ครั้งหนึ่งในแดนไก่งวง : 10 สตาร์พรีเมียร์ลีกที่คุณอาจลืมไปแล้วว่าเคยค้าแข้งตุรกี

ตุรกี ซูเปอร์ลีก

นอกจากไชนีส ซูเปอร์ลีก และเมเจอร์ลีก ซอกเกอร์… ตุรกี ซูเปอร์ลีก ถือเป็นอีกหนึ่งเวทีที่มักจะมีนักฟุตบอลชื่อดังที่กำลังอยู่ในช่วงขาลงย้ายมาทิ้งทวน หรือไม่ก็ชุบตัวเพื่อกลับไปเล่นในระดับท็อปอีกครั้ง

แต่ถึงจะบอกอย่างนั้น ลีกสูงสุดแดนไก่งวงก็จัดว่าเป็นหนึ่งในลีกที่ดีที่สุดหากไม่นับ 5 ลีกใหญ่ของยุโรป ทั้งยังขึ้นชื่อในเรื่องของบรรยากาศการเชียร์ที่ดุเดือด โดยปัจจุบัน มีอดีตวัยรุ่นพรีเมียร์ลีกจำนวนไม่น้อยที่กำลังโลดแล่นอยู่ที่นี่ รวมถึงนักเตะที่เราคุ้นชื่อกันดีอย่าง เมซุต โอซิล , มิชี่ บาตชัวยี่ , แซร์วินโญ่ , ไรอัน บาเบล และ ฟาบิโอ บอรินี่ แต่แน่นอนว่าก่อนหน้าพวกเขาเหล่านี้ วงการลูกหนังตุรกีได้เคยต้อนรับผู้เล่นจากลีกสูงสุดของอังกฤษมาแล้วหลายต่อหลายคน

และในวันนี้ เราจะพาไปดูว่ามีดาวดังพรีเมียร์ลีกคนไหนบ้างที่คุณอาจลืมไปแล้วว่าเคยมาค้าแข้งในตุรกี ซูเปอร์ลีก หรือบางรายคุณอาจจะเซอร์ไพรส์ด้วยซ้ำเมื่อรู้ว่าเคยมาเล่นที่นี่ด้วย

 

โรเบร์โต้ โซลดาโด้

เงินจำนวน 85 ล้านปอนด์ (สถิติโลกในเวลานั้น) ที่ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ได้มาจากการขาย แกเร็ธ เบล ให้กับ เรอัล มาดริด เมื่อช่วงซัมเมอร์ปี 2013 ถูกเทรดมาเป็นนักเตะใหม่ถึง 7 ราย และหนึ่งในนั้นคือ โซลดาโด้ ที่กำลังพุ่งขึ้นมากับ บาเลนเซีย

อย่างไรก็ตาม กองหน้าดีกรีทีมชาติสเปนกลับไม่สามารถผลิตสกอร์ในพรีเมียร์ลีกได้เหมือนที่เคยทำในลาลีก้า อีกทั้งการถือกำเนิดของ แฮร์รี่ เคน ในฤดูกาล 2014-15 ยังส่งผลให้อนาคตของเจ้าตัวในลอนดอนมืดลงทันที จนทำให้ต้องเก็บข้าวของกลับไปเล่นที่บ้านเกิดกับ บียาร์เรอัล ในปี 2015 ต่อด้วยการย้ายไปร่วมทีม เฟเนร์บาห์เช่ ในอีก 2 ปีให้หลัง

โซลดาโด้ ได้ร่วมงานกับ โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ ช่วงเวลาสั้นๆที่ตุรกี โดยเขาล่าตาข่ายให้กับยักษ์ใหญ่จากแดนไก่งวงนาน 2 ฤดูกาล ยิงไปทั้งหมด 19 ประตู จากการลงสนาม 59 นัด แต่น่าเสียดายที่ไม่มีความสำเร็จติดมือ ก่อนที่จะหวนกลับมาเล่นในสเปนอีกครั้งกับ กรานาด้า และเพิ่งเซ็นสัญญากับ เลบานเต้ เมื่อช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมา

อันที่จริง ถ้วยรางวัลเดียวที่หัวหอกชาวสแปนิชคว้ามาได้ในอาชีพการค้าแข้ง คือแชมป์ลาลีก้ากับราชันชุดขาวในปี 2008 ซึ่งฤดูกาลนั้นเจ้าตัวลงสนามให้กับโลส บลังโก้ไปแค่ 5 นัดก่อนที่จะถูกขาย

 

แฮร์รี่ คีลล์

ลิเวอร์พูล สร้างการคัมแบ็คที่ยิ่งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ฟุตบอลยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ในค่ำคืนที่อิสตันบูล เมื่อปี 2005 หลังจากพวกเขาพลิกกลับมาคว้าแชมป์ได้ทั้งที่ตามหลัง เอซี มิลาน ไปก่อนถึง 0-3 ในครึ่งแรก และนั่นทำให้หนึ่งในขุนพลหงส์แดงชุดดังกล่าวอย่าง คีลล์ มีความทรงจำที่ยอดเยี่ยมกับเมืองนี้

หลังจากโบกมือลาถิ่นแอนฟิลด์ในปี 2008 กองกลางชาวออสเตรเลียก็ตัดสินใจย้ายมาค้าแข้งในอิสตันบูลกับ กาลาตาซาราย โดยเขามาถึงสโมสรพร้อมกับ มิลาน บารอส อดีตเพื่อนร่วมทีมลิเวอร์พูลที่คว้าแชมป์ยุโรปมาด้วยกัน

ลูกหม้อลีดส์ ยูไนเต็ด ใช้เวลา 3 ปีในตุรกี และยิงได้ถึง 34 ประตูทั้งที่เล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ ก่อนที่จะมุ่งหน้ากลับไปเล่นบนแผ่นดินเกิดกับ เมลเบิร์น วิคตอรี่ และประกาศแขวนสตั๊ดกับ เมลเบิร์น ฮาร์ท ในปี 2014

 

อาร่อน เลนน่อน

หลังจากใช้เวลา 2 ปีแรกในอาชีพการค้าแข้งกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด – เลนน่อน ก็ย้ายมาแจ้งเกิดอย่างเป็นทางการกับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ โดยเขาอยู่กับไก่เดือยทองนานถึง 10 ฤดูกาล ก่อนที่จะเข้าร่วมกับ เอฟเวอร์ตัน แบบถาวรในช่วงซัมเมอร์ปี 2015 หลังจากก่อนหน้านั้นได้ทดลองงานบนถิ่นกูดิสัน พาร์คมาแล้วครึ่งซีซั่น

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะกับท็อฟฟี่สีน้ำเงิน หรือต่อมากับ เบิร์นลีย์ อดีตปีกทีมชาติอังกฤษก็ยังไม่สามารถพาตัวเองกลับไปอยู่ในจุดเดิมได้ จนทำให้ในปี 2020 เจ้าตัวตัดสินใจที่จะออกไปผจญภัยนอกประเทศเป็นครั้งแรกกับ เคย์เซริสปอร์ สโมสรในตุรกี ซูเปอร์ลีก

ริมเส้นวัย 34 ปี ลงสนามให้กับสโมสรจากแดนไก่งวงไปทั้งหมด 36 นัด ในฤดูกาล 2020-21 ก่อนที่จะกลับมาเล่นในอังกฤษกับทีมเก่าอย่างเดอะคลาเร็ตส์ หลังจากใช้เวลาในตุรกีเพียงปีเดียว

 

นานี่

4 แชมป์พรีเมียร์ลีก และ 1 แชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก คือความสำเร็จที่ นานี่ คว้ามาได้ในช่วงเวลาที่สวมเสื้อแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยหลังจากที่อยู่ภายใต้ชายคาโรงละครแห่งความฝันนาน 9 ปี เขาก็ย้ายมาสัมผัสประสบการณ์ใหม่บนเวทีตุรกี ซูเปอร์ลีกกับ เฟเนร์บาห์เช่ ในปี 2015

แม้ท้ายที่สุดปีกชาวโปรตุกีสจะค้าแข้งในแดนไก่งวงเพียงฤดูกาลเดียว แต่มันก็เป็น 12 เดือนที่น่าประทับใจ เมื่อเจ้าตัวฝากผลงานไว้ที่ 12 ประตู 13 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 47 นัด ก่อนที่จะย้ายไปร่วมทีม บาเลนเซีย ในเวลาต่อมา

นับตั้งแต่ออกจากตุรกี แนวรุกวัย 35 ปีผ่านการเล่นให้กับทั้งไอ้ค้างคาว , ลาซิโอ้ , สปอร์ติ้ง ลิสบอน (รีเทิร์นรอบที่ 3) , ออร์แลนโด้ ซิตี้ จนถึงมาถึงปัจจุบันกับ เวเนเซีย โดยเขาเพิ่งกลายมาเป็นเป็นสมาชิกป้ายแดงของสโมสรจากกัลโช่ เซเรียอาในเดือนมกราคมนี้

 

ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา

ตำนานแห่งถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ และหนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดตลอดกาลของพรีเมียร์ลีก คือสองสถานะที่อยู่ต่อท้ายชื่อของดร็อกบา โดยเขาสังหารให้กับ เชลซี ไปถึง 164 ประตู จากการลงสนาม 381 นัด พร้อมช่วยให้ต้นสังกัดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก 4 สมัย , เอฟเอ คัพ 4 สมัย และยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก 1 สมัย

หลังจากหมดสัญญากับสิงโตน้ำเงินคราม (รอบแรก) ในช่วงซัมเมอร์ปี 2012 ดาวยิงชาวไอวอรี่ โคสต์ก็เดินทางข้ามทวีปไปหากินที่จีนช่วงสั้นๆกับ เซี่ยงไฮ้ เสิ่นหัว ก่อนที่จะบินกลับมาเล่นในยุโรปกับ กาลาตาซาราย ในเดือนมกราคมปี 2013

โดยในช่วงเวลาปีครึ่งบนลีกสูงสุดของตุรกี ดร็อกบา ยิงไปทั้งหมด 20 ประตู จากการลงสนาม 53 นัด พร้อมพาสโมสรคว้าแชมป์ลีกและแชมป์บอลถ้วยมาครองได้อย่างละสมัย ก่อนที่ในช่วงหน้าร้อนปี 2015 เจ้าตัวจะสร้างเซอร์ไพรส์กลับมาปรากฏตัวในเสื้อเชลซีอีกครั้ง ซึ่งฤดูกาลนั้นสิงห์บลูส์สามารถคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ด้วย

ภายหลังจากอำลาลอนดอนอีกรอบ เจ้าของรางวัลรองเท้าทองคำพรีเมียร์ลีก 2 สมัยก็เดินทางไปใช้เวลาในช่วงท้ายอาชีพการค้าแข้งที่เมเจอร์ลีก ซอกเกอร์กับ มอนทรีออล อิมแพคท์ และ ฟินิกซ์ ไรซิ่ง ก่อนที่จะตัดสินใจแขวนสตั๊ดเมื่อปี 2018

 

จอห์น โอบี มิเกล

แม้จะไม่ได้ถูกจดจำในฐานะนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์ แต่ โอบี มิเกล ก็มีโปรไฟล์ที่ใครหลายคนต้องอิจฉา เมื่อตลอดอาชีพการค้าแข้ง เขากวาดมาแล้วทั้งแชมป์พรีเมียร์ลีก , เอฟเอ คัพ , ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก และยูโรป้า ลีก รวมถึงเคยคว้าแชมป์แอฟริกา คัพ ออฟ เนชั่นส์กับทีมชาติไนจีเรียด้วย

กองกลางวัย 34 ปี ใช้เวลาบนถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์นานถึง 11 ฤดูกาล และเดินตามเส้นทางที่คล้ายกับ ดร็อกบา โดยหลังจากแยกทางกับ เชลซี เจ้าตัวก็โยกไปลุยที่แดนมังกรกับ เทียนจิน เทด้า ต่อด้วยการกลับมาเล่นในอังกฤษกับ มิดเดิ้ลสโบรห์ และได้มาลงเอยที่ตุรกีกับ แทรปซอนสปอร์ ในปี 2019

อดีตดาวเตะสิงโตน้ำเงินคราม ลงสนามให้กับสโมสรจากแดนไก่งวงไปทั้งหมด 24 นัด ก่อนที่จะคัมแบ็คเมืองผู้ดีอีกรอบหลังจากค้าแข้งบนลีกสูงสุดของตุรกีได้เพียงปีเดียว ขณะที่ในปัจจุบัน เขาอยู่ในสถานะนักเตะไร้สังกัด หลังจากถูก คูเวต เอสซี ยกเลิกสัญญาทั้งที่เพิ่งย้ายมาร่วมทีมได้เพียง 4 เดือน และยังไม่ได้ลงเล่นเกมลีกเลยสักนัด

 

ดาเนี่ยล สเตอร์ริดจ์

ด้วยศักยภาพที่มี คงไม่ใช่เรื่องเกินจริงหากจะบอกว่า สเตอร์ริดจ์ สามารถก้าวขึ้นไปเป็นหนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดของพรีเมียร์ลีกได้ แต่เพราะปัญหาอาการบาดเจ็บที่ตามตื๊อไม่เลิก ทำให้อาชีพการค้าแข้งของเขาไปได้ไม่ไกลอย่างที่ควรจะเป็น

หัวหอกวัย 32 ปี เคยผ่านการเล่นให้กับทีมชุดใหญ่ของทั้ง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ , เชลซี และ ลิเวอร์พูล รวมถึงเคยรับใช้ทีมชาติอังกฤษไป 26 นัด โดยในช่วงเวลาที่อยู่บนถิ่นแอนฟิลด์ เจ้าตัวซัดในลีกไปถึง 50 ประตู จากการลงสนาม 116 นัด ก่อนที่ในช่วงซัมเมอร์ปี 2019 แข้งจอมเซิ้งจะย้ายออกมาลุยนอกบ้านเกิดเป็นครั้งแรกกับ แทรปซอนสปอร์

อดีตดาวยิงหงส์แดง ถือว่าโชว์ฟอร์มได้ไม่เลวในตุรกี เมื่อผ่าน 16 นัดแรกด้วยการกดไป 7 ประตู ทว่าหลังจากเซ็นสัญญาได้เพียงครึ่งปี เขาก็โดนสโมสรยกเลิกสัญญา เนื่องจากถูกสมาคมฟุตบอลอังกฤษสั่งแบนยาว 4 เดือนด้วยข้อหาการพนัน (มีผลทั่วโลก)

หลังจากเตะฝุ่นไปนานกว่าปีครึ่ง ในที่สุด สเตอร์ริดจ์ ก็ได้กลับเข้าสู่เส้นทางลูกหนังอีกครั้ง โดยเป็นทีมจากออสเตรเลียอย่าง เพิร์ธ กลอรี่ ที่มอบโอกาสครั้งใหม่มาให้ อย่างไรก็ตาม จนถึงตอนนี้เจ้าตัวเพิ่งลงเล่นในแดนจิงโจ้ไปแค่ 3 นัดเท่านั้น

 

ชินจิ คากาวะ

คากาวะ มีชีวิต 3 ปีแรกบนแผ่นดินยุโรปราวกับฝัน เมื่อเจ้าตัวคว้าแชมป์บุนเดสลีก้า 2 สมัย และเดเอฟเบ โพคาล 1 สมัยกับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ก่อนที่จะย้ายมาชูถ้วยพรีเมียร์ลีกกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่การวางมือของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน หลังจบฤดูกาล 2012-13 คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้อนาคตของ ชินจัง บนถิ่นโอลด์ แทรฟฟอร์ดดับลง

เพลย์เมคเกอร์เลือดซามูไร หวนคืนสู่บ้านหลังเดิมที่เคยสร้างชื่ออย่าง ดอร์ทมุนด์ ในปี 2014 และสามารถเรียกฟอร์มเก่าๆกลับมาได้อีกครั้ง ทว่าเมื่อเวลาเดินทางมาถึงฤดูกาล 2018-19 ด้วยสภาพร่างกายที่เปราะลง บวกกับการเปลี่ยนเจ้านายมาเป็น ลูเซียง ฟาฟร์ ทำให้ในช่วงครึ่งแรกของซีซั่นดังกล่าว เขาได้ปรากฏตัวไปแค่ 4 ครั้ง จนต้องย้ายออกไปหาโอกาสลงเล่นกับ เบซิคตัส แบบยืมตัวในช่วงครึ่งซีซั่นหลัง

ที่ตุรกี คากาวะ ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงไป 4 จาก 14 นัดที่ลงสนาม และทำได้ 4 ประตู 2 แอสซิสต์ ก่อนที่จะถูกเสือเหลืองปล่อยไปให้กับ เรอัล ซาราโกซ่า หลังกลับมาจากการยืมตัว ส่วนในปัจจุบัน ดาวเตะวัย 32 ปีเพิ่งเปิดตัวเป็นสมาชิกใหม่ของ แซงต์-ทรุยด็อง สโมสรจากเบลเยี่ยม ในตลาดซื้อขายนักเตะช่วงหน้าหนาวนี้

 

ซาเมียร์ นาสรี่

หลังจากใช้เวลา 8 ฤดูกาลบนเวทีพรีเมียร์ลีกกับ อาร์เซน่อล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ พร้อมคว้าแชมป์ลีกมาครองได้ 2 สมัยกับเรือใบสีฟ้า นาสรี่ ก็ตัดสินใจเก็บกระเป๋าย้ายมาเล่นบนเวทีตุรกี ซูเปอร์ลีกกับ อันตัลยาสปอร์ ในช่วงซัมเมอร์ปี 2017

อย่างไรก็ตาม ชีวิตการค้าแข้งในแดนไก่งวงของอดีตกองกลางทีมชาติฝรั่งเศสกลับสั้นกว่าที่คิด เพราะหลังจากผ่านไปเพียง 5 เดือน , ลงเล่นไปแค่ 8 นัด เขาก็ถูกต้นสังกัดยกเลิกสัญญา และในอีกประมาณ 3 สัปดาห์ต่อมา ดาวเตะเฟรนช์แมนก็โดนยูฟ่าสั่งแบนยาว 6 เดือนจากกรณีใช้สารประตุ้น

เมื่อพ้นโทษแบนในเดือนมกราคมปี 2019 นาสรี่ ก็ได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้งกับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ต่อด้วยการย้ายไปร่วมทีม อันเดอร์เลชท์ แต่ด้วยสภาพร่างกายที่เจ็บอ่อดๆแอ่ดๆ ทำให้เจ้าตัวได้ลงสนามในเกมอย่างเป็นทางการรวมแล้วแค่ 14 นัดนับตั้งแต่กลับมาจากการชดใช้โทษ ก่อนที่จะประกาศแขวนสตั๊ดเมื่อปีที่แล้ว

 

โรบินโญ่

โรบินโญ่ คือนักเตะระดับโลกรายแรกที่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ภายใต้การนำของ ชีค มานซูร์ คว้ามาร่วมทีมได้สำเร็จ โดยเขาย้ายจาก เรอัล มาดริด มาค้าแข้งบนถิ่นเอติฮัต สเตเดียม ในปี 2008 ด้วยค่าตัว 32.5 ล้านปอนด์ ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงพอสมควรในเวลานั้น

และอย่างที่รู้กันว่าท้ายที่สุด เงินก้อนโตที่เรือใบสีฟ้าจ่ายไปนั้นเป็นการลงทุนที่สูญเปล่า เมื่อแนวรุกชาวบราซิเลี่ยนเป็นแค่พลุที่สว่างไสวในช่วงแรก ก่อนที่จะถูกขายไปให้กับ เอซี มิลาน ในปี 2010

ผ่านไป 1 ทศวรรษนับตั้งแต่ที่เปิดตัวกับ ซิตี้ – โรบินโญ่ ก็ตัดสินใจย้ายมาลุยในตุรกีกับ ซิวาสสปอร์ และ อิสตันบูล บาซัคเซฮีร์ โดยเจ้าตัวลงสนามไปทั้งหมด 73 นัด และยิงได้ 16 ประตู ในช่วงเวลาที่เล่นให้กับสองทีมจากแดนไก่งวง ก่อนที่จะกลับไปอยู่กับ ซานโตส เป็นหนที่ 4 ในปี 2020

อย่างไรก็ตาม หลังจากเซ็นสัญญากับสโมสรที่ปลุกปั้นขึ้นมาได้ไม่ถึงสัปดาห์ อดีตแข้งที่เคยถูกยกให้เป็น “นิว เปเล่” ก็จำใจต้องแยกทางกับทีม เนื่องจากปัญหาเรื่องคดีข่มขืนที่ติดตัวอยู่ และเมื่อสัปดาห์ก่อน เขาก็เพิ่งถูกศาลในกรุงโรมปฏิเสธคำอุทธรณ์ ซึ่งโทษของคดีนี้คือการต้องเข้าไปนอนในคุกเป็นเวลา 9 ปี

 

บทความที่คุณอาจสนใจ : ตัวใหญ่ล้มดัง : เมื่อเฟเนร์บาห์เช่เคยกลายร่างเป็นทีมหนีตกชั้น

เฟเนร์บาห์เช่