แม่ทัพคนใหม่! ทำความรู้จัก “อากิระ นิชิโนะ” กุนซือเอเชียคนแรกของทีมชาติไทย

 

หลังจากทีมชาติไทย เคยใช้งานหัวหน้าผู้ฝึกสอนต่างชาติที่อิมพอร์ตมาจากทั้ง บราซิล , อังกฤษ และเยอรมัน ล่าสุดจากการประกาศอย่างเป็นทางการไปสดๆร้อนๆ พวกเขาได้ตัดสินใจเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ด้วยการดึงกุนซือที่เป็นคนเอเชียมานำทัพเป็นครั้งแรก นั่นก็คือ อากิระ นิชิโนะ เฮ้ดโค้ชที่เพิ่งพาทีมชาติญี่ปุ่นลุยศึกเวิร์ลคัพเมื่อปีก่อน และเขาจะเข้ามารับหน้าที่คุมทีมชาติไทยชุดใหญ่กับทีมชาติไทยชุดอายุไม่เกิน 23 ปีไปพร้อมกัน

 

ฉะนั้น ก่อนที่เราจะได้เห็นช้างศึกโฉมใหม่สไตล์ปลาดิบ เรามาทำความรู้จักกับแม่ทัพจากแดนอาทิตย์อุทัยผู้นี้กันหน่อยดีกว่า

 

ประสบการณ์คุมทีม

 

นิชิโนะ เริ่มต้นจับงานกุนซือเป็นครั้งแรกในเดือนมกราคมปี 1991 กับทีมชาติญี่ปุ่นรุ่น U20 ก่อนจะได้ขยับขึ้นมาคุมรุ่น U23 ในอีกหนึ่งปีให้หลัง จากนั้นในเดือนกุมภาพันธ์ปี 1998 เขาก็หันมาชิมลางงานสโมสรบ้าง โดยเริ่มจากทีมที่เปรียบเสมือนบ้านของตัวเองอย่าง คาชิว่า เรย์โซล ต่อด้วย กัมบะ โอซาก้า , วิสเซล โกเบ และ นาโกย่า แกรมปัส

 

จนในปี 2018 เจ้าตัวก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพของทีมชาติญี่ปุ่นชุดใหญ่ สำหรับสู้ศึกฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย ซึ่งเขาก็สามารถทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจ ด้วยการพาทัพซามูไรบลูส์ทะลุเข้าไปถึงรอบตัดเชือกได้สำเร็จ โดยหลังจากจบทัวร์นาเมนต์ นิชิโนะ ก็ประกาศอำลาทีม และไม่ได้รับงานใดเลยนับตั้งแต่นั้น ก่อนที่ล่าสุด เฮ้ดโค้ชวัย 64 ปี จะตบเท้าเข้ามารับตำแหน่งหัวหน้าผู้ฝึกสอนคนใหม่ทีมชาติไทย

 

 

ความเปลี่ยนแปลงต่อทีมชาติไทย

 

ก่อนอื่นเลยต้องแบ่งเป็นสองกรณี ได้แก่ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากลักษณะของชาวญี่ปุ่น และความเปลี่ยนแปลงจากฝีมือของตัว นิชิโนะ เอง…

 

เครื่องหมายการค้าของคนญี่ปุ่น คือเรื่องของแนวคิด ความใส่ใจในรายละเอียด ความมีวินัย และความเป็นมืออาชีพ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ นิชิโนะ จะนำมาใช้กับขุนพลช้างศึก และจะพยายามยกระดับทีมจากตัวนักเตะเองก่อน ในขณะที่โค้ชจากชาติอื่น หรือแม้กระทั่งโค้ชคนไทยเอง อาจจะให้ความสำคัญไปที่เรื่องในสนามเป็นหลัก

 

ประการต่อมา อดีตกุนซือทัพซามูไรบลูส์ เป็นคนที่ชำนาญในเรื่องแทคติกไม่แพ้โค้ชจากชาติมหาอำนาจของวงการลูกหนัง เขามีวิธีการเล่นที่หลากหลาย และให้ความสำคัญกับระบบมากกว่าตัวผู้เล่น ทั้งยังเก่งในด้านจิตวิทยา ที่สำคัญ มีความเคี่ยวในเกมการแข่งขัน แบบที่เราได้เห็นในเกมที่ญี่ปุ่นปราชัยต่อโปแลนด์ไป 0-1 ในศึกฟุตบอลโลก 2018 รอบแบ่งกลุ่มนัดสุดท้าย ที่พวกเขายอมที่จะพ่ายแพ้ ด้วยการเคาะบอลไปมาในแดนตัวเองเพื่อรอให้หมดเวลาทั้งที่ยังตามหลังอยู่ เนื่องจากต้องการรักษาสกอร์ดังกล่าวไว้เพื่อผ่านเข้ารอบ

 

 

ระบบการเล่น

 

แผนหลักที่ นิชิโนะ ชอบใช้มาตลอดในช่วงหลังคือ 4-2-3-1 โดยจะเน้นเกมรุก ครองบอล ต่อบอลบนพื้นเป็นหลัก ไม่พยายามให้ลูกทีมหวดไปข้างหน้าพร่ำเพรื่อ และโปรดปรานการเล่นเพรสซิ่ง อย่างไรก็ตาม เจ้าตัวก็มีแนวคิดที่พร้อมจะยืดหยุ่นไปตามสถานการณ์ อย่างในแมตช์สร้างชื่อของตัวเอง ที่ญี่ปุ่นพลิกถล่มเอาชนะบราซิลไปได้ 1-0 ในศึก โอลิมปิกเกมส์ ปี 1996

 

นิชิโนะ ตระหนักถึงความจริงที่ว่าพวกเขาเป็นรองพลพรรคแซมบ้าหลายขุม และเลือกวางแทคติกตั้งรับเต็มพิกัดเพื่อต่อกรกับยอดทีมเบอร์หนึ่งของโลก ทั้งที่มันไม่ใช่สิ่งที่เขาชอบ ทั้งยังขัดต่อจิตวิญญาณนักสู้ที่ชาวญี่ปุ่นภาคภูมิใจด้วย

 

 

ประตูสู่เจลีกเปิดกว้างขึ้น

 

แน่นอนว่าการที่ นิชิโนะ เข้ามาคุมทัพช้างศึก นั่นทำให้เจ้าตัวได้เห็นศักยภาพของนักฟุตบอลไทยแบบใกล้ชิด และลองบุคลากรระดับเขาที่มีคอนเนคชั่นมากมายในวงการลูกหนังแดนซามูไรเอ่ยปากแนะนำใครเข้าไปแล้ว เชื่อว่าทุกคนย่อมต้องฟัง ไม่เพียงเท่านั้น มันยังอาจเป็นการช่วยกระตุ้นให้นักเตะไทยทำงานหนักกว่าเดิม เพราะเวลานี้ เจลีกคือเวทีที่ผู้เล่นจากแดนสยามทั้งหลายต่างปรารถนา และเมื่อความเป็นไปได้เข้ามาใกล้ขึ้น ใครล่ะจะอยากปล่อยให้โอกาสดีๆเช่นนี้ผ่านไปเฉยๆโดยไม่คิดจะลองไขว่คว้า

 

 

ผลงานเด่น

 

  • พา กัมบะ โอซาก้า คว้าแชมป์ เจลีก ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของสโมสรในปี 2005 รวมถึงนำทีมคว้าแชมป์ เอเอฟซี แชมเปียนส์ ลีก ได้เป็นหนแรกและหนเดียวในประวัติศาสตร์ของสโมสรในปี 2008
  • พาทีมชาติญี่ปุ่นเอาชนะทีมชาติบราซิลได้ 1-0 ในรายการ โอลิมปิกเกมส์ ปี 1996 ที่สหรัฐอเมริกา จนคนญี่ปุ่นขนานนามเหตุการณ์ดังกล่าวว่า “ปาฏิหาริย์แห่งไมอามี่” โดยทัพแซมบ้าชุดนั้น มีโคตรแข้งอย่าง โรนัลโด้ , ริวัลโด้ , เบเบโต้ และ โรแบร์โต้ คาร์ลอส อยู่ในทีมด้วย
  • พาทีมชาติญี่ปุ่นผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายในรายการฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย ก่อนจะตกรอบด้วยน้ำมือของทีมแกร่งอย่างเบลเยี่ยมไปอย่างฉิวเฉียด 2-3 แบบนำก่อนสองประตูด้วยซ้ำ โดยในรอบแรก พวกเขายังสามารถคว้าชัยเหนือโคลอมเบียที่มีสตาร์ดังทั้ง ฮาเมส โรดริเกซ , ราดาเมล ฟัลเกา , เยอร์รี่ มิน่า และ ฮวน กวาดราโด้ ไปได้