีมเดินหน้าป้องกันแชมป์ลีกและบอลถ้วย

 

ช่วงเวลา 4 ปีที่เขาอยู่ในรั้วโอลด์แทรฟฟอร์ด สิ่งเดียวที่ทำให้แคนเชลสกี้จดจำไม่มีวันลืมนั่นก็คือการซัดแฮตทริกใส่อริร่วมเมืองอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ในชัยชนะ 5-0

 

สตีฟ บรูซ

 

 

ผู้เล่นชาวอังกฤษที่เก่งที่สุดที่ไม่เคยติดธงสิงโตคำราม บรูซนั้นจับคู่ในตำแหน่งเซ็นเตอร์แบ็คกับแกรี่ พัลลิสเตอร์ ได้อย่างแข็งแกร่งและเป็นหัวใจในแนวรับของยูไนเต็ด

 

“ดอลลี่และเดซี่”พวกเขาสอดประสานกันได้อย่างลงตัวในช่วงต้นทศวรรษที่ 90 จนถึงกลางทศวรรษและกลายเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของปีศาจแดง

 

บรูซทำ 2 ประตูช่วยให้แมนฯยูไนเต็ดเปิดบ้านพลิกกลับมาเอาชนะเชฟฟิลด์เว้นส์เดย์ได้ในเกมพรีเมียร์ลีกก่อนที่พวกเขาจะก้าวขึ้นไปคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้ในรอบ 26 ปี

 

เขาเป็นคนแรกของสโมสรที่คว้าแชมป์ลีกได้ถึง 3 สมัย นอกจากนี้บรูซยังชูถ้วยเอฟเอคัพได้อีก 2 ครั้ง โดยเขาลงสนามให้ต้นสังกัดไปทั้งสิ้น 414 นัด ทำได้ 51 ประตู ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เลวเลยสำหรับตำแหน่งกองหลัง

 

 

ยาป สตัม 

 

 

ชายผู้ที่สวมใส่หมายเลข 6 กับช่วงประวัติศาสตร์ของสโมสรในฤดูกาล 1998/99 โดยในปีนั้นเฟอร์กี้พาแมนฯยูไนเต็ดคว้าแชมป์ได้ถึงสามรายการไม่ว่าจะเป็นพรีเมียร์ลีก, เอฟเอคัพและยูโรเปี้ยนส์คัพภายในระยะเวลาแค่ซีซั่นเดียวเท่านั้น

 

มันเป็นความสำเร็จที่ไม่น่าเชื่อสำหรับสตัม หลังเซ็นสัญญาย้ายจากพีเอสวีในช่วงหน้าร้อน และเขาก็ปรับตัวเข้ากับทีมได้อย่างรวดเร็วในแผงแบ็คโฟร์ โดยฤดูกาลดังกล่าวเจ้าตัวลงเล่นไปทั้งหมด 51 นัดให้กับทีมของเฟอร์กี้

 

ซึ่งตั้งแต่ช่วงครึ่งฤดูกาลหลังในปี 1999 ปราการหลังชาวดัตช์ช่วยให้ปีศาจแดงไม่เพลี่ยงพล้ำให้กับทีมใดเลย แถมพวกเขายังคว้าชัยชนะได้หลายต่อหลายครั้งโดยเฉพาะในถ้วยยุโรป

 

ในรอบก่อนรองชนะเลิศเลกสองของถ้วยยูโรเปี้ยนส์คัพที่ต้องออกไปเยือนอินเตอร์ มิลาน ถึงถิ่นจูเซ็ปเป้ เมอัซซา สตัมจัดการกับ 2 กองหน้าระดับโลกในช่วงเวลานั้นอย่างโรนัลโด้และอีวาน ซาโมราโน่ได้อยู่หมัดในเกมที่เสมอกัน 1-1 

 

เวส บราวน์

 

 

น้าน้ำตาลอาจจะไม่ใช่ผู้เล่นที่แฟนบอลนึกถึงเป็นลำดับต้นๆ และก็อาจไม่ได้อยู่ในใจหลายต่อหลายคนมากนัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเขาเคยคว้าโทรฟี่กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดมาถึง 11 รายการ ตลอดระยะเวลา 15 ปีในโรงละครแห่งความฝัน

 

เซอร์อเล็กซ์ เป็นคนหนึ่งที่ไม่ได้คาดหวังกับบราวน์สักเท่าไหร่ แต่เจ้าตัวก็มีความมั่นใจมากพอในการลงเล่นตำแหน่งกองหลัง จนพิสูจน์ให้เจ้านายเห็นว่าเขามีประโยชน์ไม่มากก็น้อยเลยทีเดียว

 

แนวรับชาวอังกฤษได้ถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีกถึง 2 สมัยกับปีศาจแดง โดยในรอบชิงชนะเลิศปี 2008 เขาเป็นคนโยนบอลให้คริสติอาโน่ โรนัลโด้ โหม่งพังประตูให้ทีมขึ้นนำเชลซีไปก่อน

 

แต่ด้วยอาการบาดเจ็บของเจ้าตัวในช่วงหลัง ทำให้เขาไม่ค่อยได้ลงเล่นมากนัก แต่ถึงอย่างไรบราวน์ก็ยังได้เหรียญ์พรีเมียร์ลีกมาคล้องคอถึง 5 สมัย และยังเป็นหนึ่งในชุดที่คว้าทริปเปิ้ลแชมป์เมื่อปี 1999 อีกด้วย

 

แกรี่ พัลลิสเตอร์ 

 

 

พัลลิสเตอร์เป็นคนที่ยืนคู่กับบรูซในตำแหน่งปราการหลังตัวกลาง จนได้รับการยกย่องว่าเป็นกำแพงเบอร์ลินของสโมสร แม้ริโอ เฟอร์ดินานด์ กับเนมานย่า วิดิช อาจจะมองต่างก็ตาม

 

มันเป็นสิ่งที่ควรรักษาระดับมาตรฐานการเล่นเอาไว้และแม้พัลลิสเตอร์จะมีรูปร่างที่ใหญ่โต แต่เขาก็มีดีในเรื่องลูกกลางอากาศและสปีดความเร็ว ซึ่งคู่แข่งคนไหนที่คิดจะผ่านด่านเขาไปละก็ บอกได้คำเดียวเลยว่ายาก

 

เขาค้าแข้งอยู่ในโอลด์แทรฟฟอร์ดนานกว่าบรูซและเพิ่มเหรียญรางวัลพรีเมียร์ลีกให้กับตัวเองต่อไป ก่อนที่จะย้ายไปอยู่กับมิดเดิลสโบรห์ในปี 1998

 

ตลอดระยะเวลาที่อยู่กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดพัลลิสเตอร์ได้แชมป์พรีเมียร์ลีกไปถึง 3 สมัย แชมป์เอฟเอคัพ 3 ครั้งและถ้วยลีกคัพอีก 2 หน

 

ริโอ เฟอร์ดินานด์ 

 

 

ชายผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นปราการหลังที่สมบูรณ์แบบคนหนึ่งในยุคของเขา“สุดยอดเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ”เฟอร์ดินานด์เป็นเซ็นเตอร์แบ็คสมัยใหม่ที่มีสไตล์การเล่นในแบบฉบับของตัวเอง

 

เฟอร์ดินานด์ย้ายจากลีดส์มาอยู่กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในปี 2002 ด้วยค่าตัวที่เป็นสถิติโลกถึง 30 ล้านปอนด์ สำหรับตำแหน่งกองหลังในเวลานั้น แม้ว่าในตอนแรกยูงทองจะเรียกค่าตัวของเขามากกว่านี้

 

ความนิ่งของเฟอร์ดินานด์ในการเล่นกับลูกฟุตบอลรวมไปถึงการอ่านเกมที่เด็ดขาดและความเร็วบนภาคพื้นดิน ทำให้เขาเปรียบเสมือนรถโรลส์รอยซ์ในแนวรับ

 

ประสิทธิภาพของเขาเริ่มเพิ่มสูงขึ้นเมื่อวิดิชย้ายเข้ามาในปี 2006 และได้ยืนจับคู่กับเขาในตำแหน่งเซ็นเตอร์ฮาล์ฟจนได้รับการยกย่องทั่วยุโรปว่าเป็นคู่ดูโอ้กองหลังที่แข็งแกร่งที่สุดคู่หนึ่งเลยทีเดียว

 

สำหรับรางวัลที่เฟอร์ดินานด์ได้รับในช่วงระหว่างที่อยู่กับปีศาจแดงก็มีแชมป์พรีเมียร์ลีก 6 สมัย แชมป์ยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก 1 ครั้ง และถ้วยลีกคัพอีก 2 หน ตลอดการค้าแข้ง 12 ปีในถิ่นโอลด์แทรฟฟอร์ด

 

 

น็อบบี้ สไตล์ส

 

 

ชายคนเดียวที่สามารถแข่งขันกับป็อกบาได้ ในแง่ของศักดิ์ศรีระดับนานาชาติ สไตล์สเป็นส่วนหนึ่งในทีมชาติอังกฤษชุดคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกในปี 1966

 

หนึ่งในแมตช์สุดคลาสสิกของทัพสิงโตคำรามก็คือเกมรอบรองชนะเลิศที่พวกเขาเอาชนะโปรตุเกสที่มี ยูเซบิโอ เป็นตัวชูโรงไปได้ 2-1 จนกระทั่งก้าวขึ้นไปคว้าถ้วยจูลส์ ริเมต์ในที่สุด

 

แต่ความสำเร็จของทีมชาติอังกฤษจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีชายที่ชื่อ น็อบบี้ ที่คอยช่วยเหลือเกมรับอยู่ข้างหน้าแผงแบ็คโฟร์ นอกจากนี้เขายังเป็นมิดฟิลด์ตัวตัดเกมให้กับยูไนเต็ดมาอย่างยาวนานหลายทศวรรษ

 

ทุกวันนี้อดีตแข้งแชมป์โลก มีบทบาทอย่างมากกับฟุตบอลสมัยใหม่ ซึ่งถ้าย้อนกลับไปในยุค 60 คงไม่มีใครรู้ว่าตำแหน่งที่เขาเล่นนั้นมีประโยชน์อย่างไร จนกระทั่งสไตล์สทำให้ทุกคนเห็นแล้วว่าตำแหน่งนี้สำคัญมากๆ

 

ความสามารถของสไตล์สอีกอย่างหนึ่งก็คือการมีอารมณ์ร่วมกับเกมอยู่ตลอดเวลาและมีบทบาทสำคัญที่ช่วยให้ทีมของเซอร์ แมตต์บัสบี้ กลายเป็นทีมแรกของอังกฤษที่คว้าถ้วยยุโรปในปี 1968