ถ้วยเล็กที่ไม่คุ้นหู : รวมทุกเรื่องที่ควรรู้ของศึก Papa John’s Trophy

 

บอลถ้วยระดับ 3 ของฟุตบอลอังกฤษที่ไม่คุ้นหูแฟนบอลบ้านเราอย่าง อีเอฟแอล โทรฟี่ หรือในชื่อปัจจุบัน ‘Papa John’s Trophy’ กำลังจะกลับมาเปิดฉากกันอีกครั้งในวันอังคารนี้

 

แน่นอนว่าหลายคนย่อมสงสัยหรือไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับข้อมูล รูปแบบของการแข่งขันรายการนี้เท่าไหร่นัก เมื่อเทียบกับ เอฟเอ คัพ หรือ ลีก คัพ (หรือ คาราบาว คัพ ตามชื่อสปอนเซอร์) 2 บอลถ้วยเก่าแก่ที่สุด ณ แดนผู้ดี

 

แต่ไม่ต้องกังวลไป เพราะ UFA ARENA จะขออาสาอธิบายการรูปแบบแข่งขันนี้ เงื่อนไขต่าง ๆ รวมถึงตารางการแข่งตั้งแต่รอบแบ่งกลุ่มจนถึงนัดชิงชนะเลิศผ่านบทความชิ้นนี้กัน

 

 

อะไรคือ Papa John’s Trophy?

 

 

ถ้วย อีเอฟแอล โทรฟี่ เป็นบอลถ้วยลำดับที่ 3 ของฟุตบอลอังกฤษ ที่เริ่มแข่งขันครั้งแรกในปี 1984 หรือ 36 ปีก่อน ซึ่งจะเป็นการชิงชัยของสโมสรจาก ลีกวัน และ ลีกทู รวมถึงทีมเยาวชนจากทั้ง พรีเมียร์ลีก และ แชมเปี้ยนส์ชิพ 2 ลีกสูงสุดในแดนผู้ดี

 

ในส่วนของชื่อการแข่งขันคล้ายคลึงกัน ลีกคัพ ที่มีการตั้งตามชื่อสปอนเซอร์ที่สนับสนุน เช่นในฤดูกาลก่อนที่ใช้ชื่อว่า ‘Leasing.com Trophy’ หลังเซ็นสัญญา 3 ปีกับบริษัทจัดเช่าซื้อรถยนต์ในเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว

 

อย่างไรก็ตามการแข่งขันได้รับการเปลี่ยนชื่อเป็น ‘Papa John’s Trophy’ ในเดือนตุลาคมหลังจาก อีเอฟแอล ทำข้อตกลง 3 ปีกับ บริษัทพิซซ่าจากสหรัฐอเมริกา

 

 

รูปแบบการแข่งขัน

 

 

การแข่งขันจะมีสโมสรจาก ลีกวัน และ ลีกทู เข้าร่วมถึง 48 ทีม เช่นเดียวกับ 16 ทีมเยาวชนจากทั้ง พรีเมียร์ลีก และ แชมเปี้ยนส์ชิพ ที่ถูกรับเชิญ โดยมีเงื่อนไขว่าต้องเป็นทีมเยาวชนที่จุดอยู่ในประเภท 1 เท่านั้น

 

และถึงแม้จะเป็นสโมสรจากพรีเมียร์ลีก แต่ก็ไม่ได้หมายความทุกทีมจะมีทีมเยาวชนประเภท 1 โดยในฤดูกาลนี้มี 4 ทีมลีกสูงสุดที่มีคุณสมบัติดังกล่าว แต่ไม่ได้เข้าร่วม นั่นก็คือ เบิร์นลี่ย์, คริสตัล พาเลซ ที่เพิ่งได้รับสถานะทีมเยาวชนประเภท 1 แบบเต็มตัวหนแรก ขณะที่ เอฟเวอร์ตัน กับ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ตัดสินใจไม่ร่วมแข่งในปีนี้ แม้จะเคยเข้าร่วมในปีก่อน

 

ขณะที่ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ก็มีทีมเยาวชนที่ไม่ตรงตามเงื่อนไข ทำให้ นอริช ทีมจากแชมเปี้ยนส์ชิพ ขอเข้าร่วมในฤดูกาลนี้

 

โดยการแข่งขันจะเป็นรูปแบบน็อคเอ้าท์ช่วงกลางสัปดาห์ ที่มีรอบแบ่งกลุ่มซึ่งประกอบด้วย 16 กลุ่มภูมิภาคจาก 4 ทีมซึ่งจัดขึ้นระหว่างเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน

 

ทุกกลุ่มจะประกอบไปสโมสรที่ถูกเชิญจาก 2 ลีกบน 1 ทีม และที่เหลือ 3 ทีมจากลีกวัน และ ลีกทู ซึ่งจะแข่งขันภายในภูมิภาคของตนเองเพื่อไปเล่นในรอบน็อคเอ้าท์ต่อไป

 

ทุกทีมในรอบแบ่งกลุ่มจะเจอคู่แข่งครั้งเดียวในรอบแบ่งกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นเกมเหย้าหรือเยือน แม้ว่าทีมเยาวชนจะต้องเล่นเป็นเกมเยือนทั้งหมดก็ตาม และถ้ายังตัดสินหาผู้ชนะใน 90 นาทีไม่ได้ ก็ยิงจุดโทษตัดสินกัน โดยทีมที่ชนะจะได้แต้มพิเศษเพิ่มเติม (ทีมชนะได้ 2, ทีมแพ้ได้ 1)

 

2 อันดับแรกจากรอบแบ่งกลุ่ม จะผ่านเข้าไปเล่นในรอบน็อคเอ้าท์ ซึ่งเริ่มแข่งขันในเดือนธันวาคมและจะถูกจับฉลากพบกันตามภูมิภาคของแต่ละทีม

 

 

เงื่อนไขของผู้เล่น

 

 

สโมสรจากอีเอฟแอล ต้องมีคุณสมบัติอย่างน้อย 4 อย่างสำหรับผู้เล่นตำแหน่งเอ้าท์ฟิลด์ที่จะลงสนามในรายการนี้ ซึ่งมีคุณสมบัติดังนี้

 

-ผู้เล่นที่เคยลงเล่นกับทีมชุดใหญ่ทั้งก่อนหน้านี้หรือปัจจุบัน

-ผู้เล่นที่อยู่ใน 10 อันดับแรกของสโมสรที่เป็นตัวจริงมากที่สุดในการแข่งขันลีกและบอลถ้วยในประเทศในฤดูกาลนั้น

-ผู้เล่นที่ลงเล่นให้ทีมชุดใหญ่ในอาชีพค้าแข้งมากกว่า 40 นัดขึ้นไป

-ผู้เล่นที่ถูกยืมตัวจากสโมสรใน พรีเมียร์ลีก หรือ อีเอฟแอล ที่มีทีมเยาวชนประเภทที่ 1 

-สโมสรสามารถเล่นผู้รักษาประตูคนไหนของทีมก็ได้ในการแข่งขัน

 

 

วันเวลาการแข่งขัน

 

 

การแข่งขันจะเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 10-11 พฤศจิกายนนี้ ซึ่งจะเป็นรอบแบ่งกลุ่ม และเล่นรอบ 32 ทีมสุดท้ายในวันที่ 8-9 ธันวาคม

 

จากนั้น รอบ 16 ทีมสุดท้าย วันที่ 12-13 มกราคม, รอบ 8 ทีมสุดท้าย 2-3 กุมภาพันธ์, รอบรองชนะเลิศ 16-17 กุมภาพันธ์ และ รอบชิงชนะเลิศ 14 มีนาคม

 

สำหรับนัดชิงดำ ก็จัดขึ้น ณ สนาม เวมบลี่ย์ เหมือนกับบอลถ้วย 2 รายการใหญ่ในประเทศอย่าง เอฟเอ คัพ และ ลีก คัพ ตามปกติ

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อฤดูกาลที่แล้วในนัดชิงชนะเลิศ คู่ระหว่าง พอร์ทสมัธ แชมป์เก่า และ ซัลฟอร์ด ซิตี้ ที่จะพบกันในวันที่ 5 เมษายน ยังไม่ได้แข่งขัน เนื่องจากถูกเลื่อนออกไปจากการแพร่ระบาดของ โควิด-19 ช่วงเดือนมีนาคม และยังไม่มีการกำหนดวันแข่งขันใหม่ในตอนนี้