ถึงคราวผลัดเปลี่ยน : วิเคราะห์จุดสิ้นสุดยุคทอง บาร์ซ่า-มาดริด ในแชมเปี้ยนส์ลีก

 

เรอัล มาดริด และ บาร์เซโลน่า กลายสโมสรที่แทบไร้เทียมทานที่สุด ช่วงระหว่างปี 2009-2018 แต่ตอนนี้คงต้องบอกว่าพวกเขาโดนคู่แข่งระดับท็อปในยุโรปทิ้งห่างไปไกลพอสมควรแล้ว

 

ยุคสมัยแต่ละช่วงสามารถจบลงด้วยความรุ่งเรืองแบบขีดสุด หรือ น่าผิดหวังก็ได้ทั้งนั้น แต่สำหรับวงการฟุตบอลแดนกระทิงแล้ว ต้องบอกว่าเป็นไปทั้ง 2 อย่าง โดยครั้งสุดท้ายที่ทีมจาก ลาลีก้า คว้าถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีก คือ ปี 2018 ที่เอาชนะ ลิเวอร์พูล 3-1 และหลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่เข้าไปเล่นเกมรอบชิงดำอีกเลย

 

เช่นเดียวกับ บาร์เซโลน่า ที่ผลัดกันครองความยิ่งใหญ่ทั้งในประเทศ และทวีป โดยคว้าแชมป์ยุโรป ครั้งสุดท้ายในปี 2015 ณ ปัจจุบัน ก็มีสภาพไม่ต่างจากทีมคู่อริตลอดกาล ทั้งฟอร์มการเล่นโดยรวมหรือนักเตะภายในทีม

 

UFA ARENA จึงพาไปวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่ทำให้ยุคทองของทั้ง 2 ทีม รวมถึงวงการลูกหนังแดนกระทิงถึงจุดสิ้นสุดลง หลังครองคว้ายิ่งใหญ่ในยุโรปรวมทศวรรษ

 

 

หลังช่วงยิ่งใหญ่

 

Real Madrid vs. Barcelona: Too Big to Fall - The New York Times

 

ระหว่างทั้ง 2 ทีม ราชันชุดขาว และ เจ้าบุญทุ่ม คว้าแชมป์รวมกันถึง 7 จาก 10 ครั้งในแชมเปี้ยนส์ลีก ตั้งแต่ปี 2009-2018 ซึ่งนี่เป็นช่วงเวลาที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ ลิโอเนล เมสซี่ กำลังแย่งชิงการเป็นแข้งเบอร์หนึ่งของโลก มากไปกว่านั้น การแข่งขันระหว่างทั้ง 2 ทีมกลายเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลมากสุด ทั้งในด้านการเงิน, ธุรกิจ และ ฟุตบอล

 

ตัดภาพกลับมาปัจจุบัน มาดริด กระเด็นร่วงรอบ 16 ทีมสุดท้าย 2 หน และปีล่าสุดในรอบตัดเชือก นับตั้งแต่ขาย CR7 ไป ซึ่งที่แย่สุดคือการโดน อาแจ็กซ์ ชุดพลังหนุ่มตบร่วงในปี 2019 ทั้ง ๆ ที่มีดีกรีเป็นแชมป์เก่า

 

ในขณะที่ทีมจาก กาตาลุนย่า ก็คล้าย ๆ กัน โดยเข้าถึงรอบตัดเชือกในปี 2019, รอบ 8 ทีมสุดท้ายปี 2020 และ ร่วงรอบ 16 ทีมสุดท้ายในปีนี้ แต่ที่แย่กว่านั้นคือการตกรอบด้วยความพ่ายแพ้นับเยิน ทั้ง ลิเวอร์พูล 4-0 เกมเลกสอง (สกอร์รวม 4-3), พ่าย บาเยิร์น มิวนิค 8-2 และ ปารีส แซงต์ แชร์กแมง ปีล่าสุด 4-1

 

เยอรมัน ได้เข้ามาแทนที่ เช่นเดียวกับ พรีเมียร์ลีก ที่มีทีมจากอังกฤษ เข้าชิงในบอลยุโรป 2 จาก 3 ฤดูกาลหลังสุด นั่นทำให้ 2 ทีมจากสเปนไม่ใช่สโมสรที่ยอดเยี่ยมที่สุดอีกต่อไป

 

 

แผนการซื้อขายที่ล้มเหลว

 

Real Madrid, Barcelona y Atlético, los mejores fichajes de España | Antena 2

 

แผนการหาตัวแทนผู้สืบทอดในอนาคต ทั้ง มาดริด และ บาร์ซ่า ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่าเช่นกัน ในเกมที่พ่ายเชลซี ช่วงกลางสัปดาห์ ในบรรดา 11 ผู้เล่นตัวจริงของ ‘โลส บลังโกส’ มีแค่ 3 คนเท่านั้นที่มีอายุน้อยกว่า 28 ปีในทีมของ ซีเนดีน ซีดาน และบางรายไม่ได้ลงเล่นเพราะฟอร์มดี แต่ผู้เล่นตัวหลักรายอื่น ๆ มีอาการบาดเจ็บเท่านั้น

 

แน่นอนว่า เรอัล มาดริด ยังเป็นทีมระดับท็อปในวงการ และไม่ควรประมาทเช่นกัน แต่การที่ตัวหลักแตะวัย 30 กันแล้ว ทั้ง ลูก้า โมดริช กับ เซร์คิโอ้ รามอส (35), คาริม เบนเซม่า (33) มาร์เซโล่ (32) และ โทนี่ โครส (31) โอกาสในการคว้าถ้วยแชมเปี้ยนส์ลีกอีกครั้งจึงมีน้อยมาก

 

แม้พวกเขามี เอเด็น อาซาร์ เข้ามา แต่ก็ไม่ได้ทำผลงานใกล้เคียงกับที่หลายคนคาดหวัง แถมยังสร้างความคุ่นเคืองใจให้กับ มาดริดนิสต้า หลังไปหัวเราะเฮฮากับเพื่อนเก่าที่ เชลซี ทั้ง ๆ ที่เพิ่งตกรอบแชมเปี้ยนส์ลีก ช่วงกลางสัปดาห์

 

ข้ามไปที่ฝั่ง คัมป์ นู พวกเขาได้เงินมากกว่า 198 ล้านปอนด์ จากการขาย เนย์มาร์ แต่เงินกว่า 350 ล้านปอนด์ ที่ใช้เพื่อคว้า ฟิลิปเป้ คูตินโญ่, อุสมาน เดมเบเล่  หรือแข้งเกรดบีส่วนใหญ่กลับล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ขณะที่ อองตวน กรีซมันน์ อาจไม่ล้มเหลวขั้นนั้น แต่ก็ไม่โชว์ฝีเท้าสมราคานัก ซึ่งตอนนี้สโมสรกำลังเข้าสู่การยกเครื่องทีมใหม่ภายใต้ โรนัลด์ คูมัน

 

อีกทั้งมีโอกาสเสีย เมสซี่ ไปแบบไม่ได้เงินซักบาทเดียว หากเจ้าตัวเลือกไม่ต่อสัญญาใหม่กับสโมสร โดยสัญญาฉบับเก่าจะหมดลงช่วงสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ 

 

 

ปัญหาการบริหารและจัดการ

 

El Clásico: Florentino y Laporta: Ganas de volver a verse

 

 2 ทีมจากลาลีก้า ยังสร้างเรื่องแย่ให้กับตัวเอง ฟลอเรนติโน่ เปเรซ ประธานสโมสร เรอัล มาดริด ประกาศโปรเจ็คใหม่ในชื่อ ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์ลีก ที่ลั่นไว้ว่าจะเป็นสิ่งที่ช่วยกอบกู้ฟุตบอลได้ ก่อนถูกเสียงต่อต้านจากแฟนบอลทั่วโลกจน 9 จาก 12 สโมสรที่เข้าร่วมก่อตั้ง ต้องถอนตัวไป

 

นอกจากนี้ 2 สโมสรจาก สเปน ใช้เงินได้เกินตัวอย่างมาก ตัวเลขงบประมาณที่ใช้ในฤดูกาลนี้อาจยังไม่เปิดเผย แต่ เรอัล มาดริด และ บาร์เซโลน่า มีมูลค่าการซื้อขายรวมกันประมาณ 4 พันล้านยูโรตั้งแต่รอบชิงชนะเลิศแชมเปี้ยนส์ลีกปี 2018 โดยนอกเหนือจากแชมป์ลาลีก้า หรือบอลถ้วยในประเทศแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้แชมป์ระดับทวีปเป็นชิ้นเป็นอันเลยซักครั้งเดียว

 

รายจ่ายนั้นแสดงให้เห็นถึงค่าจ้างจำนวนมหาศาล หากพวกเขาต้องทนทุกข์เพื่อมาแลกกับความสำเร็จ ทั้งการที่ บาร์ซ่า ต้องจ่ายเงินก้อนโต้ให้กับ ลิโอเนล เมสซี่ หรือ มาดริด ที่ต้องภาวนาให้ แกเร็ธ เบล ย้ายออกไปเพื่อลดค่าเหนื่อยมหาศาล และนี่สะท้อนถึงการจัดการที่ผิดพลาดของสโมสรที่จะส่งผลระยะยาวในอนาคต

 

แชมเปี้ยนส์ลีกนัดชิงชนะเลิศฤดูกาลนี้ระหว่าง เชลซี และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็น 2 ทีมที่มีจุดเริ่มต้นในการยอดทีมสโมสร คล้าย ๆ กัน ก็คือ ถูกระดับทีมภายใต้งบประมาณสุดมหาศาลจาก มหาเศรษฐีเจ้าของทีม

 

แต่น่าสังเกตว่าแชมป์ 2 สมัยสุดท้ายของยุโรป ได้แก่ บาเยิร์น มิวนิค และลิเวอร์พูล คือทีมที่ดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นการบริหารสโมสร ที่เหนือกว่า 2 มหาอำนาจจากแดนกระทิง อีกทั้งพวกเขายังได้รับการสนับสนุนจากความคิดที่สอดคล้องกันมากขึ้นระหว่างฟุตบอลกับธุรกิจ รวมถึงการสร้างแบรนด์ฟุตบอลในยุคใหม่

 

 

ต้องเริ่มกันใหม่

 

Real Madrid 2-1 FC Barcelona: Down but not without a fight at Valdebebas  (2-1)

 

จริง ๆ ทีมจากสเปนก็ไม่ได้ล้มเหลวในฟุตบอลยุโรปซะทีเดียว หากลองนับถ้วย ยูโรป้า ลีก แล้วก็คว้าแชมป์ได้ถึง 6 จาก 10 ฤดูกาลหลังสุดเลย อีกทั้งยังเป็นประเทศที่คว้าแชมป์รายการรวมกันมากสุดที่ 12 ครั้งด้วยกัน

 

แต่ถึงอย่างนั้น มันก็เป็นแค่ฟุตบอลยุโรปถ้วยเล็ก ที่อยู่คนละระดับกับ แชมเปี้ยนส์ลีก ทั้งในแง่ของชื่อเสียง, เกียรติยศ, ความนิยม หรือแม้กระทั่งเงินรางวัลของผู้ชนะที่ห่างกันจนน่าตกใจ

 

นับตั้งแต่นี้ไป คงไม่มีผู้เล่นแค่ 2 คนที่ผลัดกันครองความยิ่งใหญ่กว่าทศวรรษ เช่นที่เคยเกิดขึ้นมาในช่วง 10 กว่าปีหลังสุด และ เรอัล มาดริด ก็ยังเป็นทีมที่คว้าแชมป์ยุโรปไม่ได้ เมื่อไม่มี โรนัลโด้ หรือ  บาร์ซ่า ที่ต่อให้มี เมสซี่ แบกทีมไว้ก็ยังทำไม่ได้เหมือนกัน

 

หลายครั้งที่ 2 ทีมเหมือนมีแม่เหล็กในการดึงดูดผู้เล่นฝีเท้าเยี่ยมให้เข้ามาค้าแข้งกับพวกเขามากมาย แต่ในตอนนี้ แข้งหลาย ๆ คนอาจไม่ได้มอง มาดริด หรือ บาร์ซ่า เป็นตัวเลือกแรก ๆ ในการย้ายมาเล่นเช่นยุคก่อนแล้ว และคงมีเหตุผลไม่มากที่พวกเขาจะย้ายในที่ที่ไม่สามารถการันตีความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ให้กับพวกเขาได้ ไม่ว่าจะเป็นใน เบอร์นาเบว หรือ คัมป์ นู ก็ตาม

 

 คงต้องเวลาอีกพักใหญ่กว่า บาร์เซโลน่า และ เรอัล มาดริด จะกลับทวงบัลลังก์ในฟุตบอลรายการยุโรปอีกครั้ง ซึ่งต้องใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่ก็ไม่มีใครบอกได้

 

เพียงแต่ตอนนี้คงต้องบอกว่ายุคทองของพวกเขา และฟุตบอลสเปนในเวทียุโรป ได้เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุด และต้องกลับไปเริ่มตั้งต้นกันใหม่แล้ว