เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค สามารถเอาชนะทั้ง ลิโอเนล เมสซี่ และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ คว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของยูฟ่า ฤดูกาล 2018-19 ไปครองได้อย่างยิ่งใหญ่ จากผลงานอันโดดเด่นที่ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ก้าวขึ้นไปครองบัลลังก์ยุโรปได้สำเร็จ ซึ่งนี่ถือเป็นความสำเร็จอุ่นเครื่องชั้นดี ก่อนที่ในช่วงปลายปี จะเป็นคิวของรางวัลส่วนบุคคลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของวงการลูกหนังอย่าง “บัลลงดอร์”
ซึ่งจากกระแสต่างๆที่ออกมา แนวรับดัตช์แมนถือเป็นนักฟุตบอลที่ถูกยกให้มีโอกาสคว้าลูกบอลทองคำไปนอนกอดมากที่สุด และต่อไปนี้ คือ 5 เหตุผลที่ช่วยอธิบายว่าทำไม ฟาน ไดจ์ค ถึงเป็นตัวเต็งที่จะคว้าบัลลงดอร์ประจำปี 2019
พลิกโฉมทีมด้วยตัวคนเดียว
หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้ ฟาน ไดจ์ค ถูกยกย่องอย่างมากในเวลานี้ คือข้อเท็จจริงที่ว่าเจ้าตัวสามารถสร้างผลกระทบต่อทีมของตัวเองได้มากกว่าผู้ท้าชิงรายอื่นๆ จากเมื่อก่อนที่ ลิเวอร์พูล เคยเสียประตูเป็นว่าเล่น เขาเข้ามาจัดการอุดรอยรั่วได้อย่างสมบูรณ์ ทั้งยังต่อเติมกำแพงให้แข็งแกร่งขึ้นไปอีก โดยดีลที่สามารถสร้างอิมแพคได้อย่างรุนแรงและรวดเร็วเช่นนี้ถือว่ามีน้อยครั้งมาก ซึ่งนี่จะเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้กัปตันทีมชาติเนเธอร์แลนด์เป็นต่อในการแข่งขันครั้งนี้
แชมป์ยุโรป
บัลลงดอร์คือรางวัลที่มอบให้กับนักฟุตบอลที่เจ๋งที่สุดของยุโรปในทุกๆฤดูกาล และปัจจุบันต้นสังกัดของ ฟาน ไดจ์ค คือจ้าวยุโรป นั่นหมายความว่าเขามีภาษีที่ดีกว่าคู่แข่งรายอื่นๆ เอาล่ะ แม้มันจะไม่สามารถการันตีได้ แต่ในช่วง 5 ปีหลังสุดนั้น ผู้ชนะบัลลงดอร์ก็มาจากสโมสรที่เป็นแชมป์ยุโรปทั้งสิ้น และในปีที่ไม่ได้ขึ้นกับฟุตบอลโลกหรือฟุตบอลยูโรแบบนี้… ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ก็ควรจะเป็นถ้วยที่รับประกันได้ดีที่สุดจริงไหม ?
คิดคะแนนคล้ายรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของยูฟ่า
รางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของยูฟ่า มาจากการให้คะแนนของโค้ชและผู้สื่อข่าว ซึ่ง ฟาน ไดจ์ค กลายเป็นผู้ชนะแบบได้รับเสียงโหวตอย่างล้นหลาม โดยเขาได้แต้มมากกว่าผู้ที่เข้าป้ายเป็นอันดับ 2 อย่าง ลิโอเนล เมสซี่ ถึง 98 คะแนน และมากกว่าผู้ที่เข้ามาเป็นอันดับที่ 3 อย่าง คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ถึง 231 คะแนน ขณะที่รางวัลบัลลงดอร์ใช้คะแนนโหวตจากผู้สื่อข่าวเพียงอย่างเดียว แม้จะตัดในส่วนของโค้ชออกไป แต่ด้วยแนวทางการให้คะแนนที่คล้ายกัน จึงไม่น่าแปลกใจอะไรหากผลสรุปจะออกมาไม่ต่างไปจากนี้
กองหลังมีบทบาทในเกมรุกมากขึ้น
แน่นอนว่านักเตะแนวรุกจะได้รับการจับตามองเป็นพิเศษเสมอ อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้ผู้คนเริ่มรับรู้แล้วว่าสโมสรชั้นยอดจะสร้างขึ้นมาไม่ได้เลยหากปราศจากปราการหลังที่เก่งกาจ ยิ่งกับฟุตบอลสมัยใหม่ที่เซนเตอร์ฮาล์ฟต้องมีความรับผิดชอบมากกว่าเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างเกม เมื่อการขึ้นเกมจากแดนหลังกลายเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของโมเดิร์นฟุตบอล เหล่ากองหลังก็จะได้รับการจับจ้องมากขึ้น และคงไม่ต้องบอกใช่ไหมว่า ฟาน ไดจ์ค ชำนาญในเรื่องนี้ขนาดไหน
คะแนนโหวตมาจากผู้สื่อข่าว
ปราการหลังคนสุดท้ายที่คว้ารางวัลบัลลงดอร์มาครองได้สำเร็จคือ ฟาบิโอ คันนาวาโร่ เมื่อปี 2006 ซึ่งมาจากผลงานอันน่าอัศจรรย์กับทีมชาติอิตาลีในศึกฟุตบอลโลก หลังจากนั้นตลอด 13 ปีที่ผ่านมา ก็ไม่มีกองหลังคนใดที่เฉียดเข้าใกล้ลูกบอลทองคำได้อีกเลย จริงอยู่ที่ความเก่งกาจของสองสัตว์ประหลาดแห่งยุคอย่าง เมสซี่ กับ โรนัลโด้ คือสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ แต่ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะระหว่างปี 2010-2015 ที่บัลลงดอร์ควบรวมกับฟีฟ่า คะแนนโหวตนั้นมาจากโค้ชและกัปตันทีมชาติ จึงเป็นไปได้ที่การเลือกจะมาจากความชอบส่วนตัวด้วย
แต่หลังจากปี 2016 ที่บัลลงดอร์แยกตัวออกมาจัดเองอีกครั้ง การให้คะแนนก็กลับมาเป็นหน้าที่ของผู้สื่อข่าวเช่นเดิม นั่นหมายความว่าการตัดสินจะเป็นไปอย่างมีหลักการมากขึ้น บรรดาแนวรับก็จะถูกพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ประจวบเหมาะกับฟอร์มของ ฟาน ไดจ์ค ที่พุ่งพรวดขึ้นมาพอดี ดังนั้น นี่จึงควรค่าแก่เวลาแล้วที่นักเตะในตำแหน่งกองหลังจะก้าวขึ้นมาครองเบอร์ 1 ของโลกลูกหนังอีกครั้ง