ทองเริ่มลอก : ทำไม ‘มู’ ถึงกลายเป็นกุนซือตกยุค?

 

ชายที่ชื่อ ‘โชเซ่ มูรินโญ่’  ประสบความตกต่ำในการคุมทีมอย่างมาก นับตั้งแต่คุม เชลซี ที่ถูกเด้งในปีสุดท้ายที่พาทีมหล่นไปอยู่อันดับที่ 16 , แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มีปัญหากับนักเตะ บอร์ดสโมสรจนถูกปลดในเวลาต่อมา และ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ที่กำลังย่ำแย่สุดในตอนนี้

 

กุนซือชาวโปรตุกีส พาไก่เดือยทองตกรอบบอลถ้วยถึง 2 รายการ ภายในเวลาแค่ 1 สัปดาห์เท่านั้น ซึ่งก็คือนัดดวลจุดโทษพ่าย นอริช ซิตี้ ในเอฟเอ คัพ อาทิตย์ที่แล้ว ก่อนจะ แอร์เบ ไลป์ซิก จัดหนักเอาชนะไปด้วยสกอร์รวม 4-0 ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย

 

ขณะที่ผลงานในลีกก็สุ่มเสี่ยงชวดลุยบอลยุโรปถ้วยใหญ่ในปีหน้า เมื่อตามหลัง เชลซี ทีมอันดับ 4 ถึง 7 แต้ม จากลงเล่นทั้งหมด 29 นัด

 

มากไปกว่านั้น ไม่เคยมีช่วงไหนในการทำหน้าที่ผู้จัดการทีมที่เขาต้องสะกดคำว่า ‘ชัยชนะ’ ไม่เป็น 6 นัดติดในทุกรายการ ไม่ว่าจะเป็นกับ ปอร์โต้, เชลซี, อินเตอร์ มิลาน, เรอัล มาดริด หรือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยกเว้นในตอนนี้ที่แพ้ไปถึง 4 และ เสมออีก 2 จาก 6 นัดหลังสุด

 

แม้ความสำเร็จแต่คราวก่อนอาจทำให้ เดอะ สเปเชียล วัน ยังเป็นบุคคลที่วงการลูกหนังจับจ้องเป็นอันดับต้นๆของโลก แต่ด้วยฟอร์มการคุมทีมแบบนี้ ไม่แปลกที่หลายคนจะมองว่านี่อาจถึงเวลาขาลงของ มูรินโญ่ อย่างเต็มตัวแล้ว

 

ว่าแต่เพราะอะไรกัน ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ UFA ARENA จะพาวิเคราะห์ถึงเหตุผลต่างๆผ่านบทความนี้กัน

 

 

ด่าไปใช่ว่าดี

 

 

การวิพากษ์วิจารณ์นักเตะตัวเองแบบออกสื่อคือสิ่งที่ผู้จัดการทีมวัย 57 ปี ทำเป็นประจำนับตั้งแต่เริ่มต้นเส้นทางสายกุนซือ ซึ่ง ตองกีย์ เอ็นดอมเบเล่ คือนักเตะรายล่าสุดที่โดนน้ามูสับกลางสาธารณชน หลังเกมที่เสมอกับ เบิร์นลีย์ เมื่อสัปดาห์ก่อน

 

 เขาอาจจะมองว่าคำพูดเหล่านั้นเป็นเหมือนแรงกระตุ้นให้ผู้เล่นในทีม แต่จากเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านในช่วงหลายปีหลังสุด แผนนั้นดูจะไม่เข้าท่าซักเท่าไหร่ และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกเช่นกัน ที่เขาไม่รู้จักเรียนรู้หรืออะลุ้มอล่วยเลย

 

ผู้จัดการทีมหลายคนที่มีคาแร็คเตอร์แข็งกร้าวพบว่าตัวเองมีมีช่วงเวลาที่ยากลำบากอย่างมาก พวกเขาอาจจะสูญเสียความเป็นตัวเองไป ไม่ก็โดนไล่ออกไปเลย ทั้ง แซม อัลลาไดซ์, เดวิด มอยส์, โทนี่ พูลิส และ มาร์ค ฮิวส์ ซึ่งมูรินโญ่ก็เข้าข่ายเช่นเดียวกัน ทั้งหมดนี้ผ่านจุดสุดยอดของพวกเขาเมื่อประมาณ 10 -15 ปีที่แล้ว และไม่มีแนวโน้มว่าช่วงเวลานั้นจะกลับมาในเร็ววันนี้เลย

 

ขณะเดียวกัน ทีมบนหัวตารางของพรีเมียร์ลีกต่างเต็มไปด้วยรอยยิ้ม อย่าง เจอร์เก้น คล็อปป์ ที่กำลังพา ลิเวอร์พูล เดินหน้าคว้าแชมป์ลีกในรอบ 30 ปี ก็มีคาแร็คเตอร์ที่ดูอบอุ่นเป็นมิตร ทั้งกับนักข่าว, นักเตะของตัวเอง, คู่แข่ง หรือ แฟนบอลทั่วไป

 

ขณะที่ เป็ป กวาร์ดิโอล่า แม้จะทำมาตรฐานตกไปพอสมควรในฤดูกาลนี้ แต่เมื่อถูกถามถึงผู้เล่นของพวกเขา กุนซือเรือใบสีฟ้าก็ไม่อายที่จะกล่าวคำชื่นชมซักข้อสองข้อ แถมยังชอบเข้าไปกอดนักเตะหลังสิ้นเสียงนกหวีดด้วย หรือแม้แต่ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ กุนซือที่มูรินโญ่ เข้ามาแทนที่ ก็มีคาแร็คเตอร์ที่ดูอบอุ่นชัดเจน แม้จะดูหลุดๆไปหน่อยในช่วงท้ายๆที่คุมสเปอร์สก็ตามที

 

 

ไม่พัฒนาแถมดูล้าสมัย

 

 

มูรินโญ่ อาจจะโด่งดังจนกลายเป็นกุนซือระดับโลกอย่างรวดเร็วตั้งแต่อายุไม่มาก แต่แทนที่เขาจะประสบควาามสำเร็จมากขึ้นต่อจากนั้น แต่กลับกัน ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไหร่ แชมป์ต่างๆที่เขาเคยได้กลับค่อยๆลดน้อยลงไปจนไม่มีโอกาสได้สัมผัสมันมานานกว่า 5 ปีแล้ว

 

ปี 2003-2010 น่าจะเป็นช่วงยุคทองของ มูรินโญ่ มากที่สุดในเส้นทางการคุมทีม ซึ่งก็คือ  ปอร์โต้, เชลซี (ยุคแรก), อินเตอร์ มิลาน พร้อมกับสถาปนาเป็นกุนซือผู้ยิ่งใหญ่ด้วยการคว้าแชมป์ลีกสูงสุดรวมกันถึง 5 สมัย และแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อีก 2 สมัย แถมยังช่วยให้งูใหญ่คว้า “ทริปเปิ้ลแชมป์” ได้เป็นทีมแรกในอิตาลีอีกต่างหาก

 

มูรินโญ่ มีแผนการเล่นที่เน้นเการเล่นกมรับเป็นหลัก ครองบอลน้อยๆ ไม่เสียประตูไว้ก่อน พร้อมกับใช้ลูกสวนกลับ หรือความผิดพลาดจากคู่แข่งเป็นทีเด็ด ทั้งที่จริงๆแล้ว นี่เป็นแนวทางสำหรับทีมรองที่เอาไว้ต่อกรกับคู่แข่งที่แข็งแกร่งกว่า แต่ กุนซือชาวโปรตุกีส ก็นำมาปรับใช้ปรัญชาการเล่นของตัวเองจนกวาดแชมป์ต่างๆมานอนกอดมากมาย

 

สถิติที่ มูรินโญ่ พาเชลซี เสียประตูแค่ 15 นัดในฤดูกาล 2004-05 ซึ่งน้อยที่สุดตลอดกาลในพรีเมียร์ลีก เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ดีว่า แผนการและกลยุทธ์ที่เขานำมาใช้ในเกมลูกหนังประสบความสำเร็จแค่ไหน

 

หลังจากนั้น แม้ผลงานจะแผ่วๆลงมาบ้างกับ เรอัล มาดริด หรือ เชลซี ในช่วงคำรบที่ 2 แต่น้ามูก็ยังพาทั้ง 2 ทีมคว้าแชมป์ลีกได้ละสมัยด้วยกัน 

 

 

ทว่าหลังจากฤดูกาล 2014-15 เดอะ สเปเชียล วัน ก็ไม่เคยได้สัมผัสกับแชมป์ลีกเลย ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่การเล่นฟุตบอลแบบเน้นเกมบุกค่อยๆกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง และมีการพัฒนาต่อยอดขึ้นมาให้เข้ากับฟุตบอลสมัยใหม่ ผิดกับแผนเน้นเกมรับที่ไม่อะไรพลิกแพลงมากขึ้น นอกจากเล่นเกมโต้กลับเร็ว และทีมใหญ่บางทีมมักจะเลือกนำมาใช้ในเกมที่ต้องเน้นผลการแข่งขันเท่านั้น

 

แถมในสมัยที่คุมทีมในโอลด์ แทร็ฟอร์ด เขายังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก กับสไตล์การทำทีมที่ไม่เหมาะสมกับปีศาจแดงที่เป็นทีมที่มีจุดเด่นในการเล่นรุก ไม่ว่าจะเป็นยุคของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน หรือ ยุคก่อนพรีเมียร์ลีก มากกว่าเอารถบัสมาจอดขวางหน้าประตูแบบนี้

 

ซึ่งรูปแบบเหล่านี้  เขาก็ยังนำมาใช้กับ สเปอร์ส ในปัจจุบันอยู่ แต่การขาด แฮร์รี่ เคน, ซอน เฮือง มิน หรือ แม้กระทั่ง สตีเฟ่น เบิร์กไวน์ ปีกดาวรุ่งป้ายแดง ยิ่งทำให้ประสิทธิภาพก็เล่นเกมรุกของทีมน้อยกว่าเดิมหลายเท่าตัว (ยิงไปเพียง 5 ประตู จาก 6 นัดหลังสุด)

 

นอกจากนี้ เกมรับที่เคยเป็นจุดเด่นในทีมของ มูรินโญ่ ในวันนี้มันไม่ใช่อีกแล้ว เนื่องจาก สเปอร์ส เสียประตูไปถึง 22 ลูก จาก 16 นัดในลีก นับตั้งแต่กุนซือชาวโปรตุกีสเข้ามาในเดือนพฤศจิกายนปีก่อน 

 

แม้ทีมจะมีกองหลังอย่าง โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์, ดาวิดซอน ซานเชซ หรือ แยน แฟร์ตองเก้น ก็ไม่ช่วยให้สถานการณ์ในแผงหลังของทีมดูดีขึ้นแต่อย่างใด

 

 

ความสนุกสนานที่หายไป

 

 

ในสมัยที่ รอย คีน ค้าแข้งกับ น็อตติ้งแฮม  ฟอเรสต์ เขาเคยถูกไบรอัน คลัฟ ชกเข้าไปเต็มหน้า หลังจ่ายบอลคืนหลังพลาด แถมยังบอกด้วยว่า “นั่นเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ คลัฟ เคยทำเพื่อผมเลย” 

 

กรณีของ มูรินโญ่ อาจไม่ได้ดูสุดโต่งเหมือนอยางที่ กุนซือเจ้าป่าเคยจารึกไว้บนหน้าของ คีโน่  แต่การที่ชอบออกมาโทษนักเตะในทีมแบบนั้นแบบนี้ หรือ บอกว่าเล่นแย่มากแค่ไหน แสดงให้เห็นว่าการทำแบบนั้นไม่ได้ก่อให้เกิดความสร้างสรรค์เลย แม้ว่าในตอนนี้จะเพลาๆมากกว่าในสมัยที่เพิ่งเริ่มงานกุนซือก็ตาม

 

วิธีการของมูรินโญ่ที่ดูจะเข้ากับนักเตะที่อยู่ในยุคที่ฟุตบอลยังไม่ได้มีเงินตราเข้ามาเกี่ยวข้องมากมายเหมือนในตอนนี้, ผู้ที่เคยเป็นนักเตะเยาวชนในช่วงยุคก่อนพรีเมียร์ลีก และถือเป็นเรื่องโชคดีที่พวกเขาสามารถไปต่อในเส้นทางข้างหน้าได้

 

มาในวันนี้ วิธีของกุนซือแดนฝอยทองดูจะเป็นผลเสีย : เห็นได้จากการที่เขาเกือบทำให้เกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวกในห้องแต่งตัวของเรอัล มาดริด ; พาเชลซีตกลงไปอันดับที่ 16 หลังจาก 16 เกมผ่านไปในปี 2015 ; การที่เขาออกมาวิจารณ์นักเตะในทีมปีศาจแดงเกือบสองครั้งต่อสัปดาห์ 

 

และที่สำคัญ มีแค่ ปอร์โต้ กับ อินเตอร์ มิลาน เท่านั้น ที่กุนซือวัย 57 ปี บอกลาตำแหน่งนายใหญ่ของทีมได้ค่อนข้างสวยงาม นอกนั้นคงไม่ต้องบอกว่าเป็นอย่างไร

 

ปัจจุบัน นักเตะดาวรุ่งต่างรู้ว่าวงการนี้มีเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง การใช้ชีวิตแบบมหาเศรษฐีอาจจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น และพวกเขาก็ไม้ได้มานั่งทำความสะอาดห้องแต่งตัวหรือทำความสะอาดรองเท้าให้นักเตะรุ่นพี่ในทีมอีกแล้วในวัยนั้น

 

 

เปลี่ยนแปลงซะ

 

 

ฟุตบอลได้เปลี่ยนไปแล้ว โลกก็เช่นกัน ในยุคที่นักฟุตบอลไม่ต่างกับดารา,ข่าวสารตลอด 24 ชั่วโมง และ การตัดสินผู้คนบนโลกโซเชี่ยลมีเดีย ถ้านักเตะเหล่านี้สามารถแยกแยะคำวิจารณ์เหล่านั้นออกมาได้ มันอาจะเป็นหนทางที่ทำให้เขาไปในเส้นทางที่นักเตะรุ่นก่อนไม่เคยเข้าไปก็ได้ 

 

ไม่ว่าคุณจะเรียกเด็กพวกนี้ว่า นิสัยเสีย, อ่อนไหว หรือ ไม่มั่นคง มันก็แค่ความหมายนึงเท่านั้น ประเด็นก็คือนักเตะในวันนี้แตกต่างจากยุคก่อนๆแล้ว ความท้าทายของผู้จัดการทีมจึงไม่ใช่การเปลี่ยนให้พวกเขาเป็นเหมือนเมื่อก่อน แต่ต้องเปลี่ยนให้พวกเขาตอบสนองกับสิ่งที่เราต้องการมากกว่า

 

 และถ้าผลลัพธ์มันออกมาในทางที่ดี นั่นเป็นเพราะโค้ชที่ดีจริงๆคือคนที่ตระหนักว่า การให้กำลังใจและการผ่อนผัน ไม่ใช่แค่คำๆหนึ่งเท่านั้น ซาร์รี่เคยกล่าวไว้ว่า “เขารู้ว่ามีความเป็นเด็กมีอยู่ในนักฟุตบอลทุกคน ส่วนที่สนุกอยู่ตรงนั้น แทคติกก็คือสิ่งที่สำคัญ แต่เราต้องไม่เสียการมองเห็นรูปแบบของเกม และแน่ใจว่าเด็กที่อยู่ข้างในตัวผู้เล่นกำลังสนุกสนานอยู่ด้วย ”

 

คำกล่าวนี้เป็นสิ่งที่มูรินโญ่ และอีกหลายๆคนควรนำไปทบทวนให้ดี หรือจะให้ดีกว่านี้ ก็ลองเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาการทำงานร่วมกับทีมให้ดีขึ้นกว่าเดิม ก็อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่าการใช้ลูกไม้เดิมๆซ้ำไปซ้ำมากับนักเตะยุคใหม่ๆ

 

เพราะเรื่องที่ชายวัยกลางคนต่อต้านความบกพร่องของวัยรุ่นในยุคใหม่นี้ถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมานานแล้วในอารยธรรมของมนุษย์โลก และขอสปอยล์หน่อยว่า ไม่มีครั้งไหนที่คนหัวโบราณจะเป็นฝ่ายที่ได้ชัยชนะไปครองหรอกนะ