ต้นกำเนิดจักรพรรดิ : ศึกโคปา อเมริกา 2004 เวทีฉายแสงของ อาเดรียโน่ 

 

“มันเป็นอารมณ์ที่อธิบายไม่ถูกจริง” อาเดรียโน่ กล่าวหลังสิ้นเสียงนกหวีดช่วงดวลจุดโทษชี้ขาดเกมนัดชิงชนะเลิศศึกโคปา อเมริกา 2004 ที่บราซิล คว้าชัยเหนือ อาร์เจนติน่า คู่ปรับตลอดกาล 

 

ไม่แปลกที่ ดาวยิงเท้าหนัก จะรู้สึกแบบนั้นในช่วงเวลาดังกล่าว เนื่องจากในช่วงแรกที่เขาติดทัพ ‘เซเลเซา’ มีไม่กี่คนเท่านั้นที่เชื่อมั่นว่าเขาจะเข้ามาแทนที่ โรนัลโด้ กองหน้ารุ่นพี่ได้ แต่ศึกชิงแชมป์ทวีปอเมริกาใต้ กลับกลายเป็นเวทีแจ้งเกิดของเขา และกลายเป็นฮีโร่ของชาวบราซิลเลี่ยนแบบที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน

 

เส้นทางสู่นัดชนะเลิศ อาเดรียโน่ กดไปทั้งหมด 6 ประตู จากนั้นก็มายิงเพิ่มอีกประตูในนัดชิงช่วงนาทีที่ 93 ช่วยให้ บราซิล ยังอยู่ในเส้นทางลุ้นแชมป์ ก่อนเป็น 1 ใน 4 แข้งที่ซัดจุดโทษชี้ขาดให้บ้านเกิดคว้าแชมป์ทวีปไปครอง 

 

และนี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ อาเดรียโน่ ได้รับฉายาว่า ‘ดิ เอ็มเพเรอร์’ (จักรพรรดิ) นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา…

 

ในอดีตโคปา อเมริกามี อาเดรียโน่ เรามาลองดูเเข้งดาวรุ่งที่น่าจับตามองในปีนี้

 

โคปา อเมริกา
อาจได้ฉายแสง : 7 ดาวรุ่งน่าจับตาศึกโคปา อเมริกา 2021
โดนดูแคลน

 

Adriano, I want to kill you' - When The Emperor ruled the 2004 Copa America - Planet Football

 

ก่อนเดินทางมาแข่งขันในโคปา อเมริกา ปี 2004 ที่เปรู เป็นเจ้าภาพ อาเดรียโน่ มีอายุเพียง 22 ปี และบางทีนี่อาจเป็นช่วงที่ร่างกายของเขาฟิตสมบูรณ์ที่สุดในอาชีพค้าแข้งด้วย แม้ทำผลงานโดดเด่นกับปีที่ 3 ในลีกอิตาลี จนได้ย้ายกลับไป อินเตอร์ มิลาน อีกครั้ง แต่เขาก็ยังไม่รับความไว้เนื้อเชื่อใจจากแฟนบอลในบ้านเกิดนัก

 

ในบราซิลยุคก่อน ฟอร์มของผู้เล่นในลีกยุโรปไม่ได้ถูกนำมาพิจารณาโดยผู้เชี่ยวชาญและนักข่าวที่ให้ความสำคัญกับลีกในประเทศมากกว่า และฟอร์มการเล่นของ อาเดรียโน่ ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้มีมาตรฐานสูงอย่างที่คาดหวังกับบทบาทเบอร์ 9 ในทีมชาติบราซิล

 

เขาประเดิมสนามให้ทีมชาติครั้งแรกแบบเซอร์ไพรส์ด้วยวัยเพียง 18 ปี ในปี 2000 ขณะที่ยังค้าแข้งกับ ฟลาเมงโก้ และต้องรออีก 3 ปีถึงถูกเรียกกลับไปติดธงอีกครั้ง กับศึกคอนเฟเดเรชั่นส์ คัพ ที่ฝรังเศส ในปี 2003 แต่ ทัพ ‘เซเลาเซา’ ที่เข้าไปเล่นในฐานะแชมป์โลก ก็เก็บของกลับบ้านตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่ม

 

แม้ยิงได้ 2 ประตูจาก 3 นัด แต่ อาเดรียโน่ ก็โดนสื่อในบ้านเกิดสับเละ แถมยังไม่มีชื่อติดทีมชาติช่วงฟุตบอลโลกรอบคัดเลือก ระหว่างฤดูกาล 2003-04 อีกต่างหาก

 

แต่โชคก็ยังดูเข้าข้าง อาเดรียโน่ เมื่อ คาร์ลอส อัลแบร์โต้ ปาร์เรย์ร่า กุนซือทีมชาติบราซิล ต้องการทดลองใช้ทีมสายเลือดใหม่ในศึกชิงแชมป์ทวีปปี 2004 จึงทำให้เขาได้โอกาสอีกครั้ง

 

นอกจากไม่มีดาวเตะชุดแชมป์โลกปี 2002 ทั้ง โรนัลโด้, โรนัลดินโญ่, ริวัลโด้ หรือ ริคาร์โด้ กาก้า แล้ว ทีมชุดดังกล่าวไม่มีนักเตะคนไหนที่มีอายุเกิน 30 ปีแม้แต่คนเดียว โดยมี มาร์เซโล่ บอร์ดอน กองหลังจาก สตุ๊ตการ์ท เท่านั้นที่มีอาวุโสสุดในตอนนั้น (อายุ 28 ปี)

 

 

สู่กองหน้าตัวความหวัง

 

Football Flashbacks: Adriano. An examination of a player who was on… | by Mohamed | Medium

 

แม้ บราซิล ชุดลุยบอลทวีปเต็มไปด้วยแข้งดาวรุ่งอายุน้อยมากมาย แต่ตำแหน่งตัวจริงของ อาเดรียโน่ ก็ยังมีหลายคนโต้แย้ง เนื่องจากมีไม่น้อยต้องการเห็น ว๊ากเนอร์ เลิฟ หรือ ริคาร์โด้ โอลิเวย์ร่า ได้โอกาสมากกว่า แต่ ปาร์เรย์ร่า ก็ยืนยันว่าจะใช้ ดาวยิงจาก อินเตอร์ มิลาน เป็นตัวจริง ในเกมรอบแบ่งกลุ่มนัดแรกพบ ชิลี

 

ถึงยิงประตูไม่ได้ แต่ฟอร์มการเล่นของ หอกวัย 22 ปีในตอนนั้นใกล้เคียงกับผลงานที่เขาทำได้ใน เซเรียอา ไม่มีผิด ทั้งการยิงฟรีคิกที่หลุดเสาไกลไปนิดเดียวในครึ่งแรก หรือ การสร้างโอกาสให้ หลุส์ ฟาเบียโน่ กองหน้าคู่ขาเกือบทำประตูได้

 

ในเกมนัดต่อมาพบกับ คอสตาริก้า อาเดรียโน่ ก็ยังเป็นตัวจริงต่อไป และนี่เป็นช่วงเวลาที่เขาเริ่มฉายแสงให้แฟนแซมบ้าได้เห็น

 

การจ่ายบอลที่ยอดเยี่ยมของ อเล็กซ์ ทำให้บอลโด่งตัดแนวรับของคอสตาริก้า มาถึง อาเตรียโน่ ที่วิ่งสอดขึ้นมา พักบอลอยางนิ่มนวล หลบผู้รักษาประตูหนึ่งจังหวะ ก่อนซัดเข้าไปตุงตาข่ายให้ บราซิล ออกนำช่วงท้ายครึ่งแรก 1-0

 

ครึ่งหลังเกมนั้น หอก งูใหญ่ ก็ยังเป็นดาวเด่น ด้วยการซัดพิ่มอีก 2 ลูก ช่วยให้ บราซิลเอาชนะไป 4-1

 

แม้เกมต่อมาจะพ่ายให้กับ ปารากวัย แต่ 6 แต้มที่มีก็เพียงพอให้ เซเลเซา ผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายต่อไป ซึ่งจะไปพบกับ เม็กซิโก ที่มี ราฟาเอล มาร์เกซ กองหลังตัวเก่งจาก บาร์เซโลน่า ที่พาทีมไปไกลถึงรอบ 16 ทีมสุดท้ายในฟุตบอลโลกปี 2002

 

 

ปล่อยของรอบน็อคเอ้าท์

 

Reprises de hoje: Brasil na Copa América-2004 e Federer x Djokovic entre os jogos da TV - Jornal O Globo

 

เกมพบ ‘จังโก้’ ถือว่าตึงมือไม่น้อยสำหรับ บราซิล ยังดีที่ อาเดรียโน่ เรียกจุดโทษให้ทีมได้ ก่อนที่ อเล็กซ์ กัปตันทีมจะซัดเข้าไป แต่ 25 นาทีสุดท้ายกลับเป็นเวลาปล่อยของสำหรับ อดีตดาวรุ่งจาก ปาร์ม่า เมื่อบรรจงกดด้วยซ้ายนอกกรอบ จนบอลพุ่งเลียดเสียบเสาแรกเข้าไปให้ทีมนำห่างเป็น 2-0

 

โชว์ของ อาเดรียโน่ ยังไม่หมดแค่นั้น เมื่อเขายิงลูกที่ 5 ของตัวเองในทัวร์นาเม้นต์นี้ ก่อนแอสซิสต์สุดท้ายด้วยการตอกส้นให้กับ ริคาร์โด้ โอลิเวร่า ยิงเข้าไปนิ่มๆ ให้ทีมเข้ารอบต่อไปด้วยสกอร์ 4-0

 

ทว่าในรอบตัดเชือก ‘เซเลเซา’ ต้องหวั่นใจไม่น้อย เมื่อมาเจอกับ อุรุกวัย ทีมที่คอยขัดแข้งขัดขาพวกเขาตลอดในรายการเมเจอร์ และเกือบโดนล่อเป้าตั้งแต่ต้นเกม ยังดีที่ ดาริโอ ซิลวา กองหน้าทีม จอมโหด ยิงหลุดกรอบออกไปอย่างเหลื่อเชื่อ

 

แต่ อุรุกวัย ก็ขึ้นไปก่อนจนได้จากลูกฟรีคิกของ มาร์เซโล่ โซซ่า ในนาทีที่ 22 ขณะที่ บราซิล ยิงเข้ากรอบเพียง 3 ครั้งเท่านั้นในครึ่งแรก และนี่ไม่ใช่ บราซิล ที่แฟนเห็นในเกมถล่ม เม็กซิโก แม้แต่น้อยเลย

 

อย่างไรก็ดี อาเดรียโน่ ที่กลายเป็นกองหน้าความหวังของทีมไปเรียบร้อยก็กดประตูตีเสมอได้สำเร็จ จากการเก็บตกลูกยิงติดเซฟของ หลุยส์ ฟาเบียโน่ จากนั้นทีมชุดเหลืองก็กลับมาดาหน้าบุกแหลกอีกครั้ง หวังทำประตูชัย แต่สุดท้ายก็ยังหาผู้ชนะไม่ได้ จนต้องไปตัดสินกันช่วงดวลจุดโทษชี้ขาด

 

ลุยเซา, ฟาเบียโน่, อาเดรียโน่ และ เรนาโต้ นักเตะ 4 คนของ เซเลเซา ยิงเข้าไปทั้งหมด ขณะที่ ฮูลิโอ เซซาร์ เซฟลูกยิงของ บิเซนเต้ ซานเชซ ได้ ก่อน อเล็กซ์ จะปิดกล่องส่งบราซิลทะยานไปลุ้นแชมป์ในนัดชิงสำเร็จ

 

 

ฮีโร่ของ เซเลเซา

 

Virou passeio! As vezes que o Brasil eliminou a Argentina desde 1993 | LANCE!

 

และแล้วก็เดินทางมาถึงนัดชิงชนะเลิศที่แฟนบอลใฝ่ฝัน เมื่อ บราซิล พบกับตัวเต็งอีกทีมอย่าง อาร์เจนติน่า ภายใต้การคุมทีมของ มาร์เซโล่ บิเอลซ่า ที่ผสมผสานแข้งตัวเก๋าและดาวรุ่ง ไม่ว่าจะเป็น โรแบร์โต้ อยาล่า กับ ฮาเวียร์ ซาเน็ตติ หรือ ฮาเวียร์ มาสเคราโน่ กับ คาร์ลอส เตเบซ 

 

แถมผลงานของทีม ‘ฟ้าขาว’ ก็ไม่ธรรมดาในรอบที่ผ่านๆ มา หลังยิงไป 14 เม็ด จาก 5 เกมที่ลงเล่นในนทัวร์นาเม้นต์

 

อาร์เจนติน่า ออกนำไปจากจุดโทษของ คิลลี่ กอนซาเลซ ในครึ่งแรก แต่ก่อนหมด 45 นาที ลุยเซา ที่ทำให้ บราซิล เสียจุดโทษ ก็มาแก้ตัวตีเสมอได้สำเร็จจากลูกเปิดฟรีคิกของ อเล็กซ์

 

สกอร์ยังไม่เดินหน้าในช่วงครึ่งหลังส่วนใหญ่ จนกระทั่งนาทีที่ 87 เซซาร์ เดลกาโด้  เก็บตกบอลที่เด้งมาเข้าทาง แล้ววอลเลย์ด้วยขวา ผ่าน เซซาร์ เข้าไปให้ ฟ้าขาว ออกนำ จนทำให้ ผู้บรรยายของ TyC Sports ช่องกีฬาในอาร์เจนติน่า มั่นใจไม่น้อยว่านี่เป็นประตูชัยคว้าแชมป์สำหรับชาติของพวกเขาแล้ว

 

แต่ อย่าลืมว่า บราซิล มียอดแข้งเบอร์ 7 อยู่ในทีม และเขาก็ใช้เวลาช่วงสุดท้ายของการแข่งขัน เกี่ยวบอลมาเข้า และซัดด้วยซ้ายเต็มเหนี่ยวเป็นประตูตีเสมอ 2-2 หมดสิทธิ์ที่ โรแบร์โต้ อับบอนดานซีรี่ จะป้องกันได้

 

นั่นทำให้ผู้บรรยายเกมชาวอาร์เจนไตน์ที่มั่นใจว่าทีมบ้านเกิดกำลังเข้าใกล้แชมป์ทวีป พ้นคำออกมาเป็นภาษาสแปนิชว่า “Adriano, te quiero matar” หรือแปลเป็นไทยสั้น ๆ ว่า “อาเดรียโน่ ฉันอยากจะฆ่านายจริง ๆ ”

 

 

แชมป์แรกในทีมชาติ

 

2004 Copa America winners - Brazil. | America, Winner, Running

 

การดวลจุดโทษชี้ขาดเกิดขึ้นอีกครั้ง และ อาร์เจนติน่า พลาดไปก่อน 2 ลูกแรกจาก อันเดรส ดิ อเลสซานโดร กับ กาเบรียล ไฮน์เซ่ ขณะที่ บราซิล ยิงเข้าทั้งหมด 4 ลูก ทั้ง อาเดรียโน่, เอดู กาสปาร์, ดิเอโก้ ริบาส และ ฮวน ส่งให้ ‘เซเลเซา’ เอาชนะคู่อริร่วมทวีปคว้าแชมป์โคปา อเมริกา สมัยที่ 7 ไปครอง

 

อาเดรียโน่ กลายร่างเป็นฮีโร่ของชาวบราซิลเลี่ยนทั่วประเทศ พร้อมคว้าตำแหน่งดาวซัลโวทัวร์นาเม้นต์ด้วยจำนวน 7 ประตู พ่วงติดทีมยอดเยี่ยมในรายการด้วย

 

อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเวทีที่ อาเดรียโน่ แจ้งเกิดในระดับชาติก็จริง แต่อีก 9 วันต่อมาหลังคว้าแชมป์ทวีป พ่อของเขาก็ด่วนลาโลกนี้ไปจากโรคหัวใจ ส่งผลให้ กองหน้าที่เป็นความหวังของ บราซิล จมอยู่ในความเศร้าเรื่อยมา และกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาตกต่ำในอาชีพค้าแข้ง

 

2 ปีต่อมากับฟุตบอลโลกปี 2006 เขาได้รับการคาดหวังให้ทำผลงานเหมือนที่เคยทำในปี 2004 ร่วมกับ โรนัลโด้, โรนัลดินโญ่ หรือ กาก้า ในแดนหน้า แต่หลังจากที่ พ่อของ อาเดรียโน่ เสียไป ฟุตบอลก็กลายเป็นภาระที่หนักเกินไปสำหรับเจ้าของฉายา ‘จักรพรรดิ‘ เสียแล้ว

 

น่าเสียดายไม่น้อยที่ อาเดรียโน่ ไปไม่ถึงฝั่งฝันที่ควรจะเป็นในอาชีพค้าแข้ง แต่อย่างน้อยแฟนบอลทั่วโลกก็จะจดจำฝีเท้าของเขาตลอดไปในฐานะดาวเด่นที่ไม่มีใครเทียบได้ของศึกโคปา อเมริกา 2004