ถ้วยเล็กตบถ้วยใหญ่ : 8 เกมสุดพลิกล็อกในศึกยูฟ่า ซุปเปอร์ คัพ

 

ในที่สุด เกมบิ๊กแม็ตช์ที่แฟนบอลรอคอยก็มาถึง เมื่อแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก อย่างลิเวอร์พูล จะพบกับ เชลซี แชมป์ยูโรป้า ลีกจากฤดูกาลที่แล้ว ในศึกยูฟ่า ซุปเปอร์ คัพ ปี 2019 ณ สนามโวด้าโฟน กรุงอิสตันบลู ประเทศตุรกี โดยจะเริ่มแข่งขันกัน 02:00 น. ตามเวลาประเทศไทย

 

ตลอดหลายปีทีผ่านมา แฟนบอลมักจะมองว่าทีมที่คว้าถ้วยหูยานเป็นทีมที่มีขุมกำลังแข็งแกร่งกว่า ทีมที่คว้าแชมป์ยุโรปถ้วยรองอยู่หลายขุม และน่าจะเป็นฝ่ายที่มีโอกาสเอาชนะได้มากกว่า 

 

ซึ่งจริงๆ ทั้งลิเวอร์พูล และ เชลซี เป็นทีมที่มีชื่อชั้นไม่ต่างกันมาก แต่ด้วยผลงานในเกมลีกนัดเปิดสนามที่แตกต่างกันชัดเจน ช่วยไม่ได้ที่หลายๆคนจะมองว่าทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์ เป็นต่อกว่าทีมของแฟร้งค์ แลมพาร์ด พอตัว

 

อย่างไรก็ตาม นั่นก็ไม่ได้หมายความทีมรองจะไม่สามารถเอาชนะได้เลย เพราะในหลายๆครั้ง ทีมเหล่านั้นก็เป็นคว้าแชมป์ไปครองในท้ายที่สุด ทั้งๆที่ถูกมองว่าน่าจะสู้ไม่ได้เลย

 

และนี่คือ  8 เกมสุดพลิกล็อกในศึกยูฟ่า ซุปเปอร์ คัพ นับตั้งแต่มีการแข่งขันรายการนี้ตั้งแต่ปี 1973

 

 

อันเดอร์เลทช์ 4-3 ลิเวอร์พูล 1978

 

 

ในยุคที่ซุปเปอร์ คัพ ยังเป็นการแข่งขันแบบเหย้าเยือนอยู่ อันเดอร์เลทช์คือหนึ่งในทีมม้ามืดที่แฟนบอลทั่วยุโรปจับตามอง หลังคว้าแชมป์วินเนอร์ส คัพ ได้ในปี 1976 แถมยังเอาชนะ บาเยิร์น มิวนิค ยอดทีมจากเยอรมันได้ด้วยสกอร์รวม 5-3 ใน ซุปเปอร์ คัพปีเดียวกัน

 

 แต่การเจอกับ ลิเวอร์พูล สโมสรเบอร์หนึ่งในซุปเปอร์ คัพปี 1978 ใครก็มองว่าเป็นงานยากเกินตัวสำหรับอันเดอร์เลทช์จริงๆ เพราะหงส์แดงมีนักเตะดังแห่งยุคอย่าง เคนนี่ ดัลกริช, อลัน เฮนเซ่น, แกรมส์ ซูเนส หรือ ยอดกุนซืออย่าง บ็อบ เพรสลี่ย์ คุมทีมอยู่ แถมยังคว้าแชมป์รายการนี้มาแล้วในปีก่อน ด้วยการถลุงฮัมบูร์กยับ 7-1

 

อย่างไรก็ตาม ทีมสีแดงจากเมอร์ซีย์ไซด์ต้องเละไม่เป็นท่าเมื่อโดนทีมจากเบลเยี่ยมเปิดบ้านถล่มไป 3-1 ในนัดแรก แม้ในเกมถัดมาพวกเขาจะเอาชนะในเแอนฟิลด์ได้ 2-1 แต่ก็ยังไม่เพียงพออยู่ดี ทำให้พวกเขาไม่สามารถป้องกันแชมป์รายการนี้ได้ตามที่หวังไว้ 

 

 

อเบอร์ดีน 2-0 ฮัมบูร์ก 1983

 

 

ฮัมบูร์กถือเป็นทีมที่อาภัพที่สุดในรายการซุปเปอร์ คัพ เนื่องจากพวกเขาเคยเข้าชิงรายการนี้ถึง 2 ครั้ง แต่ก็ไม่เคยได้ชูถ้วยเลยแม้แต่ครั้งเดียว โดยครั้งแรกก็พ่ายให้กับลิเวอร์พูลไปหมดสภาพ 7-1 เมื่อปี 1977 แต่ครั้งที่ 2 กลับทำให้ทีมสิงห์เหนือดูแย่กว่าเดิม หลังแพ้ให้กับทีมม้ามืดในสก็อตแลนด์อย่าง อเบอร์ดีน

 

ทีมจากเยอรมันมีผู้เล่นโด่งดังมากมาย ทั้ง เฟลิกซื มากัธ, อูลี่ สไตน์, จิมมี่ ฮาร์ทวิ๊ก เมื่อเทียบกับทีมแดนวิสกี้ที่มี จิม เลห์ตัน,อเล็กซ์ แม็คคลิช, กอร์ดอน สตรัคคั่น ก็ดูแตกต่างกันหลายขุมแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น เกมนัดแรกในบ้าน ฮัมบูร์กก็ยังทำอะไรอเบอร์ดีนไม่ได้อยู่ดี

 

แต่ในนัดที่ 2 ทีมของอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กลับทำเรื่องให้แฟนบอลยุโรปได้ตกตะลึงไปตามๆกัน เมื่อเขาพาอเบอร์ดันอัดทีมดังจากเมืองเบียร์ 2-0 ช่วยให้สโมสรคว้าแชมป์ยุโรปถ้วยที่ 2 ให้สโมสรต่อจาก วินเนอร์ส คัพ และทำให้เฟอร์กี้กลายเป็นกุนซือหนุ่มไฟแรงที่น่าจับตามองเกินใคร ก่อนที่เขาจะย้ายไปคุมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในอีก 3 ปีต่อมา

 

  

ปาร์ม่า 2-1 เอซี มิลาน 1993

 

 

หลังปาร์ม่าคว้าแชมป์วินเนอร์ส คัพ ไปเหนือความคาดหมายในปี 1993 ทำให้พวกเขาต้องไปพบกับ เอซี มิลาน ยอดทีมร่วมลีกในศึก ซุปเปอร์ คัพ ในปีเดียวกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งผลการแข่งขันในนัดแรกก็เป็นอย่างที่หลายคิดไว้ เมื่อทีมของฟาบิโอ คาเปลโล่ บุกไปชนะได้ถึงถิ่น เอสตาดิโอ้ เอ็นนิโอ้ ทาร์ดินี่ 1-0 

 

แม้จะยิงได้แค่ลูกเดียว แต่ด้วยแนวรับสุดแกร่งที่ปีศาจแดงดำมี ทั้ง เปาโล มัลดินี่, อเลซซานโดร คอสตาคูต้า, ฟรังโก้ บาเรซี่ และ มาร์เซล เดอไซญี่ ก็จะเป็นเรื่องยากที่จัลโล่บลูจะบุกมาทำประตูในเกมนัดต่อไปได้ที่ ซาน ซีโร่

 

 แต่ทางปาร์ม่าก็มาได้ประตูตีเสมอเร็วตั้งนาที 23 ในเกมนัดที่ 2 จาก โรแบร์โต้ เซนซินี่ กองกลางชาวอาร์เจนไตน์ ก่อนที่เกมจบลงด้วยผลเสมอในเวลาปกติทำให้ผู้ตัดสินต้องทำการต่อเวลาเพื่อหาผู้ชนะในเกมนั้น

 

ท้ายที่เป็นทางฝั่งทีมรองที่ทำได้จากลูกยิงของ มัสซิโม่ คริปป้า กองหน้าตัวเก่งของทีมในนาทีที่ 95 ทำให้ปาร์ม่าคว้าแชมป์รายการนี้ได้เป็นสมัยแรกอย่างสวยงาม

 

 

เชลซี 1-0 เรอัล มาดริด 1998

 

 

ศึก ยูฟ่า ซุปเปอร์ คัพ 1998 เป็นปีแรกที่สหพันธ์ฟุตบอลยุโรปเปลี่ยนจากการเล่นเกมเหย้า-เยือน มาเป็น ชี้ขาดผลการแข่งขันในนัดเดียวแทน โดยมี สต๊าด หลุยส์ เดอซ์ รังเหย้าของโมนาโก เป็นสนามกลางจัดการแข่งขันและใช้มานานถึง 15 ปีหลังจากนั้น

 

ซึ่งคู่ชิงในวันนั้นเป็นการพบกันของ เรอัล มาดริด ตัวแทนของศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก กับ  แชมป์วินเนอร์ส คัพ อย่างเชลซี ที่ไม่ได้มีดาวดังล้นทีมเหมือนอย่างยุคโรมัน อับราโมวิชตอนนี้

 

รูปเกมของราชันชุดขาวเหนือกว่าพอสมควร แต่ก็เต็มไปด้วยความอึดอัด เนื่องจากไม่สามารถทำประตูขึ้นนำได้ซักที แต่มาดริดก็โดนทีเด็ดของสิงห์บลูในช่วงท้ายเกม จากประตูโทนของ กัส โปเยต์ ทำให้ทีมจากลอนดอนคว้าแชมป์รายการนี้ได้เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวจนถึงปัจจุบัน

    

 

ลาซิโอ 1-0 แมนฯยูไนเต็ด 1999

 

 

ปีศาจแดงคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ในฤดูกาล 1998-99 ได้อย่างยิ่งใหญ่ ทำให้พวกเขามีโอกาสคว้าแชมป์ในศึก ยูฟ่า ซุปเปอร์ คัพ อีกครั้ง หลังจากเคยทำได้มาก่อนในปี 1991 โดยมีลาซิโอเป็นอุปสรรคที่ขวางทางพวกเขาอยู่ในครั้งนี้

 

แม้ทีมของเฟอร์กี้จะแข็งแกร่งเพียงใด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะได้ชูโทรฟี่แบบง่ายๆ เมื่อทางฝั่งอินทรีฟ้าขาวก็เต็มไปด้วยแข้งดาวรุ่งฟอร์จัดทั้ง พาเวล เน็ดเวด, อเลสซานโดร เนสต้า, เดยัน สแตนโควิช หรือ ฮวน เซบาสเตียน เวรอน ที่กำลังจะก้าวขึ้นไปเป็นแข้งระดับโลกในอนาคต

 

และท้ายที่สุดเป็นทางด้านตัวแทนจากอิตาลีที่คว้าแชมป์ในปีนั้นครอง ด้วยประตูชัยจาก มาร์เซโล ซาลาส กองหน้าตัวสำรองชาวชีลีในนาทีที่ 35 

 

   

กาลาตาซาราย 2-1 เรอัล มาดริด 2000

 

 

กาลาตาซาราย คว้าแชมป์ยูฟ่า คัพ ได้เป็นสมัยแรกในปีสุดท้ายของศตวรรษที่ 20 หลังเอาชนะอาร์เซน่อลมาได้ด้วยการดวลจุดโทษ ส่งผลให้พวกเขาต้องมาพบกับ เรอัล มาดริด แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในซุปเปอร์ คัพ ปีเดียวกัน

 

ด้วยดีกรีของ โลส บลังโกส ที่เหนือกว่าในทุกๆด้านทั้งประวัติศาสตร์ของทีม, ประสบการณ์ หรือ  คุณภาพนักเตะ ดูๆไปก็แทบไม่มีโอกาสที่ทีมจากตุรกีจะคว้าแชมป์รายการนี้ไปครองเป็นสมัยแรกได้เลย

 

ทว่าทุกอย่างกลับผิดคาดไปหมด หลังทีมแดนไก่งวงเป็นฝ่ายที่ทำประตูขึ้นนำไปก่อนจาก มาริโอ้ ยาร์เดล ตั้งแต่นาทีที่ 41 ก่อนที่ราอูลจะยิงประตูตีเสมอให้มาดริดได้ แต่ทว่าในช่วงต่อเวลา กาลาฯก็ได้ประตูชัยจากกองหน้าชาวบราซิลคนเดิมในนาที 103 ทำให้ศึกซุปเปอร์ คัพครั้งนี้เป็นปีเดียวที่ชี้ขาดหาผู้ชนะด้วยกฏโกลเด้น โกลด์

 

 

เซบีย่า 3-0 บาร์เซโลน่า 2006

 

 

เซบีย่าถือเป็นอีกทีมที่มักจะผลงานได้ดีเสมอในฟุตบอลรายการยุโรปถ้วยเล็ก ทั้งในยุคก่อนที่ใช้ชื่อ ยูฟ่า คัพ หรือ ยูโรป้า ลีก ในปัจจุบัน แต่ในรายการซุปเปอร์ คัพ พวกเขาก็เคยโชว์ฟอร์มเด่นจนคว้าแชมป์มาครองได้ด้วย ทั้งๆในตอนนั้นเป็นปีแรกของพวกเขาในรายการนี้ แถมยังต้องเจอกับของแข็งอย่างบาร์เซโลน่าอีกต่างหาก

 

แม้ลิโอเนล เมสซี่ จะยังไม่แจ้งเกิดแบบเต็มที่ แต่ทีมอาซูลกราน่าก็มีดาวรุกระดับพระกาฬมากมาย นำมาโดย โรนัลดินโญ่, ซามูเอล เอโต้, ลูโดวิช ชูลี่ หรือ ไอเดอร์ กุ๊ดยอห์นเซ่น

 

อย่างไรก็ดี ในวันนั้นเซบีย่าที่เล่นได้ดีเกินคาดแบบไม่น่าเชื่อ จนทำให้เจ้าบุญทุ่มไม่สามารถต้านความแข็งแกร่งได้และโดนอัดไปแบบหมดสภาพแชมป์ยุโรป 3-0
   

 

เซนิตฯ 2-1 แมนฯยูไนเต็ด 2008

 

https://www.youtube.com/watch?v=dxZHZIgyrIY

 

แมนยูไนเต็ดกลับมาโชว์ฝีเท้าในรายการนี้อีกครั้ง หลังจากหายตาหายตาไปนานเกือบ 10 ปี โดยในครั้งนี้ ทีมของเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ต้องพบกับ เซนิต เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก แชมป์ยูฟ่า คัพ ที่เพิ่งมีโอกาสลงเล่นในซุปเปอร์ คัพ เป็นครั้งแรก 

 

ทีมปีศาจแดงในตอนนั้น แม้จะไม่มี คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ที่บาดเจ็บ  แต่ก็ดูเหนือกว่าแบบชัดเจน ทำให้เหล่า เร้ด อาร์มี่ ทั่วโลก เชื่อว่าทีมรักของพวกเขาจะกลับมาผงาดคว้าแชมป์ในซุปเปอร์ คัพ ได้เหมือนปี 1991 อีกครั้ง และไม่มีทางซ้ำรอยแบบที่พ่ายลาซิโอ เมื่อ 9 ปีก่อนอย่างแน่นอน 

 

แต่ไม่น่าเชื่อว่าการขาด CR7 จะส่งผลต่อทีมได้มากมาย เพราะในวันนั้น ลูกทีมของเฟอร์กี้ทำผลงานได้ต่ำกว่ามาตรฐานหลายๆคน บวกกับสโมสรดังจากรัสเซียก็เตรียมตัวมาได้อย่างดีเยี่ยม ก่อนจะยิงประตูขึ้นนำไปก่อนถึง 2 ลูก

 

 แม้ เมมานย่า วิดิช จะยิงประตูตีไข่แตกให้ทีมสีแดงจากแมนเชสเตอร์ได้ในนาทีที่ 73 แต่ก็ไม่ทันการซะแล้ว ทำให้ เซนิตเคว้าแชมป์ไปแบบหล่อๆด้วยสกอร์ 2-1