ถึงเวลาโดนเชือด! 5 ตัวเต็งกุนซือปืนใหญ่หาก‘เอเมรี่’พ้นตำแหน่ง

 

ในช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมาอาร์เซน่อลมีการเสริมทัพผู้เล่นฝีเท้าดีๆเข้ามาสู่ทีมหลายคน เพื่อเป็นการต่อยอดและยกระดับมาตรฐานโครงสร้างให้กับทีมของอูไน เอเมรี่ให้แข็งแกร่งขึ้นกว่าเก่า ซึ่งแฟนบอลเดอะกันเนอร์ก็คาดหวังกับกุนซือชาวสเปนรายนี้ว่าคงจะเห็นสิ่งที่เปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น กว่าปีแรกที่เข้ามาคุม แต่สิ่งที่เห็นกับสิ่งที่เป็นมันคนละมิติกัน เพราะนับตั้งแต่ออกสตาร์ทในศึกพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้เป็นต้นมาจนถึงนัดล่าสุดที่ทำได้แค่ไล่ตามตีเสมอเซาแธมป์ตัน 2-2 จนโดนกองเชียร์ตัวเองรุมโห่ใส่แล้ว เอเมรี่พาทีมเก็บไปได้แค่ 18 แต้ม จาก 13 นัด ตามหลังกลุ่มท็อปโฟร์ถึง 8 คะแนน ซึ่งถือว่าน่าผิดหวังอย่างแรงสำหรับสาวกปืนใหญ่ทั้งหลาย แถมยังถูกกดดันอย่างหนักจนเก้าอี้ร้อนเต็มทีในขณะนี้ และไม่แน่ว่าเราอาจจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงกับอีกหนึ่งสโมสรในกรุงลอนดอนทางตอนเหนือในเร็ววันนี้ก็เป็นได้ โดยทีมงาน UFA Arena.com ก็ไม่รอช้ารีบสรรหาผู้สืบทอดมรดกดักรอไว้ก่อนแล้วว่ามีกุนซือรายไหนบ้างที่เข้าข่ายจะมาทำหน้าที่ต่อจากเอเมรี่หากโดนปลด

 

 

5.มาร์เซลิโน่ การ์เซีย โตรัล

 

 

มาร์เซลิโน่ และ อูไน เอเมรี่ ต่างมีเส้นทางสายลูกหนังที่คล้ายๆกัน พวกเขาเคยเป็นนักฟุตบอลอาชีพมาก่อน จากนั้นก็หันเหเข้าสู่แวดวงผู้จัดการทีม และยังเคยคุมทั้งเซบีย่ากับบาเลนเซียเหมือนๆกัน อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าเอเมรี่จะประสบความสำเร็จมากกว่า

 

ก่อนหน้าที่มาร์เซลิโน่จะเข้ามาคุมบาเลนเซีย พวกเขาจบที่อันดับ 12 ของตารางลีกลาลีกา อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่เขาได้นั่งเก้าอี้นายใหญ่ในวังค้างคาวเขาก็พาทีมจบอันดับ 4 ในลีกกระทิง 2 ปีติดต่อกันพร้อมกับพาทีมไปเล่นในถ้วยยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกรอบแบ่งกลุ่มได้สำเร็จ และเมื่อซีซั่นก่อนเขาก็ช่วยให้สโมสรคว้าแชมป์โคปาเดลเรย์ ก่อนที่จะถูกปลดออก

 

ข้อดีอย่างหนึ่งหากแต่งตั้ง มาร์เซลิโน่ เป็นผู้จัดการทีมนั่นก็คือแท็กติกการเล่นในระบบ 4-4-2 ที่จะทำให้ ปิแอร์ เอเมอริค โอบาเมยอง และ อาแล็กซ็องดร์ ลากาแซ็ตสามารถยืนเป็นคู่ศูนย์หน้าร่วมกันได้ โดยไม่ต้องมีคนใดคนหนึ่งถ่างออกไปริมเส้น ซึ่งถือว่าเป็นแผนที่ยืดหยุ่นมากในการโจมตีฝ่ายตรงข้าม เพราะจะใช้จังหวะรับและโต้กลับเร็ว นอกจากนี้ นิโคลัส เปเป้ จะคอยสร้างสรรค์เกมได้อย่างอิสระเหมือน กอนซาโล กูเอเดส ที่บาเลนเซีย

 

โค้ชวัย 54 ปี อาจจะไม่ใช่สไตล์ที่เน้นเกมรุก แต่พวกเขาจะได้ประโยชน์มากในเรื่องของเกมรับที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งจุดนี้เองเป็นสิ่งที่แฟนบอลอาร์เซน่อลอยากให้เป็น

 

 

4.มิเกล อาร์เตต้า 

 

 

มิเกล อาร์เตต้าเป็นหนึ่งในแคนดิเดตที่จะก้าวขึ้นมาคุมทีมแทนอาร์แซน เวนเกอร์ที่ลาออกไปเมื่อปี 2018 แต่เนื่องจากเขายังมีประสบการณ์ไม่เพียงพอ ทำให้ยังคงต้องรอโอกาสต่อไป อย่างไรก็ตาม เดอะกันเนอร์ อาจจะยินดียอมเสี่ยงให้เขาเข้ามารับงานตรงนี้ก็เป็นได้ เมื่อเขาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามีกึ๋นแค่ไหนกับการเป็นผู้ช่วยให้กับเป็ป กวาดิโอล่าที่แมนฯซิตี้

 

อาร์เตต้าค้าแข้งอยู่กับอาร์เซน่อลเป็นเวลา 5 ฤดูกาลก่อนที่จะแขวนสตั๊ดในปี 2016 ดังนั้นเขาจึงรับรู้ได้ว่าสโมสรและแฟนบอลต้องการอะไร นอกจากนี้เขายังมีภาพลักษณ์ที่ดีต่อแฟนบอลปืนใหญ่ ซึ่งตรงจุดนี้เองอาจจะเป็นข้อได้เปรียบของเขาเมื่อเปรียบเทียบกับผู้จัดการทีมคนอื่นๆ แม้ว่าปรัชญาการทำทีมของเขาจะยังไม่ตอบโจทย์ก็ตามที

 

หลังจากจบอาชีพการเป็นนักฟุตบอลอดีตกองกลางชาวสเปนก็ไปรับงานเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมให้กับ เป็ป กวาดิโอล่า ที่แมนฯซิตี้ และได้เรียนรู้การทำงานจากยอดโค้ชระดับโลกรายนี้ ซึ่งต่อมา อาร์เตต้า ก็กลายมาเป็นคู่หูคนโปรดของกุนซือเลือดกระทิงทันทีจนถูกยกย่องและยอมรับอย่างกว้างขวางกับบทบาทตรงนี้ ซึ่งนั่นคือเหตุผลที่เป็ปเลือกเขาเข้ามาเป็นมือขวาแทนที่ โดมินิค โทเรน ผู้ช่วยคนเก่าที่ตัดสินใจอำลาไปอยู่กับนิวยอร์กซิตี้เอฟซีเมื่อปี 2018

 

อดีตกองกลางอาร์เซน่อลถูกนำไปเปรียบเทียบกับเป็ปสำหรับความสามารถในการฝึกสอนให้กับผู้เล่นชุดเยาวชน ซึ่งมันจะเป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อยหากเห็นเขาก้าวขึ้นมารับบทบาทผู้จัดการทีมแบบเต็มตัว

 

 

3.เจสซี มาร์ช

 

 

เจสซี มาร์ช ปัจจุบันเป็นผู้จัดการทีมของ เร้ดบูลล์ ซัลซ์บวร์ก และทำงานอีกสองสโมสรภายใต้เจ้าของอย่าง เร้ดบูลล์ ก่อนที่จะเข้ารับงานเป็นกุนซือแบบเต็มตัวให้กับสโมสรจากลีกออสเตรียเมื่อหน้าร้อนที่ผ่านมา

 

ในอดีตนั้นโค้ชชาวสหรัฐอเมริการายนี้เริ่มต้นอาชีพการทำงานด้วยการเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมของทีมฟุตบอลชายในบ้านเกิด ก่อนที่จะไปอยู่กับมอนทรีออล อิมแพ็ค สโมสรในเมเจอร์ลีก ซอคเกอร์ และในปี 2015 เขาได้รับการแต่งตั้งให้นั่งแท่นเป็นผู้จัดการทีม นิวยอร์ก เร้ดบูลล์ส และกลายเป็นโค้ชที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของสโมสร โดยฤดูกาลแรกเขาก็ได้รับโล่รางวัล MLS Supporter ’Shield จากการที่พาทีมชนะ 18 นัดในลีกเพียงแค่ฤดูกาลเดียวจนคว้ารางวัลโค้ชยอดเยี่ยมแห่งปีมาครอง จากนั้นเขาก็ออกจากสโมสรในปี 2018 พร้อมกับสถิติส่วนตัวที่จะหาใครเทียบได้ เมื่อกลายเป็นกุนซือคนแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรที่พาทีมเก็บชัยชนะได้มากที่สุด

 

มาร์ช ใช้เวลาในฤดูกาล 2018/19 ด้วยการทำหน้าที่ผู้ช่วยผู้จัดการทีมของรัล์ฟ รังนิคที่ แอร์เบ ไลป์ซิก ก่อนที่จะย้ายไปเป็นกุนซือสโมสรลูกในออสเตรีย ด้านซัลซ์บวร์กของเขานั้นผ่านไป 15 นัดในลีกยังคงไร้พ่ายโดยชนะ 12 และยิงได้ถึง 58 ลูก

 

ฤดูกาลนี้สโมสรจากออสเตรียได้ผ่านเข้าเล่นในถ้วยยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีกรอบคัดเลือก หลังไม่เคยผ่านเข้ามาถึงรอบนี้เป็นเวลา 11 ปี ลูกทีมของ มาร์ช ถูกจับเข้ามาอยู่ในกลุ่มที่แข็งโป๊กเคียงข้างลิเวอร์พูลและนาโปลี แต่พวกเขาก็ยังยิงได้ถึง 12 ประตู จาก 4 เกม รวมทั้ง 3 ประตูกับแชมป์เก่าที่แอนฟิลด์

 

 

2. คริส ไวล์เดอร์

 

 

ณ ปัจจุบันยังไม่มีผู้จัดการทีมสัญชาติอังกฤษรายไหนที่มีฝีไม้ลายมือเข้าขั้นเวิลด์คลาสมากนัก แต่คริส ไวล์เดอร์ มีศักยภาพเพียงพอต่อการไปถึงระดับโลกได้และคงเป็นเกียรติมากหากเขาได้รับงานคุมสโมสรตัวท็อปของยุโรป

 

เมื่อตอนที่ไวล์เดอร์ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกุนซือสโมสรในวัยเด็กของเขาอย่างเชฟฟิลด์ยูไนเต็ดในปี 2016 พวกเขายังโลดแล่นอยู่ในลีกวันและในฤดูกาลแรกที่ประเดิมฝีมือเขาก็พาทีมเป็นแชมป์ทันทีด้วยการเก็บได้ถึง 100 คะแนนพร้อมกับไต่ขึ้นสู่เดอะแชมเปี้ยนชิพ แต่ในซีซั่นที่ 2 กับดาบคู่เขาพาทีมจบแค่อันดับที่ 10 ของตาราง ก่อนจะได้เลื่อนชั้นกลับมาอยู่ในศึกพรีเมียร์ลีกเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2018/19 ผลงานที่โดดเด่นของเจ้าตัวทำให้เขาได้รับเลือกให้เป็นผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมประจำปี 2019 ก่อนหน้ากุนซืออย่างเป็ป กวาดิโอล่า

 

ไวล์เดอร์ พาเชฟฟิลด์ยูไนเต็ดเริ่มต้นฤดูกาลได้อย่างยอดเยี่ยมถึงขนาดโค่นอาร์เซน่ลมาแล้ว และสถานะปัจจุบันของพวกเขาในขณะนี้กระโดดขึ้นไปอยู่ถึงอันดับที่ 6 ของตางพรีเมียร์ลีก แถมยังมีเกมรับที่เหนียวแน่นพอๆกับลิเวอร์พูลและเลสเตอร์ ซิตี้อีกด้วย

 

ด้วยวัย 52 ปี กับแท็กติกที่ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือนนั่นก็คือ การเล่นบอลจากแดนหลังไปสู่เกมรุกที่มีประสิทธิภาพ จนได้รับการยอมรับว่าเป็นสูตรที่ลงตัวมากๆสำหรับการบู๊ในลีกที่ขึ้นชื่อว่ายากที่สุดของโลก บางที่กลยุทธ์ที่ว่าอาจจะเหมาะกับอาร์เซน่อลก็เป็นได้ เพราะ ดาวิด หลุยส์ สามารถเล่นกับลูกฟุตบอลได้เป็นอย่างดี

 

 

1.มัสซีมีเลียโน อัลเลกรี

 

 

ในขณะนี้มีผู้จัดการทีมฝีมือดีว่างงานอยู่หลายคนรวมไปถึง อาร์แซน เวนเกอร์ ส่วนโชเซ่ มูรินโญ่นั้นเพิ่งได้งานใหม่ไปหมาดๆกับการเป็นกุนซือให้อริร่วมเมืองอย่างท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ เมื่อสัปดาห์ก่อน แต่การกลับมาของเวนเกอร์ คงไม่ใช่คำตอบอย่างแน่นอน

 

ดังนั้นในบรรดาผู้จัดการทีมที่ยังคงไม่ได้รับงานที่ไหนและเป็นชื่อที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดคงจะหนีไม่พ้น มัสซีมีเลียโน อัลเลกรี ที่ว่างงานนับตั้งแต่ถูกยูเวนตุสขับออกเมื่อช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา และไม่นานมานี้ อัลเลกรี ก็ตกเป็นข่าวพัวพันกับทั้งเรอัล มาดริดและเอซี มิลาน แต่อาร์เซน่อลน่าจะมีภาษีดีกว่าตรงที่มีสถานภาพทางการเงินที่แข็งแรงในการสู้ศึกพรีเมียร์ลีก

 

โค้ชชาวอิตาลีกวาดรางวัลร่วมกับยูเวนตุสและเอซี มิลานรวมกันถึง 13 ครั้ง และน่าจะเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่เหมาะสมในการพาอาร์เซน่อลสู่เป้าหมายได้ ในตอนที่ยังคุมไอ้ม้าลายอยู่นั้นเขามีค่าเฉลี่ยในการชนะต่อเกมถึง 70.48 เปอร์เซนต์เลยทีเดียว ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์มากๆ!